TB:บทที่ 100 คนหลอกลวงที่เก่งกาจ

 

“เหลาลู่ ข่าวดีครับ ข่าวดี เมื่อกี้ผมถามเสี่ยวเฉินมา เขาบอกว่าเขามีทางครับ แต่อาจจะใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนเพื่อเตรียมตัว” ฮ่าวฉางชิงกล่าวตอนที่เขามาถึงบ้านของลู่หนาน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“จริงหรือ” วานเจี่ยกล่าวอย่างดีใจ

วานเจี่ยและลู่หนานผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันเป็นสิบๆปี สำหรับตัวเธอแล้ว วานเจี่ยเป็นห่วงสภาพร่างกายลู่หนานมากกว่าตัวเอง

“ใช่แล้วครับ เขาบอกผมเองว่าต้องการเวลาเพื่อเตรียมตัวเดือนหนึ่ง แล้วเขายังหวังว่าเหลาลู่จะยังรักษาความอารมณ์ดีไว้ในช่วงที่รอด้วยเพื่อที่จะสะดวกต่อการรักษาขั้นต่อไปครับ” ฮ่าวฉางชิงทวนคำเฉินหลง

เมื่อได้ยินฮ่าวฉางชิงพูดดังนั้น สีหน้าของวานเจี่ยและลู่หนานก็แสดงความตื่นเต้นออกมา

“คนโกหก”

จู่ๆก็มีเสียงขัดขึ้นมา

ฮ่าวฉางชิงตกใจที่มีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย

“เสี่ยวเชียง เธออยู่ที่นี่ด้วยหรือ” ฮ่าวฉางชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เขากำลังกล่าวกับเด็กสาวที่อายุเกือบยี่สิบปี เธอมีคิ้วโก่งเรียว ตาฉ่ำหวานเหมือนดอกท้อ จมูกโด่ง ริมฝีปากเล็กแดงระเรื่อ เจ้าของเสียงแหลมเล็กกำลังมองฮ่าวฉางชิงด้วยความโกรธ

แม้ในตอนนี้โลกเราจะมีความสวยที่สร้างขึ้นมาหลายแบบที่ทำให้คนทุกคนหน้าตาเหมือนกันไปหมดทว่าเด็กสาวคนนี้มีความงามจากธรรมชาติโดยแท้

“เสี่ยวเชียง อย่าทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้สิ” วานเจี่ยมองหลานสาวของเธอและกล่าวด้วยสีหน้าไม่ชอบใจนัก

เพระวานเจี่ยเติบโตในครอบครัวที่มีการศึกษา เธอจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกหลานเธอ ในตอนนี้หลานสาวเธอไม่สุภาพและวานเจี่ยไม่มีความสุขกับเรื่องนี้

“พี่สะใภ้ครับ ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร” ฮ่าวฉางชิงรีบกล่าว

ลู่เชียงเป็นเด็กคนหนึ่ง ฮ่าวฉางชิงจะต่อล้อต่อเถียงกับเธอได้อย่างไร

“คุณยาย เชื่อคำของเขาจริงๆหรือ หนูคิดว่าเรื่องคุณตานี่ควรให้โรงพยายาบาลรักษาดีกว่าไหมคะ”

ลู่เชียงเป็นนักศึกษาแพทย์ เธอจึงไม่เชื่อคำของฮ่าวฉางชิง ถึงแม้เธอจะหวังให้โรคของคุณตาของเธอรักษาหายได้ก็ตาม แต่เธอไม่ได้อยากให้ใครหลอกตาของเธอ และเพราะการหลอกให้มีความหวังแล้วทำลายความหวังนั้นไปเป็นสิ่งที่เลวร้ายเป็นที่สุด

“เสี่ยวเสี่ยวเชียง ยายว่าหลานควรมีมารยาทกับคนที่แก่กว่านะ” เมื่อเห็นว่าลู่เชียงยังคงไม่สุภาพ วานเจี่ยจึงขึ้นเสียงอีกครั้ง

