TB:บทที่ 99 ไพ่ตายของมือสังหาร

 

“เอาเลย” คนทั่วไปมักเห็นด้วยกับความคิดตนเอง เกาเฟิงเสี่ยวไม่ได้มีเหตุผลอื่นจะปฏิเสธ

“แล้วก็ ผมได้ส่ง “หน้ากากกำจัดฝุ่น” ไปจดลิขสิทธิ์วันก่อน ถ้าคุณสามารถช่วยให้ขั้นตอนไวขึ้นหน่อยจะได้หรือไม่ อ๋อ แล้วก็ตอนนี้ผมกำลังจะทำบริษัทเทคโนโลยีอยู่ คงดีนะครับถ้าได้ก่อตั้งไวๆ” เฉินหลงว่า อย่างไรเสียเกาเฟิงเสี่ยวก็เป็นตัวแทนของรัฐ หากเขาจะปล่อยให้รัฐได้ประโยชน์จากเขาแล้วรัฐจะไม่ช่วยเขาสักเล็กน้อยคงไม่สมเหตุสมผลเท่าไร

“แน่นอน ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ฉันจะส่งคนไปจัดการทันทีที่ฉันกลับไป” เกาเฟิงเสี่ยวตกลงแม้ไม่อยากทำตาม

ตั้งแต่ที่พวกเขารู้เรื่องเฉินหลง แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าเขาส่งเครื่องมือไปจดลิขสิทธิ์และเขาจะก่อตั้งบริษัท เมื่อได้ยินคำขอของเฉินหลงที่ขอเฉพาะเรื่องนี้แล้ว เกาเฟิงเสี่ยวก็ตอบตกลงไปโดยปริยาย เรื่องนี้ไม่ยุ่งยากมากมาย

“เอาล่ะ คุณคิดว่าเราจะเซ็นข้อตกลงหรือสัญญานั่นกันเมื่อไรหรือครับ” เฉินหลงว่า

เฉินหลงไม่ได้ใส่ใจเรื่องชื่อเขาเป็นคนคิดค้นอะไรนั่น เขาสนเพียงแค่เรื่องเงินที่เขาจะได้

“เราจัดการเรื่องนี้พรุ่งนี้กันดีไหม” เกาเฟิงเสี่ยวตอบ

ใจจริงแล้วเขาไม่นึกว่าเฉินหลงจะตอบตกลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ ดังนั้นสัญญาต่างๆที่เขาเตรียมมาจำต้องกลับไปแก้ไขอีก

“ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เจอกันครับ” เมื่อเฉินหลงกล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไป

“น้องเฉิน คิดอย่างไรกับพลังของสกุลซ่งหรือ” เกาเฟิงเสี่ยวรีบเปิดปากพูดขึ้นมา เขากำลังจะใช้ไพ่ตายของมือสังหาร

“สกุลซ่งเป็นหนึ่งในสกุลเก่าแก่ของเมืองหลวงนี้ พลังที่พวกเขามีแน่นอนว่าเป็นอะไรที่คนธรรมดาอย่างพวกเราคงไม่อาจนึกถึงได้ คุณเกา คุณต้องการจะพูดว่าอะไรครับ” เฉินหลงกล่าว เขามองเกาเฟิงเสี่ยวอย่างไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์

“น้องเฉินคิดว่าด้วยพลังที่นายมีอยู่ นายไม่ต้องหวั่นเกรงซ่งเทียนเจี่ยแล้วหรือ จริงที่นายสู้กับซ่งเทียนเจี่ยได้อย่างสูสีและนายไม่ต้องกลัวเขา แต่นายคิดว่าทำไมสกุลหนึ่งในสี่ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองหลวงอย่างพลังของสกุลซ่งจะมีอย่างที่เห็นเพียงผิวเผินกันเล่า” เกาเฟิงเสี่ยวมองเฉินหลง

“คุณหมายความว่าพวกสกุลซ่งยังมีพลังที่ซ่อนไว้หรือ” เฉินหลงขมวดคิ้วและมองเกาเฟิงเสี่ยว

