“ไอ้หนู ยืนทื่ออยู่ทำไม? ยังไม่รีบเข้ามาพยุงข้าอีก!”
คุณอารองเซวเพ่งมองไปที่เย่เทียน แต่ในขณะที่พูดอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดปากซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาอันสั้นนี้ เขายังไม่สามารถหายจากความเจ็บปวดได้!
เย่เทียนที่ได้ยินเช่นนี้จะกล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ได้อย่างไร เขาจึงเข้าไปพยุงคุณอารองเซวจากอีกด้านด้วยความเชื่อฟัง และช่วยกันพยุงคุณอารองเซวเข้าไปในบ้าน
“คุณอารอง พี่เหมิงหยาน ทำอะไรอยู่ที่นี่ครับ? ทำไมไม่เข้าบ้าน?”
ในขณะนี้ ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาอย่างรวดเร็ว และก่อนที่เขาจะเดินมาถึง เสียงพูดของเขาก็ดังขึ้นก่อน
แต่เมื่อชายหนุ่มคนนี้เห็สถานการณ์นอกประตูบ้าน เสียงตะโกนของเขาก็หยุดอย่างกะทันหัน เขาเบิกตากว้างทันทีและแสดงสีหน้าประหลาดใจ
“พี่เหมิงหยาน นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ?”
ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนรุ่นใหม่ของตระกูลเซว เขาชื่อว่าเซวฟู่ยี่ ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของเซวหมานจื่อ
“เปล่าครับ ไม่มีอะไรมาก เมื่อกี้คุณอารองเซวสะดุดก้อนหินล้มครับ” เย่เทียนรีบชิ่งตอบก่อน
“สะดุดก้อนหินล้ม?”
สีหน้าของเซวฟู่ยี่ประหลาดใจมากขึ้น แต่ปฏิกิริยาแรกในความคิดคือไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน!
คุณอารองเซวอยู่ในฝีมือระดับไหน เขารู้ดีที่สุด แล้วจะมาสะดุดก้อนหินล้มง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร?
ที่สำคัญ ก่อนที่เขาจะออกมา เซวหมานจื่อได้กระซิบพูดกับเขาคร่าวๆ ว่าคุณอารองเซวจะสั่งสอนเย่เทียนที่หน้าบ้าน เขาจึงรีบตามมาสะใจด้วย
ดังนั้น เมื่อเห็นชายหนุ่มที่พยุงคุณอารองเซวอยู่ เขาแค่ใช้หัวแม่เท้าคิดก็ต้องรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ก็คือเย่เทียน
“หรือว่า มันล้มคุณอารองเซวได้?”
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เซวฟู่ยี่ก็ยิ่งรู้สึกประหม่า และเมื่อเห็นสีหน้าความเกลียดชังของคุณอารองเซวที่มองเย่เทียนเป็นระยะๆ เขาก็ยิ่งมั่นใจในสิ่งที่เขากำลังคาดเดาอยู่
“พี่เหมิงหยาน ให้ผมช่วยดีกว่าครับ!”