“พี่สะใภ้ครับ ไม่เป็นไรจริงๆครับ เสี่ยวเชียง แกแค่เป็นห่วงเหลาลู่น่ะครับ” เขาเห็นวานเจี่ยโกรธอย่างมากแล้ว ฮ่าวฉางชิงจึงรีบกล่าวขึ้นมา “เสี่ยวเชียง ฉันรู้ว่าเธอเป็นหมอแต่เธอเห็นว่าคุณตาเธอเป็นอะไรก่อนหน้านี้ไหม”

ลู่เชียงไม่ตอบ เธอทำเพียงส่ายหัวเท่านั้น

“แต่คนที่ฉันไปคุยมาน่ะ เขารู้ก่อนเลยนะว่ามีอะไรผิดปกติกับร่างกายของตาของเธอ” ฮ่าวฉางชิงว่าต่อ

“อาจจะบังเอิญก็ได้” ลู่เชียงยังคงไม่เชื่อเขา

“เสี่ยวเชียง อย่างไรก็เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น ไม่อยากให้คุณตาหายหรือ เพียงแค่อีกเดือนเดียว เธอก็จะรู้แล้วว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่” ฮ่าวฉางชิงเชื่อใจเฉินหลงอย่างเต็มเปี่ยม

“เช่นนั้นก็ได้ เดือนเดียวก็เดือนเดียว หากคนคนนั้นรักษาคุณตามให้หายไม่ได้ภายในหนึ่งเดือน เขาควรต้องขอโทษพวกเรา”

ลู่เชียงว่าโดยไม่แสดงความอ่อนแออกมาเลย

แม้เพียงแค่เดือนเดียวจะรักษาคุณตาของเธอได้ไม่มาก แต่ก็คุ้มกับการรักษาช้าไปหนึ่งเดือน เพราะเรื่องนี้ทำให้เธอโกรธดังนั้นเธอจึงคิดว่าควรให้เฉินหลงขอโทษ

“ได้สิ” ฮ่าวฉางชิงรับปาก เขาไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้หากเขาไม่ต้องการ แต่เขาตอบตกลงเนื่องจากความเชื่อมั่นในตัวเฉินหลงว่าเขาจะไม่ทำพลาด

เมื่อได้ยินคำมั่นของฮ่าวฉางชิงแล้ว ลู่เชียงหันหน้าไปด้านหนึ่งและไม่มองฮ่าวฉางชิงอีก เพราะแม้เขาจะรับคำของเธอแต่ลึกๆแล้วเธอยังโกรธจึงทำให้เธอไม่มองฮ่าวฉางชิง

“เหลาฮ่าว เด็กคนนี้โดนพวกเราตามใจน่ะ ไม่ต้องไปถือสาหรอก” วานเจี่ยยิ้มให้ฮ่าวฉางชิงอย่างเสียไม่ได้

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” ฮ่าวฉางชิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

เขารู้ว่าลู่เชียงเป็นห่วงอาการป่วยของตาเธอจึงไม่อยากจะโทษคำพูดของหลาน

เมื่อรู้ว่ามีทางรักษาแล้วลู่หนานก็อารมณ์ดีขึ้น เขาคุยกับฮ่าวฉางชิงต่อโดยเป็นเรื่องของเฉินหลงซะมาก

ลู่เชียงตามมาฟังด้วยแต่เธอไม่พูดอะไร เธอทำเพียงนั่งฟังฮ่าวฉางชิงเล่าถึงอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเฉินหลง

ในตอนนี้เฉินหลงเป็นศัตรูของเธอแล้ว คงจะดีกว่าหากเธอจะรู้เรื่องของเขาให้มากขึ้น ยุทธศาสตร์การรบของซันซื่อกล่าวไว้ว่าหากเรารู้จักศัตรูของเราอย่างที่เรารู้จักตนเอง รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง

ฮ่าวฉางชิงกลับไปเมื่ออยู่บ้านของลู่หนานไปได้พักหนึ่ง เพราะลู่หนานเป็นคนไข้เขาควรจะพักให้มากๆ