“ไม่ได้มีเพียงแค่สกุลซ่ง แต่ยังมีอีกสามสกุล เป็นเรื่องแย่ที่มีพลังของสกุลุทั้งสี่ที่แต่พวกเขาควบคุมไม่ได้ แต่ถึงแม้จะควบคุมไม่ได้ไม่หมายความว่าจะสู้ด้วยไม่ได้ อีกอย่างสกุลทั้งสี่ไม่สามารถจะอยู่ร่วมกันได้ ดังนั้นตอนนี้จึงมีสันติและความสงบเพียงผิวเผินอยู่ แต่หากสมดุลของสกุลต่างๆแตกหักกันแล้ว คงมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น พวกเราจึงควรรวมตัวรวมพลังเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น” ในตอนนี้สีหน้าของเกาเฟิงเสี่ยวแสดงออกถึงความเห็นใจ

“ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าซ่งเทียนเจี่ยอีกหรือ” เฉินหลงถาม

คนที่จะแข็งแกร่งกว่าซ่งเทียนเจี่ย มีแต่คนระดับ “ปรมาจารย์โดยกำเนิด” เท่านั้น คือคนที่มีพลังถึงระดับของขอบเขตที่มีมาแต่แรกเริ่ม มีคนที่แกร่งกล้าขนาดนั้นอยู่ในสี่สกุลเก่าแก่นี่จริงๆหรือ

“มีสิ สกุลเก่าแก่ทั้งสี่มีอยู่ในปักกิ่งมาหลายร้อยปีแล้ว หากคนที่แกร่งกล้ามีเพียงซ่งเทียนเจี่ย พวกเราคงไม่ต้องใส่ใจอะไรมากขนาดนี้” เกาเฟิงเสี่ยวไม่ได้กล่าวถึงซ่งเทียนเจี่ยว่าสูงส่งอย่างชัดเจน

เมื่อได้ยินที่เกาเฟิงเสี่ยวว่าแล้ว เฉินหลงเริ่มคิดจริงจังว่าเหตุผลที่สกุลซ่งยอมให้พวกเขากลับออกมาวันนั้นต้องเป็นเพราะพวกเขากลัวในกำลังของตัวเองเป็นแน่ หากสกุลซ่งรู้แล้วว่าพวกเขาไม่มีกำลังใดหนุนหลังอยู่พวกเขาคงไม่ยอมให้ง่ายๆ

ดูเหมือนว่าพวกเราต้องการคนหนุนหลังจริงๆแล้ว อิทธิพลของเกาเฟิงเสี่ยวก็ดูไม่เลวแล้วยังเป็นคนของรัฐอีก ดูแล้วช่างเหมาะจะเป็นผู้สนับสนุนเสียจริง

“มีข้อจำกัดอะไรในการเข้าร่วมกับพวกคุณหรือไม่” เฉินหลงยังกลัวว่าเขาจะโดนควบคุมอยู่ หากไม่ใช่เพราะการคุกคามของสกุลซ่งแล้ว เฉินหลงคงไม่ต้องเข้าร่วมกับฝ่ายใด นั่นเพราะเขามีกำลังของตนอยู่

“น้องเฉิน อย่ามองหน่วยเราแย่เกินกว่าความจริงสิ หน้าที่ของหน่วยเราคือการรวมมือกันเพื่อปกป้องประเทศจากการคุกคาม พูดง่ายๆก็คือพวกเรามีความอิสระมากที่จะทำตามอย่างที่เราอยากทำ ด้วยตัวตนของเรานี่ไม่ว่าจีนที่เกรียงไกรจะทำอะไร เรามีสิทธิ์ที่จะทำอย่างอื่น และนั่นก็เป็นเรื่องที่เยี่ยมอย่างมาก อีกอย่างหากนายเข้าร่วมกับเราแล้วนายยังได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้เงินเดือนระดับหัวหน้าเลยหน่า ถึงแม้นายจะไม่ได้มีพลังอะไรจริงๆแต่แบบนี้ก็ไม่เลวนี่” เกาเฟิงเสี่ยวมองเฉินหลง

เฉินหลงได้ยินที่เกาเฟิงเสี่ยวว่าแล้วเขาคิดว่าการเข้าร่วมก็ไม่มีอะไรเสียหาย หากประเทศของเขากำลังโดนคุกคาม เฉินหลงคิดถึงเหตุผลอื่นที่เขาจะหลีกเลี่ยงไม่ออก เรื่องนี้เขาควรเข้าไปยุ่งด้วย