จากนั้นเซวฟู่ยี่ก็รีบเข้าไปช่วยหยุนเหมิงหยานและพยุงคุณอารองเซวเข้าบ้านพร้อมกับเย่เทียน
ทั้งสี่คนเข้าไปในบ้านตระกูลเซว เมื่อมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ เย่เทียนก็พยักหน้าเป็นครั้งเป็นคราว ราวกับว่าเขาเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
เซวฟู่ยี่กวักมือเรียกคนใช้ให้พาคุณอารองเซวเข้าไปพักผ่อนในห้องก่อน จากนั้นค่อยหันไปพูดกับเย่เทียนกับหยุนเหมิงหยาน “พ่อผมกับพี่ชายรออยู่ในสวนหลังบ้านครับ”
เย่เทียนอยากถามหยุนเหมิงหยานเกี่ยวกับเรื่องของพ่อเขามาก แต่เมื่อเห็นสภาพสีหน้าความเจ็บปวดของคุณอารองเซวแล้ว เขาทำได้เพียงรอให้อาการของคุณอารองเซวดีขึ้น
หลังจากนั้น เซวฟู่ยี่ก็เดินนำและอ้อมห้องรับแขกแล้วตรงไปที่สวนหลังบ้าน
แต่ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสามก็ได้มาถึงสวนหลังบ้านของตระกูลเซว ซึ่งสายตาของเย่เทียนนั้นดีมาก เพราะเขาสามารถมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ในศาลาเล็กๆ กลางสวนได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งนอกจากเซวหมานจื่อกับจี้เยียนหรันแล้ว ยังมีชายวัยกลางคนอีกคนที่มีอายุราวห้าสิบปี เขามีเส้นผมสีขาวบางๆ ทั้งสองด้านของศีรษะ สวมแว่นตากรอบดำบนใบหน้า และยังดูมีบุคลิกลักษณะที่สง่ามาก
“พี่ๆ ครับ คนที่ใส่แว่นคนนั้นก็คือพ่อของผมครับ เขาชื่อเซวซิวเหวิน”
บางทีนี่อาจเป็นความประทับใจแรกพบ เซวฟู่ยี่จึงแตะที่แขนของเย่เทียนแล้วพูดอย่างเป็นมิตรว่า “อย่าโทษผมไม่เตือนคุณก่อนนะครับ คุณอย่ามองว่าพ่อผมเป็นคนเรียบร้อยแล้วจะอ่อนโยนนะ เพราะพ่อผมจะเข้มงวดต่อทุกคนมาก ฉะนั้น เดี๋ยวคุณพูดจาต้องระวังด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ” เย่เทียนยิ้มตอบและไม่ได้พูดอะไรอีก
ในเวลานี้ บางทีอาจเป็นเพราะการแจ้งเตือนของจี้เยียนหรันกับเซวหมานจื่อ ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ในศาลาก็หันมองมาและหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่โบกมือให้กับพวกเขาเท่านั้น
เย่เทียนเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนของศาลา และเห็นแผ่นป้ายที่มีตัวหนังสือขนาดใหญ่และตัวหนังสือนั้นดูงดงามดั่งหงส์ร่อนมังกรรำมาก ซึ่งเขียนไว้ว่า ‘ศาลาชมกระแสน้ำ’ !
แม้จะเป็นเพียงชื่อศาลา แต่ก็เพียงพอที่จะให้เย่เทียนมองเห็นอะไรที่มากไปกว่านั้น
เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่มีทะเลเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมต้องตั้งชื่อนี้ด้วย ซึ่งดูแล้วเจ้าบ้านตระกูลเซวต้องเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงอย่างแน่นอน!
“คุณอาเซว ไม่เจอกันตั้งนาน หนูคิดถึงคุณอามากเลยนะ แล้วคุณอาคิดถึงหนูบ้างไหม?”
หยุนเหมิงหยานเดินนำเข้าไปก่อนและเข้าไปจับมือของชายวัยกลางคนคนนั้นอย่างเสน่หา
“ยัยหนู พูดดูดีจังเลยนะ ถ้าคิดถึงจริงทำไมไม่เห็นมาหาอาบ้างเลยล่ะ?”
เซวซิวเหวินหัวเราะออกมาดังๆ และสายตาก็จ้องไปที่เซวฟู่ยี่ “อารองของเอ็งล่ะ? ทำไมไม่เข้ามาด้วย?”
“คุณ คุณอารองมีธุระต้องไปจัดการครับ”
เซวฟู่ยี่เงยหน้าขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวและคิดหาเหตุผลอย่างกะทันหัน
แต่เซวซิวเหวินจะมองเซวฟู่ยี่ไม่ออกได้อย่างไร จากนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่เย่เทียนและถามด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วเพื่อนคนนี้คือใครล่ะ?”
เย่เทียนก้าวไปข้างหน้าและยิ้มพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณลุงครับ ผมชื่อเย่เทียนครับ”
“เย่เทียน?”
