องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 685 เจ้าของร่างเดิมระบายความคับแค้นใจ
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่เห็นด้วย “นิสัยของข้าเดิมเป็นเด็กขี้เล่น รักความสนุก ผู้คนในเมืองหลวงนับไม่ถ้วนที่อิจฉาริษยาข้า คนที่โกรธเกลียดข้าก็มีถมไป การสังหารข้าก็เป็นจุดประสงค์เดียวกันของพวกนาง
หากเป็นอย่างที่เจ้าพูด การที่ข้าได้แต่งงานกับท่านอ๋องเย่นั้นเป็นเพราะข้าใช้กลยุทธ์วิธีการสกปรก ท่านอ๋องเย่ถูกบีบบังคับโดยท่านพ่อของข้า จึงต้องตอบตกลงแต่งงานกับข้า
เขาไม่ฆ่าข้า ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่ฆ่าข้าเหมือนกัน
ในอดีตข้าได้ทำเรื่องไม่ดีไว้ในเมืองหลวงนับครั้งไม่ถ้วน เห็นเด็กสามขวบนั่งกินหมั่นโถวอยู่ข้างถนนก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปแย่งมาและเหยียบลงพื้นอย่างไม่แยแส หลังจากนั้นเด็กเหล่านั้นก็ร้องไห้โวยวาย
เมื่อผู้ใหญ่เหล่านั้นเห็นว่าเป็นข้า แม้แต่คนขอทานก็ไม่มีใครกล้ายุ่งกับข้า
ข้าก็เหมือนกับอันธพาลในเมืองหลวง เจ้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ฉะนั้นเจ้าจึงไม่รู้เรื่องเหล่านี้ แต่หากจะรู้ก็ไม่ยาก เจ้าลองไปสอบถามดูว่าลูกสาวคนโตของแม่ทัพฉีนั้นเป็นคนเช่นไร
เป็นคนหลอกลวงและอันธพาลใช่หรือไม่?”
หวาชิงจ้องหน้าของฉีเฟยอวิ๋นและตกอยู่ในภวังค์
ฉีเฟยอวิ๋นพูดเช่นนี้ออกไปและมีน้ำตาคลอออกมาที่ดวงตาทั้งสอง และเธอก็ค้นพบว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่เธออยากจะพูดออกมา แต่เป็นเธออีกคนหนึ่ง นั่นก็คือเจ้าของร่างเดิมพูดออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะพูดอะไรออกมา จู่ๆ ก็หัวเราะด้วยเสียงเย็นชา
“เจ้าไม่ใช่ข้า เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่จะฆ่าข้าเขาทำไปเพื่ออะไร?” ฉีเฟยอวิ๋นพูดต่อ เธอรู้ว่าตอนนี้เธอไม่อาจควบคุมตัวเองได้
หวาชิงกล่าวขึ้นมา “เจ้าโกรธเกลียดคนที่มีพ่อมีแม่ใช่หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นหันหน้าไปทางอื่นและจ้องมองไปที่กำแพง ในสมองปรากฏภาพความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเมื่อตอนอายุห้าขวบ ตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมยังเป็นเด็กที่น่ารักและเรียบร้อย มีแม่บุญธรรมที่จูงมือนางไปเดินเล่นบนถนน
นางออกไปข้างนอกกับแม่บุญธรรม แม่บุญธรรมซื้อของเล่นให้นางมากมายและนางก็มีความสุขมาก
ระหว่างทางกลับบ้าน แม่บุญธรรมต้องการซื้อของใช้เล็กน้อย จึงพานางไปซื้อของในร้านค้าแห่งหนึ่ง นางยืนกอดของเล่นไว้ที่หน้าประตู เมื่อแม่บุญธรรมเผลอนางก็วิ่งไปข้างนอก และเห็นเด็กคนอื่นที่หน้าประตู จากนั้นจึงเข้าไปเล่นกับพวกเขา และนำของเล่นในมือให้พวกเขาเล่นด้วยกัน
เมื่อเด็กเหล่านั้นเห็นนาง ต่างก็รีบเข้ามาล้อมนางไว้และรังแกนาง ไม่เพียงแค่แย่งของเล่นไปจากมือนาง จากนั้นนางจึงร้องไห้ออกมา
เมื่อเด็กเหล่านั้นเห็นว่านางร้องไห้ก็กังวลว่านางจะพาพ่อแม่มา จากนั้นจึงลากนางไปแอบที่มุมๆ หนึ่ง และไม่เพียงแค่ทุบตีนาง พวกเขายังฉีกชุดที่สวยงามของนางอีกด้วย
เมื่อพวกเขาปลดเสื้อผ้าของนางออก พวกเขาก็เริ่มทำการกระทืบชุดลงกับพื้นและใช้เท้าเขี่ยไปมา