เนื่องจากวันต่อมาเฉินหลงต้องพบกับเกาเฟิงเสี่ยวอีก เขาจึงแยกกันกลับไป

ในขณะที่แยกกับเกาเฟิงเสี่ยวแล้ว ฮ่าวฉางชิงมาหาเฉินหลงถึงหน้าประตู

“คุณฮ่าว ต้องการให้ช่วยอะไรไหมครับ” เฉินหลงมองฮ่าวฉางชิงที่ดูกังวลแล้วเขาถามอย่างสงสัย

ฮ่าวฉางชิงบอกเฉินหลงตรงๆเรื่องมะเร็งกระเพาะอาหารที่ลู่หนานเป็น

“เสี่ยวเฉิน นายมีพลังเห็นความผิดปกติของร่างกายลู่หนาน พอจะมีทางที่จะรักษาเขาหรือไม่” ฮ่าวฉางชิงมองตรงไปหาเฉินหลง

“มะเร็งที่ช่องท้องของลู่หนานยังเป็นเพียงแค่ระยะที่หนึ่งครับ ตามทฤษฏีแล้วผมว่ายังรักษาได้แต่ผมต้องการเวลาเตรียมการเล็กน้อย รอผมสักหนึ่งเดือนนะครับ แม้เวลาที่ให้คอยจะดูไม่นานมาก แต่คุณฮ่าวช่วยบอกให้คุณลู่ทำใจให้สบายและมีความสุขไว้ในช่วงนั้นทีนะครับ เพื่อที่การรักษาจะได้ราบรื่นในขั้นต่อไป” เฉินหลงคิดแล้วก็พูดไป

มะเร็งกระเพาะอาหารที่ลู่หนานเป็นนั้นแน่นอนว่าด้วยการแพทย์สมัยนี้ยังเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ทว่าด้วยพลังของระบบเถาเปาที่ทรงพลังนี้ยังมีทางออกมากมายเพื่อรักษา เช่น “ยาชูเจิ้ง” “ยารักษาโรค” “ยาแก้ไขยีนส์” และอะไรต่างๆอีกมากมายที่ใช้งานได้โดยตรงและมีประสิทธิภาพอีกทั้งยังใช้ได้ง่าย เพียงแต่แต้มแลกเปลี่ยนสูงอยู่นิดหน่อย

อย่างไรเสียเฉินหลงไม่ได้คิดจะใช้ของพวกนั้นเพื่อรักษาโรคที่ลู่หนานเป็นอยู่แล้ว เขาคิดว่าเขาจะใช้แต้มแลกหนังสือการแพทย์มาจากระบบและเรียนรู้วิธีรักษาลู่หนาน เพราะในท้ายที่สุดแล้วในฐานะที่เป็นคนคนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นคนที่สูงส่งหรือไม่ ไม่ว่าคนคนนั้นจะต้องเจอกับโศกนาฏกรรมหกครั้งหรือต้องเป็นโรคหกโรคก็ตามแต่เมื่อเขาเป็นโรคใดแล้ว มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่จะถามไถ่ตัวเขาเองได้

หนังสือการแพทย์ที่แลกเปลี่ยนมาจากระบบคือทางที่จะเรียนรู้ตราบใดที่ยังสามารถที่จะทำได้อยู่ อีกอย่างยังไม่ต้องอาศัยเวลานาน อย่างไรก็ตามแต้มแลกเปลี่ยนที่เฉินหลงมียังไม่มากพอจะแลกหนังสือที่ว่า เขาต้องขายเครื่องมือให้ได้เสียก่อน เฉินหลงยังคิดว่าหากขายเครื่องมือในร้านของเขาเองไม่ได้เขาจะเอาไปขายในร้านของอาจารย์ขี้งกของเขา แต่อย่างไรคงต้องใช้เวลา

“ยังมีทางครับ เอาล่ะ ไปบอกเขาเถอะครับ” เมื่อได้ยินคำของเฉินหลงว่ามีทางรักษาโรคที่ลู่หนานเป็น ฮ่าวฉางชิงก็จากไปอย่างตื่นเต้น

และเมื่อเฉินหลงเห็นท่าทีของฮ่าวฉางชิงแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว