บทที่ 122 ถอย (2)
ถ้ามองจากตรงนี้ จะสามารถพบเห็นลำแสงหนึ่งเรืองขึ้นมาจากเขตมรณาที่เดิมทีดูไร้ชีวิตชีวาได้
แสงอาจไม่ได้สว่างมาก ในตอนแรกมันดูราวกับดวงดาวแสงสลัวที่ส่องระยับตัดกับท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืน
หากแต่ แสงดั่งเพลิงกลับเริ่มขยายออกอย่างรวดเร็ว จากดวงดาวเผาไหม้เพียงดวงเล็ก กลายเป็นลำแสงเพลิงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
จู่ ๆ มันก็ปรากฏขึ้น ก่อนจะขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว กลืนกินทั้งเขตมรณาภายในพริบตา ครอบคลุมพื้นที่นับหมื่นลี้ ราวกับเทพเจ้าซัดพลังลงพสุธา เกิดเป็นคลื่นพลังเพลิงโหมแรงพุ่งขึ้นไป ส่งผลให้ค่ำคืนส่องสว่างขึ้น
ราตรีไม่เงียบสงัดอีกต่อไป กลายเป็นวันแห่งนิรันดร์ ลำแสงเพลิงยังพุ่งขึ้นฟ้าไป ราวกับควันไฟพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟ ทำเอาท้องฟ้าราตรีด้านบนสว่างเจิดจ้า
ชั่วอึดใจนั้น ผู้คนในที่รกร้างทมิฬ ทะเลไร้จุดจบ ป่าฮัลมา กระทั่งในสถานที่ที่ไกลออกไป ก็ยังสามารถเห็นลำแสงนี้ปรากฏอยู่ทางเหนือได้
มันส่องสว่างสะดุดตาถึงเพียงนั้น
ถ้ำว่านไหล เจ็ดอาณาจักร เมืองเซียน ปราการกู่หลาน…… ผู้คนทรงพลังทั้งหลายต่างก็พากันสนอกสนใจ รู้สึกภายในใจสั่นสะท้านเล็กน้อย
เคราะห์ดีนักที่ความรู้สึกนี้มาและจางลงโดยเร็ว
จังหวะที่ลำแสงเพลิงหายไปจากท้องฟ้า ยอดฝีมือทั้งหลายจากทุกเผ่าต่างก็ถอนหายใจโล่งอก ด้วยรู้ว่าคงจะเป็นเพียงเสียงลมหายใจของเทพอสูรบรรพกาลที่กำลังจำศีล เหมือนกับเผลอละเมอยามหลับ หรือคล้ายกับการพลิกกายไปมาบนที่นอนเท่านั้น
ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของทวีปต้นกำเนิด
ถึงกระนั้น สำหรับผู้คนที่อยู่ใกล้ สถานการณ์ก็ไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้น
ใช่แล้ว พวกเขาคือผู้คนที่อยู่ใกล้มากเสียจนเกือบจะอยู่ในระยะ
สำหรับเทพอสูรบรรพกาลแล้ว ระยะทางเพียงหมื่นลี้นับว่าสั้นนัก เป็นอย่างที่จวินโม่เสียว่า มดที่อยู่ใกล้กับมนุษย์นั้นจะอยู่รอดหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวมันเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับมนุษย์ต่างหาก
ซูเฉินและคนอื่น ๆ มีโชคไม่น้อย เทพอสูรบรรพกาลที่กำลังจำศีลดูเหมือนกับไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้น มันเพียงส่งเสียงคำรามไม่พอใจ แล้วกลับไปจำศีลต่อ ถึงกระนั้น ในสายตาของมดตัวน้อย เสียงคำรามเพียงเท่านี้ก็ราวกับจะสะเทือนแก่นโลกได้ ด้วยมันส่งคลื่นพลังเพลิงรุนแรงพุ่งออกมาไม่หยุด
ความร้อนพุ่งออกมา เปลวเพลิงแพร่ขยาย
กองทัพยืนมองจากที่ไกล ทว่าคลื่นพลังเพลิงกลับพุ่งมาทางพวกเขาราวกับตะวันระเบิด ทุกคนจึงได้แต่ตะโกนร้องขึ้นด้วยความตกตะลึง “เพิ่มการป้องกัน !”
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม !
เกราะชั้นแล้วชั้นเล่าถูกสร้างขึ้นหลังจากที่คลื่นพลังเพลิงเข้าโอบล้อมพวกเขาได้ไม่นาน
“ปี๊บ !!!”