เซวซิวเหวินที่ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาอันลึกล้ำของเขาก็กลายเป็นเฉียบคมทันที “คุณเป็นคนตระกูลเย่เหรอ?”
“หืม?!”
เย่เทียนถึงกับตกใจและตอบสนองได้ทันที “คุณลุงครับ ถึงแม้ผมจะเป็นคนตระกูลเย่ แต่ผมถูกไล่ออกจากบ้านตระกูลเย่มาสิบกว่าปีแล้วนะครับ และตอนนี้ผมไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลเย่แล้วครับ!”
“เย่เทียน คุณเป็นคนตระกูลเย่จริงๆ เหรอ?!”
ทันทีที่เย่เทียนพูดจบ เซวหมานจื่อก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นด้วยความตกใจ
เซวฟู่ยี่ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่เทียนอย่างประหลาดใจและขยับออกห่างไปหลายก้าว
“ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลเย่ยังไง แต่คุณเป็นสายเลือดของตระกูลเย่ และตระกูลเซวของเราจะไม่ต้อนรับทุกคนจากตระกูลเย่ ฉะนั้น เชิญคุณออกไปได้แล้ว!”
ก่อนที่เย่เทียนจะตอบสนอง เซวซิวเหวินก็พูดอย่างเย็นชาและชี้ไปที่ประตูทางออก
“คุณลุงเซวคะ เกิดความเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าคะ?”
จี้เยียนหรันก็ขมวดคิ้วและถามขึ้นทันที
“คุณหนูจี้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณหรอก”
แต่น่าเสียดายที่เซวซิวเหวินไม่ได้ไว้หน้าจี้เยียนหรันเลย เขาได้แต่ส่ายหัวตอบ “คุณมาบ้านตระกูลเซวของเรา ผมยินดีต้อรับคุณ แต่เขาไม่ได้! ตระกูลเซวของเราจะไม่ต้อนรับทุกคนจากบ้านตระกูลเย่!”
“พ่อครับ เย่เทียนมากับพวกผมนะครับ เราต้อง……”
เซวหมานจื่อที่ตั้งสติได้ก็รีบพูดขึ้นอย่างอึดอัดใจ
“เอ็งเงียบไปเลยนะ! ไม่กลับมานานขนาดนี้ พอกลับมาทั้งทีก็พาคนตระกูลเย่มาด้วย……”
่ก่อนที่เซวหมานจื่อจะพูดจบ เซวซิวเหวินก็ตัดประโยคของเขาและเริ่มพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เอ็งจะซื่อบื้อเกินไปแล้วนะ เดี๋ยวค่อยจัดการเรื่องของเอ็ง!”
“ไอ้หนู แล้วเอ็งจะออกไปเอง? หรือว่าจะให้ข้าเรียกคนมาไล่เอ็ง?!”
เซวซิวเหวินหันกลับมาอีกครั้งแล้วพูดกับเย่เทียนอย่างไม่พอใจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเย่เทียนก็ส่ายหัวตอบอย่างขมขื่น “ไม่เป็นไรครับคุณลุงเซว ผมไปเองได้ ไม่ต้องรบกวนคนอื่นหรอกครับ!”
“เย่เทียน เดี๋ยวฉันจะไป……”
จี้เยียนหรันรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและตั้งใจจะไปกับเย่เทียน
“เยียนหรัน”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ หยุนเหมิงหยานที่มีสีหน้าแปลกประหลาดก็รีบห้ามเธอไว้และส่ายหัวเบาๆ
“เยียนหรัน คุณพักที่นี่ไปก่อนสักวันสองวันก็ได้ ผมจะหาโรงแรมแถวนี้ เดี๋ยวผมจะส่งที่อยู่ให้คุณ แล้วพรุ่งนี้พวกคุณค่อยแวะมารับผมก็ได้”
เย่เทียนก็ตั้งสติได้ หลังจากคุยกับจี้เยียนหรันเสร็จ เขาก็มองไปที่เซวซิวเหวินอย่างลึกซึ้ง และจากนั้นก็หันเดินจากไปทันที……