เมื่อฮ่าวฉางชิงออกไปแล้ว ในหัวของลู่เชียงเริ่มมีภาพของเฉินหลงลางๆ

เด็กหนุ่มหน้าตาดีที่สูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร

“เอาล่ะ จะอะไรนักหนากับหน้าตาดี ถ้ายังเป็นแค่คนหลอกลวง” ลู่เชียงคิดในใจ “ไม่สิ ฟังจากคำของคุณตาฮ่าวภาพยังไม่ชัดเจนพอ ฉันเห็นด้วยตาตัวเองคงดีกว่า” เขาคงถูกกับเสี่ยวเหวิน ลู่เชียงเจอวิธีจัดการแล้ว

เมื่อคิดได้เช่นนั้นลู่เชียงจึงโทรหาฮ่าวฉิเหวิน

ฮ่าวฉางชิงและลู่หนานเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา ดังนั้นความสัมพันธ์ของลู่เชียงและฮ่าวฉิเหวินจึงเยี่ยมมากชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสาวกัน

“พี่เชียง ลมอะไรหอบมาละ ขอบคุณพระเจ้าพี่ยังจำฉันได้อยู่” ทันทีที่รับสายฮ่าวฉิเหวินก็ต่อว่าลู่เชียง

เธอไม่มีทางที่จะลืมหรอก ทว่าลู่เชียงเรียนแพทย์ เธอจึงใช้เวลาอย่างมากไปกับการเรียน

เธอจะหาเวลาที่ไหนไปเจอฮ่าวฉิเหวิน

ถึงกระนั้นลู่เชียงรู้ว่าฮ่าวฉิเหวินจะต่อว่าเธอทันทีที่รับสายเธอจึงยื่นโทรศัพท์ให้ห่างไปก่อน

เมื่อเวลาผ่านไปสักพักลู่เชียงจึงขยับโทรศัพท์มาใกล้หู

“ก็ ที่มหาลัยยุ่งๆน่ะ ถ้าว่างไว้เราไปซื้อของกันนะ” ลู่เชียงว่าด้วยความอับอาย

“ก็ได้ ก็ได้ แต่จำคำตัวเองไว้ด้วย ช่างเถอะ อย่างไรก็ไม่ได้โทรมาหาฉันเพราะเรื่องนี้หรอกใช่ไหม” ฮ่าวฉิเหวินกล่าว

“ใช่อยู่แล้ว ช่วงสองวันนี้คุณลุงฮ่าวมาที่บ้านแล้วบอกว่าเธอมีแฟนหล่อๆอยู่นี่ ไปมีแฟนมาเมื่อไหร่กัน แล้วทำไมไม่บอกฉันเลยเรายังเป็นพี่น้องกันไหมเนี่ย” ทันทีที่เสียงของเธอเปลี่ยนไปลู่เชียงก็ถามฮ่าวฉิเหวิน

“ยังไม่ใช่ อย่าไปฟังคำพูดเรื่อยเปื่อยของคุณพ่อ” เมื่อฮ่าวฉิเหวินพูด เธอมีความลังเล

“ไม่สำคัญหรอกว่าเป็นแฟนหรือยังไม่เป็น เรื่องสำคัญคือจุดประสงค์เธอต่างหาก พยายามเข้า เราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันนะ ขอดูหน้าแฟนเธอว่าหน้าตาเป็นอย่างไรหน่อยสิ” ลู่เชียงว่า

ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือเธอต้องรู้เรื่องเฉินหลงจากฮ่าวฉิเหวินให้มากที่สุด

“เสี่ยวเชียง เขายังไม่ใช่แฟนฉันจริงๆ ถ้าอยากจะเจอเขาฉันนัดให้เขามาก็ได้ แล้วจะแนะนำให้เธอรู้จักเขานะ” ฮ่าวฉิเหวินแก้ความเข้าใจให้ลู่เชียงก่อนแล้วจึงตอบตกลง

ตั้งแต่ที่เธอแยกกับเฉินหลงมาวันนั้น เขายังไม่ได้ติดต่อเธอกลับมาเลย ดังนั้นฮ่าวฉิเหวินจึงอยากหาโอกาสพบกับเฉินหลง