เรือเคลื่อนเมฆาเริ่มส่งเสียงร้องเตือน
ซูเฉินเริ่มเผาผลาญหินพลังต้นกำเนิดราวกับคนคลั่ง หลังจากได้บทเรียนมาจากเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เขาจึงพกหินพลังต้นกำเนิดมากมายไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา
เรือเคลื่อนเมฆาถูกพัดปลิวไปมาราวกับใบไม้ในพายุฝน เพลิงคลั่งและลมร้อนเข้าผลักดันไม่หยุดยั้ง แม้จะเพียงชั่วขณะ แต่ก็รู้สึกราวกับนานจนเป็นนิรันดร์
หลังคลื่นเพลิงพลันสลายล่าถอยไป เรือเคลื่อนเมฆาก็กลับสู่สภาพปกติ เปิดช่องให้ซูเฉินหันกลับมา ก่อนเห็นว่าคนอื่น ๆ ก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่ เกราะทั้งหลายถูกเผาไหม้ เนื้อหนังถูกเผาไปบ้าง เคราของฉือไคฮวงไหม้หายไปจนหมด มีหลายคนที่ผมไหม้หายไปเป็นจุก ทั้งหมดล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร ดังนั้นไม่นานจึงฟื้นพลังกลับมาได้
กระนั้นทุกคนก็ตกอกตกใจมาก
พวกเขาอยู่ที่ชายเขตแล้ว แต่ยังได้รับอิทธิพลจากเสียงคำรามเพียงระลอกเบา ๆ เท่านั้น หากเลวร้ายขึ้นสุดต้องเผชิญหน้ากับมันแล้ว พวกเขาก็คงเหลือแต่เถ้า
อีกทั้งพวกเขายังโชคดี ที่พลังจากเสียงคำรามส่วนมากสลายหายขึ้นท้องฟ้าไปจนหมด ไม่เช่นนั้น ก็อาจไม่มีใครหนีรอดเลยก็เป็นได้
นี่น่ะหรือพลังของเทพอสูรบรรพกาล ?
เจ้าเหนือหัวที่แท้จริงของทวีปแห่งนี้ แค่ส่งเสียงคำรามเบา ๆ ออกมา ก็ปลดปล่อยพลังที่สามารถทำลายทั้งเขตมณฑลได้แล้ว !!
หากแต่พลังสูงส่งของพวกมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ทวีปนี้ไม่อาจหล่อเลี้ยงพวกมันไว้ได้ ส่งผลให้พวกมันต้องตกลงสู่ห้วงนิทรายาวนานเช่นกัน
ถึงอย่างนั้น ตราบเท่าที่เทพอสูรบรรพกาลยังมีชีวิตอยู่ เผ่าสัตว์อสูรก็จะไม่มีวันสิ้นไป
ในตอนนี้ ซูเฉินพลันนึกคำของจูเฉินขึ้นมาได้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังอันสูงส่งเช่นนี้ กระทั่งผู้ที่มีจิตใจกล้าหาญและมีใจมุ่งมั่นที่สุดก็ยังลังเลเลยกระมัง ?
ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงความรู้สึกของตระกูลสายเลือดชั้นสูงแล้ว อย่างน้อยก็นิดหนึ่ง
เกิดอะไรขึ้นกับข้า ?
นี่ข้าจะยอมแพ้ไปโดยง่ายเช่นนี้หรือ ?
ซูเฉินตั้งสติ เขารู้ว่าการสำแดงพลังอันน่าเกรงขามที่เขาเพิ่งประจักษ์ไปเมื่อครู่สั่นคลอนจิตใจของเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงรีบตั้งสติ
หากเทพอสูรบรรพกาลน่ากลัวนักแล้วอย่างไร ? ก็ถูกใต้หล้าทอดทิ้งไปแล้วนี่นา
อนาคตของใต้หล้านี้เป็นของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ เป็นของเผ่ามนุษย์ต่างหาก !
ซูเฉินจ้องมองเปลวเพลิงที่ยังหลงเหลืออยู่ ยังไม่มอดดับไป เผยสีหน้าแน่วแน่ออกมา
ผู้คนส่วนมากไม่เคยเห็นพลังของเทพอสูรบรรพกาลมาก่อน กระทั่งตัวหลี่ฉงซานเอง ก็นับว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เพิ่งจะรอดพ้นจากความตายมาได้อย่าหงุดหงิด ทุกคนจึงถอนหายใจยาวออกมา
“รอดแล้ว ! ฮ่า พวกเรารอดมาได้จริง ๆ!”
“เทพแห่งโชคอยู่เคียงข้างพวกเรา ! กระทั่งเจ้านั่นยังไม่ฆ่าพวกเราเลย ฮ่า ๆ!”
“ใช่แล้ว ! เรารอดพ้นเขี้ยวเล็บของเทพอสูรบรรพกาลมาเชียวนะ !”
