TB:บทที่ 98 เงื่อนไขสองข้อ

 

เมื่อฮ่าวฉางชิงพูดจบแล้ว ลู่หนานกับวานเจี่ยก็มองเขาด้วยความแปลกใจทันที แม้ทั้งคู่จะรับความจริงที่ว่าลู่หนานเป็นมะเร็งได้แล้วก็ตาม แต่พวกเขาหวังเล็กๆว่าจะมีทางไหนที่จะไม่เป็นไปอย่างมนุษย์ทั่วไป

“เรื่องนั้นคงเกินมือผม แต่เฉินหลงที่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติแต่ต้นคงมีอะไรให้พูดได้บ้าง” ฮ่าวฉางชิงมองตาลู่หนานและกล่าวอะไรที่น่าอายออกไป

เขารู้ว่าสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปทำให้เข้าใจผิดได้ว่าเขามีทางออกให้ เขาจึงรู้สึกอับอายนิดหน่อย

“ใช่สิ ลืมเสี่ยวเฉินไปได้อย่างไร” วานเจี่ยพูดขึ้นมาทันที

ไม่ใช่เฉินหลงหรือที่เป็นคนสังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อวาน เธอไม่ได้คาดว่าลู่หนานจะเป็นมะเร็งจริงๆตอนไปตรวจที่โรงพยาบาล

ลู่หนานขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ได้มองในแง่ดีอย่างวานเจี่ย

อย่างไรเสียหากฮ่าวฉางชิงไม่ได้เห็นอะไรที่พิเศษในตัวเฉินหลง เขาอาจไม่สงสัยเรื่องนี้

“เหลาลู่วางใจให้สบายได้เลย ผมจะติดต่อเสี่ยวเฉินว่าเขาทำอะไรได้บ้าง” ฮ่าวฉางชิงรีบออกไปทันทีหลังพูดจบ

เห็นอย่างนั้นแต่ฮ่าวฉางชิงคิดว่าคงดีกว่าหากเฉินหลงเป็นคนพูดเอง เขาและเฉินหลงรู้จักกันมาสักพักแล้ว เฉินหลงคงกู้หน้าเขาได้

เมื่อฮ่าวฉางชิงไปแล้ว ลู่หนานและวานเจี่ยมองหน้ากัน พวกเขาต่างเห็นความคาดหวังในสายตาของฝ่ายตรงข้าม และหวังว่าฮ่าวฉางชิงจะกลับมาพร้อมข่าวดี

ในขณะนั้นเฉินหลงนั่งอยู่ที่คลับส่วนตัวในเมืองหลวงกับชายอายุราวสามสิบ เขาดูมีมารยาทและใส่เสื้อผ้าที่ปล่อยตามสบายอย่างเป็นธรรมชาติ ชายคนนี้คือ เกาเฟิงเสี่ยว คนที่ทางการส่งมาคุยกับเฉินหลง

เฉินหลงมองชายคนนี้แล้วเขาอดคิดว่าคนคนนี้เหมือนดาราหนังเกรดบีที่คนแก่พยายามทำตัวเท่ไม่ได้ ช่างมีบางอย่างที่เหมือนกันจริงๆ

“นายคิดว่าแปลกไหมที่คนอย่างฉันมาพบนาย” หลังจากจิบชาไปครั้งหนึ่ง เกาเฟิงเสี่ยว มองเฉินหลงพร้อมรอยยิ้มบนหน้าเขา

เฉินหลงไม่ตอบอะไร เขาทำเพียงยิ้ม เรื่องนี้เขาก็รู้อยู่แก่ใจ

เมื่อได้เห็นเกาเฟิงเสี่ยวและได้รู้ว่าเขาคือคนที่เบื้องบนส่งมาแล้ว เฉินหลงรู้สึกประหลาดใจจริงๆ หากกล่าวตามจริง เฉินหลงคิดว่าคนที่ทางเบื้องบนส่งมาน่าจะเป็นคนที่เป็นทางการไม่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ แต่นี่เป็นคนอย่างเกาเฟิงเสี่ยวที่ทางการส่งมา เฉินหลงไม่เข้าใจจริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้น คนคนนี้พาเขามาที่คลับส่วนตัว ที่ที่หากไม่มีตัวตนเป็นที่รู้จักในเมืองหลวงแล้วก็ไม่อาจเข้ามาได้ เรื่องนี้ทำให้เขาไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก

ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่โดนห้ามไม่ใช้เข้าสถานบันเทิงหรือ

“เอาล่ะ เรื่องที่ต้องพูดเกี่ยวกับเครื่องกำจัดฝุ่นนี่ ฉันอยากจะให้น้องเฉินมาร่วมกับเราน่ะ” เกาเฟิงเสี่ยวไม่พูดอ้อมค้อมใดๆ เขากล่าวออกมาตรงๆ

“ร่วมกับพวกคุณหรือ” คำพูดของเกาเฟิงเสี่ยวทำให้เฉินหลงคาดเดาไม่ได้ว่าทางการคิดอะไรอยู่

“ใช่แล้ว พวกเราคือหน่วยพิเศษที่สังกัดกระทรวงกลาโหม ต้องขอโทษด้วยแต่คงบอกชื่อของหน่วยให้รู้ไม่ได้จนกว่านายจะร่วมมือกันเรา” เกาเฟิงเสี่ยวว่า

“ผมเป็นแค่คนธรรมดา ผมแค่บังเอิญประดิษฐ์เครื่องกำจัดฝุ่นได้ เราคุยกันแต่เรื่องธุรกิจดีกว่าครับ” เฉินหลงส่วยหัว

ตอนนี้เขาเป็นอิสระชน เขาจะไปไหนก็ได้ที่อยาก นี่คือความอิสระที่เขามี หากเข้าร่วมกับหน่วยงานแล้ว เขาจะมีพันธะ แม้ผมจะเป็นลูกค้านักกินที่ซื่อสัตย์ผมก็ไม่ยอมจะอดตายหรอกนะครับ เมื่อเปรียบเทียบความอิสระเป็นอาหารจักรพรรดิแล้วคงเหมาะสมที่สุดในตอนนี้ เพราะทำให้เฉินหลงไม่เบื่อด้วย

“น้องเฉิน นายเป็นคนซื่อเกินไป ถ้าคนอย่างนายเป็นคนธรรมดา โลกนี้คงมีคนธรรมดาอย่างนายน้อยมากๆ” แม้เฉินหลงจะปฏิเสธแต่เกาเฟิงเสี่ยวก็ไม่ได้สนใจ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำของเกาเฟิงเสี่ยวแล้วตาเฉินหลงวาบเป็นประกาย คนตรงข้ามเขากำลังสอบสวนเขาอยู่เป็นแน่

“น้องเฉินอย่ากังวลไป ฉันมาดี ฉันรู้พลังของนายดี เรื่องนี้เบื้องบนก็สั่งการมาเหมือนกัน สำหรับคนที่มีกำลังเกินคนปกติอย่างฉันและนายแล้ว พวกนั้นจะเก็บข้อมูลเป็นสถิติไว้เพราะง่ายกับการจัดการมากกว่า ตราบใดที่นาย พวกที่ไม่ใช่คนทั่วไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนปกติ ทางการก็ไม่ทำอะไร แต่หากเราทำพลาดครั้งใหญ่แล้ว พวกเราจะออกโรงไปจับพวกที่ทำพลาดไปที่พิเศษน่ะ” เกาเฟิงเสี่ยวมองเฉินหลงที่กังวลแล้วอธิบายออกมา

“คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าผมไม่ใช่คนทั่วไป” เฉินหลงถามคำถามสำคัญ

คำถามที่เฉินหลงถามนี้เป็นคำถามที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากเรื่องเกี่ยวข้องกับความลับของเขาที่อาจเก็บไว้ไม่มิด

“ตอนที่นายเข้าเมืองหลวงมาแก้แค้นครั้งแรกน่ะ พวกเราเริ่มจับตามองนายแล้ว พวกนายสามคนนี่ปลอมตัวกันเก่งจริงๆ เราใช้เวลาตั้วนานแหนะกว่าจะรู้ว่าเป็นพวกนายสามคนที่จัดการกับสกุลซ่ง” เกาเฟิงเสี่ยวกล่าวด้วยน้ำเสียงปนอิจฉา