นางโกรธจนวิ่งเข้าไปผลักเด็กเหล่านั้น เด็กเหล่านั้นต่างด่าว่านางว่านางเป็นเด็กไม่มีแม่ และยังบอกว่าพ่อของนางก็ไม่ต้องการนาง เลยออกรบโดยไม่กลับมา
เจ้าของร่างเดิมที่ยังอายุน้อยเมื่อได้ยินเข้าก็รู้สึกเสียใจมาก เด็กเหล่านั้นต่างพากันด่าว่านางว่าเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ไม่ต้องการ
สุดท้ายเด็กเหล่านั้นก็วิ่งหนีไป จากนั้นนางจึงร้องไห้และกลับไปหาแม่บุญธรรม
เมื่อแม่บุญธรรมเห็นเข้าก็รู้สึกตกใจ แต่กลัวว่ากลับไปจะถูกด่า จึงปลอบนางไม่ให้นางร้องไห้และจะกลับไปทำของอร่อยให้นางกิน
เจ้าของร่างเดิมอายุยังน้อย เมื่อกลับไปกับแม่บุญธรรมก็ไม่พูดอะไร
แต่ในใจของนางก็มีบาดแผลมาตลอด หลังจากนั้นเมื่อออกไปข้างนอกก็มักสังเกตเด็กคนอื่น นางสังเกตเห็นว่าคนคนอื่นบริเวณรอบๆ จวนแม่ทัพนั้นต่างก็รู้จักนาง และต่างก็รู้ว่านางไม่มีแม่และพ่อของนางก็ไม่ต้องการนาง
นางได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก หลังจากนั้นเมื่อเดินไปตามท้องถนนและเห็นเด็กที่มีแม่มาด้วยก็มักรู้สึกโกรธและผลักเด็กคนนั้นอย่างมาก
มีหนึ่งครั้งที่รุนแรงมาก นางผลักเด็กคนนั้นล้มตีลังกา พ่อแม่ของเด็กคนนั้นบอกว่านางเป็นเด็กกำพร้า และยังบอกว่าจะไปห้องพ่อของนาง ให้พ่อของนางเอานางไปทิ้ง
นางเด็กเกินไป แต่กลับต้องแบกรับทุกอย่างไว้
จากนั้นจึงเริ่มรังแกเด็กเหล่านั้น รวมไปถึงผู้ใหญ่เหล่านั้น
เมื่อนางเห็นว่าใครมองนางแปลกไปอย่างผิดปกติ นางก็จะรังแกคนนั้น
พ่อของนางนานๆ ครั้งจะกลับมาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นช่วงที่แม่ทัพฉีมักออกรบตลอดเวลา เมืองต้าเหลียงยากจนแสนเข็ญ เมืองเล็กๆ เขตชายแดนต่างก็พากันรังแกพวกเขา พ่อของนางใช้ชีวิตข้างนอกโดยการออกรบ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าการใช้ชีวิตแต่ละวันในเมืองหลวงของนางเป็นเช่นไร
เด็กทุกคนลูกประชาชนทั่วไปต่างก็รังแกนาง นับประสาอะไรลูกๆ ของเหล่าตระกูลขุนนาง
ใครที่พบเห็นนางต่างก็พากันพูดว่านางไม่มีแม่ ไม่มีใครสั่งสอน
นางเป็นคนอันธพาล แต่หากนางไม่อันธพาล นางก็จะถูกคนเหล่านั้นรังแก
และตอนที่นางอายุสิบสองขวบปีนั้น นางออกจากบ้านไปและถูกหลานชายของอาลักษณ์อาวุโสในตอนนั้นรังแกเข้า คนๆ นั้นชื่อว่า โจวไท่ เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ พวกเขาอายุไล่เลี่ยกัน แต่เด็กคนนั้นเหมือนจะโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดว่านางมักจะคอยจับผู้ชายหน้าตาดี
จากนั้นโจวไท่จึงนำคนมาลักพาตัวนาง นางถูกคนจำนวนมากล้อมไว้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย พวกเขาต่างรอดูโจวไท่ขืนใจนาง โจวไท่ยังพูดออกมาว่าจะแต่งงานกับนางและให้นางไปเป็นภรรยารอง โดยรอให้พ่อของนางกลับมาก็จะไปขอ
เจ้าของร่างเดิมขัดขืนและทำร้ายคนเหล่านั้นเพื่อจะหนีออกไป ใช้หินทุบตีพวกเขา หลังจากนั้นนางก็มีชื่อเสียงขึ้นมา
นางตกเป็นคนที่มีชื่อเสียงแย่ในเมืองหลวง
ฉีเฟยอวิ๋นกะพริบตาและน้ำตาก็ไหลตกลงมา เธอกุมมือเอาไว้แน่น
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจออกมา
ในที่สุดเธอก็สามารถควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ทัพน้อยต้องการดูละครเวทีหรือไม่?”
หวาชิงลุกขึ้นยืน “ต้องการสิ!”
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบแส้หนังที่อยู่ในห้องขึ้นมาและยกชายกระโปรงขึ้น จากนั้นจึงก้าวเท้าออกไปราวกับกำลังบิน
หวาชิงที่อยู่ด้านหลังรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก และยกดาบขึ้นมาจากนั้นจึงตามออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปถึงคอกม้าที่เรือนหลัง และจูงม้าตัวหนึ่งออกมา
หวาชิงเห็นว่าจะต้องออกเดินทางไกล นางจึงผิวปากและม้าตัวหนึ่งก็วิ่งออกมาจากเรือนจู๋อวิ๋นไจ
ฉีเฟยอวิ๋นจูงม้าและออกเดินทางไป
เมืองหลวงที่คึกคักก็มีช่วงเวลาที่เงียบสงบเช่นกัน ในตอนเช้านั้นท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก แต่เมื่อถึงตอนบ่ายผู้คนก็ลดน้อยลง
โดยเฉพาะหลังจากตอนที่ม้าอาละวาดเสร็จ ขณะนี้ท้องถนนก็มีผู้คนน้อยกว่าเดิม
ฉีเฟยอวิ๋นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแขนกว้างสีขาวพระจันทร์ ควบม้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว และหวาชิงเป็นเพราะเกิดเรื่องขึ้นจึงต้องเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบแม่ทัพสีม่วงเรียบง่ายตามหลังมาอย่างใกล้ชิด
ไม่นานฉีเฟยอวิ๋นก็เดินทางมาถึงกรมพิธีการคลัง เมื่อลงจากหลังม้าฉีเฟยอวิ๋นก็นำม้าไปผูกไว้กับต้นไม้ และก้าวเท้าเข้าไปข้างใน หวาชิงสะบัดแส้ไปที่ม้าโดยไม่สนใจม้าเลยสักนิด จากนั้นจึงเดินตามเข้าไป
อาอวี่รีบตามมาจากข้างหลัง
เมื่อมาถึงกรมพิธีการคลัง อาอวี่ก็ผูกม้าไว้อย่างดี จากนั้นจึงเดินเข้าไปข้างในอย่างเหนื่อยหอบ
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบป้ายที่อยู่ข้างลำตัวออกมาและมอบให้กับอาลักษณ์กรมพิธีการคลัง “มาหาโจวไท่ เดิมทีเป็นหลานชายของอดีตอาลักษณ์”
อาลักษณ์กรมพิธีการคลังเพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน แต่พระชายาเย่ก็รู้จัก จึงรีบต้อนรับเข้าไป
จากนั้นจึงกล่าวว่า “โจวอี้เหรินเดิมเป็นอาลักษณ์อาวุโสเมื่อครั้งอดีตจักรพรรดิยังอยู่ หากวันนี้เขายังมีชีวิตอยู่ละก็ ก็คงจะมีอายุเก้าสิบปีแล้ว ลูกชายของเขายังคงเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก โดยมีตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีกรมกลาโหมระดับหนึ่ง ส่วนโจวไท่นั้น ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นขุนนางข้าราชการ”
“เขาพักอาศัยอยู่ที่ใดรู้หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นยังคงซักไซ้
อาลักษณ์กรมพิธีการคลังไม่กล้าขัดขืน และตรวจสอบให้ทั้งหมด สุดท้ายก็ได้ทราบว่าเขาพักอาศัยอยู่ที่ใด
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากกรมพิธีการคลังและเดินทางไปที่คุกทันที เมื่อไปถึงก็เรียกให้เวยฉือออกมาพบและให้เขาไปจับโจวไท่ที่บ้านของอดีตอาลักษณ์ผู้อาวุโส