“ขอบคุณสวรรค์ ! ที่ไม่ใจไม้ไส้ระกำกับพวกเรา ไม่ปล่อยให้เราตายไปจริง ๆ”
“ถูกต้อง ถูกต้องเลย ! ในเรื่องร้ายยังมีเรื่องดี แล้วเรายังได้เห็นเทพอสูรบรรพกาลด้วย”
“มันดีตรงไหนกัน ? เห็นแล้วได้อะไรงั้นหรือ ?”
“ก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่พวกเราก็ยังเป็นกลุ่มคนที่รอดพ้นการโจมตีจากเทพอสูรบรรพกาลมาได้ ! กลับบ้านไปเมื่อไหร่ ตอนเล่าให้คนอื่นฟัง จะไม่รู้สึกว่าน่ายกย่องหรอกหรือ ? ก็แล้วมีใครเคยเห็นพลังของเทพอสูรบรรพกาลมาก่อนหรือไร ? ฮ่า ๆ!”
“เพ้ย ! เจ้าก็พูดราวกับว่าเคยเห็นมาก่อน เราเห็นเพียงลมหายใจหนึ่งของมันเท่านั้น มีใครได้เห็นหน้าตาที่แท้จริงของมันด้วยหรือ ?”
“หากเห็นมันเข้าต้องตายแน่ ๆ”
“ใช่แล้ว ข้าเริ่มคิดแล้วว่าแผนการของจวินโม่เสียมันเกินเอื้อมไปจริง ๆ ถึงตานปาไม่ยื่นมือเข้าแทรก พวกเราก็อาจจะแอบเดินทางผ่านไปไม่รอดก็เป็นได้”
“เพ้ย ถึงจะหลอกมันไม่ได้ หากไม่ไปยั่วยุมัน มันก็อาจไม่ตื่นขึ้นมาก็ได้กระมัง”
“อาจไม่ใช่เช่นนั้นน่ะสิ ก็เสียงหวี่ ๆ น่ารำคาญของยุงเวลาบินผ่านหู เท่านั้นก็มากพอจะถูกตบเข้าได้แล้ว”
“เรือดินของข้าไม่ส่งเสียงดังมากเช่นนั้นสักหน่อย”
“เจ้าไปโอ้อวดกับเทพอสูรบรรพกาลเองเถอะ”
พวกเขาเริ่มถกเถียงกันเองขึ้นมา
“เอาล่ะ หยุดทะเลาะกันได้แล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน ดังนั้นจะถกเรื่องผลลัพธ์ไปก็ไร้ประโยชน์” หลี่ฉงซานเข้ามาหยุดยั้ง “สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือการคิดหาแผนการใหม่ ไม่ว่าอย่างไร เราก็จำเป็นต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้”
ได้ยินแล้วทุกคนก็เงียบไป
“พวกท่านเป็นอะไรไป ?” ซูเฉินที่ใช้เรือเคลื่อนเมฆาบินเข้ามาถาม
กัวเหวินฉางถอนใจ “เสบียงไม่เหลือแล้ว แผนเราล่ม หนทางข้างหน้าก็ไม่สะดวก พวกเราไร้ทรัพยากรในการเอาชีวิตรอดต่อไปได้แล้ว”
การจะรวบรวมทรัพยากรมาสร้างเรือดินนั้น ทั้งกองทัพต่างปล้นสะดมมาตลอดทาง แต่กลับไม่พบเจอเสบียงมากเท่าไหร่
หรือก็คือมีแต่ต้องทำแผนให้สำเร็จเท่านั้น
เพราะถึงแม้จะล้มเหลว และรอดชีวิตมาได้ ทว่ามันก็ยังมีปัญหาที่ยังเผชิญอยู่ ด้วยพวกเขาต้องหาเลี้ยงทหารเกือบหมื่นชีวิต ซึ่งไม่ใช่ปัญหาที่เรียบง่ายเลย
หากแต่ซูเฉินกลับคลี่ยิ้มเมื่อรับรู้ถึงปัญหา “ข้าก็สงสัยว่ามีปัญหาอะไรกัน ข้าคาดการณ์ถึงปัญหานี้เอาไว้แล้ว จึงได้เตรียมเสบียงมาด้วย”
หลินเฉ่าเซวียนจ้องเขาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ “พวกข้ามีคนแปดพัน แหวนพลังวงเดียวจะเก็บเสบียงได้สักเท่าไหร่กัน ?”
ซูเฉินตอบ “ข้าก็เลยเอาแหวนพลังมาเป็นกองเลยไงเล่า”
พอชายหนุ่มเปิดเรือเคลื่อนเมฆาออกมา ทุกคนก็เห็นว่ามีกองแหวนพลังกองใหญ่กองอยู่ภายใน ส่องระยับวิบวับราวกับกองฟางกองข้าวสาลี