กล่าวตามความจริงแล้วเกาเฟิงเสี่ยวใช้ “หน้ากากร้อยหน้า” ได้อย่างไม่มีที่ติ เมื่อใส่หน้ากากนี่แล้วจะสามารถกลายเป็นคนอื่นได้ เขารู้สึกว่าอาจเป็นเรื่องน่ากลัวหากคนทุกคนสามารถเปลี่ยนตัวตนได้ตามใจ

เพราะอย่างไรสังคมนี่มันน่าเบื่อเกินไปที่จะเป็นตัวเอง หากสามารถเป็นคนอื่นได้เป็นบางเวลาแล้วก็จะกลายเป็นว่าหลงกับมันเกินไป และเมื่อกลับมาเป็นตัวเองคงยากที่จะใช้ชีวิตต่อ

แน่นอนว่าเกาเฟิงเสี่ยวไม่น่าอนาถอย่างคนทั่วไปเขาจึงไม่ได้มีปัญหานั้น

“ไปบอกพวกสกุลซ่งเถอะ” เฉินหลงมองเกาเฟิงเสี่ยว

“ทำไมต้องบอกสกุลซ่งเล่า เรามีหน้าที่ดูคนพวกนั้นในสกุลซ่งด้วย พวกเราไม่ใช่เครื่องมือของพวกนั้น อีกอย่างนายคิดว่าเราจะตามหาอิทธิพลของสกุลซ่งไม่ได้หรือ ฉันคิดว่าเป็นเพราะพลังนายมากกว่าที่ทำให้พวกนนั้นไม่สร้างปัญหากวนนายอีก แต่อย่าวางใจตามที่สกุลซ่งบอกแล้วกัน” เกาเฟิงเสี่ยวว่า

เกาเฟิงเสี่ยวพูดถูกอย่างชัดเจนเรื่องของตระกูลผู้ดีเก่านั่น พวกนั้นมักคิดดอกเบี้ยและหากพบว่าเฉินหลงผิดพลาดตรงไหนได้แล้วก็จะตามมาทำลายเฉินหลงด้วยสายฟ้าที่พวกนั้นมี

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะระวัง อีกอย่างเรายังมีทางออกด้วย “เครื่องกำจัดฝุ่น”” เฉินหลงทำตัวชัดเจนว่าไม่อยากพัวพันกับปัญหานี่มากเกินไป

“เอาล่ะ คุยกันเรื่องเครื่องกำจัดนี่ดีกว่า เบื้องบนอยากจะซื้อลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์นี่ของนายไปเลยน่ะ แต่แน่นอนว่าชื่อนายยังเป็นคนคิดค้นนะ” เกาเฟิงเสี่ยวยิ้มบางๆ แต่เขาไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เพราะเขามีหน้าที่เป็นมือสังหาร

“เหรอครับ เท่าไรกันล่ะ” เฉินหลงไม่คิดมากกับเรื่องนี้ เขาตอบตกลง อย่างไรเครื่องมือนี่สร้างไว้เพื่อให้กับประเทศอยู่แล้ว ในตอนนี้ที่พูดกันอยู่คงเป็นเรื่องที่ปกติที่สุด

“สองพันล้าน” เกาเฟิงเสี่ยวบอกราคา

ฟังดูเหมือนเป็นจำนวนที่มากมหาศาล แต่ราคานี้ถูกมากเมื่อเทียบว่ารัฐบาลจะใช้จัดการฝุ่น

เครื่องนี่ใช่เวลาและพลังงานอย่างมากเพื่อสร้างแม้จะเป็นโลกที่มีฝุ่นนี่

“ไม่มีปัญหา” เฉินหลงพยักหน้า แม้เงินนี่จะน้อยนิด แต่ก็ควรให้รัฐได้ประโยชน์ไปไม่ใช่หรือ เมื่อคิดได้ดังนั้น รัฐคงสะดวกขึ้นนิดหน่อยแต่รัฐคงไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม “แต่เรื่องนี้ต้องผ่านอีกสองขั้นนะ”