ตอนที่ 191-2 จวนตระกูลเหอเมืองอวิ๋นโจว

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ผ่านความทรมานหนึ่งรอบบาดแผลบนลำคอของเหอหลินหลินก็ใส่ยาพันแผลเรียบร้อยแล้ว ส่วนเสี่ยวจวี๋สาวใช้แรงงานที่ไปขายผ้าในโรงเย็บผ้าก็กลับมาแล้ว เมื่อนางเห็นผ้าบางสีขาวสะอาดบนลำคอของเหอหลินหลิน ก็ตกใจทันที “คุณหนูน้อยเป็นอะไรไปเจ้าคะ”

 

 

หลังอวิ๋นหรงไปชีวิตของพวกนางก็ยังต้องดำเนินต่อ บ่าวในจวนเองต่างก็วางมาด พวกนางแม่ลูกไม่ได้อยู่เป็นสุข แม้แต่บ่าวยังดูถูกพวกนาง เสิ่นหย่าคิดอยากจะทำอาหารอร่อยให้ลูกสาวก็ยังต้องใช้เงิน สินเดิมของนางส่วนใหญ่อยู่ในมือแม่สามี เครื่องประดับไม่กี่ชิ้นที่เหลืออยู่ก็หมดลงเรื่อยๆ แล้ว

 

 

เมื่อหมดหนทางจริงๆ ก็ทำได้เพียงเย็บกระเป๋าเงินใบเล็กผ้าเช็ดหน้าแลกเงินเบี้ยเลี้ยง ก่อนหน้านี้คนที่ออกไปส่งผ้าที่โรงเย็บผ้าล้วนแต่เป็นอวิ๋นหรง ตอนนี้อวิ๋นหรงไปแล้ว ทำได้เพียงให้เสี่ยวจวี๋ไป

 

 

“ไม่เป็นไร ไม่ทันระวังเล็กน้อย” เหอหลินหลินกล่าวอย่างเรียบง่าย

 

 

แม้เสี่ยวจวี๋จะรู้ว่าเหตุการณ์จะต้องไม่เหมือนอย่างที่คุณหนูน้อยพูดแน่นอน แต่ในเมื่อคุณหนูน้อยพูดเช่นนี้แล้ว นางก็ไม่กล้าถามอะไรมาก กลับล้วงกระเป๋าเงินใบเล็กในอกออกมาอย่างระมัดระวังยื่นให้เสิ่นหย่า “คุณหนู ผ้าครั้งนี้แลกเงินมาได้หนึ่งสองสามตำลึงเงิน อยู่ในนี้หมดแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เสิ่นหย่ารับกระเป๋าเงินใบเล็กเข้ามา ส่งให้แม่นมชราข้างๆ อย่างไม่แม้แต่จะมอง “แม่นมเก็บไว้ดีกว่า” นางหัวเราะเยาะตัวเองในใจ ตอนแรกที่จวนโจว แม้ว่านางจะไม่ใช่ลูกที่ได้รับความโปรดปราน แต่ก็ไม่ได้ยากจนถึงขนาดนี้ เมื่อไรกับที่บุตรสาวจวนโหวเช่นนางตกต่ำจนต้องใช้ชีวิตด้วยเงินไม่กี่ตำลึงทองไม่กี่ตำลึงเงินเช่นนี้

 

 

“ท่านแม่ ท่านว่าอวิ๋นหรงจะไปถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ท่านตาจะสนใจพวกเราหรือไม่” ในใจเหอหลินหลินไม่รู้อะไรเลย

 

 

เสิ่นหย่าพยักหน้ากล่าวอย่างไม่แม้แต่จะคิด “ขอเพียงแค่ตาเจ้ารู้สถานการณ์ของพวกเรา เขาจะต้องไม่นิ่งดูดายแน่นอน” นางไม่มั่นใจแม่ใหญ่กับพี่ชายพี่สะใภ้ทั้งหลาย แต่นางกลับรู้ว่าพ่อนางจะต้องสนใจนางแน่นอน

 

 

พ่อนางผู้นั้นดูเหมือนเข้มงวดน่าเกรงขาม แต่ความจริงแล้วกลับดีต่อลูกๆ คำพูดนี้อี๋เหนียงของนางเป็นคนพูดกับนาง น่าแปลกยิ่งนัก ตอนที่อี๋เหนียงจากไปนางเพิ่งจะอายุได้ห้าขวบ ตอนนี้นางจำไม่ได้แม้แต่หน้าตาอี๋เหนียงของนาง แต่กลับจำประโยคนี้ได้ขึ้นใจ ดังนั้นตอนแรกที่นางชอบใจเหอจังหมิงจึงกล้าโวยวาย ส่วนบิดาของนางก็รักลูกจริงๆ แม้ว่าจะไม่ยินดีแต่ก็ยังคงทำให้นางสมหวัง

 

 

คิดถึงตรงนี้ในใจเสิ่นหย่าก็เจ็บปวด ผู้เป็นลูกสาวเช่นนางเองที่อกตัญญู ไม่แสดงความกตัญญูต่อหน้าพ่อ ซ้ำยังต้องทำให้ท่านพ่อที่แก่แล้วมานั่งทุกข์ใจแทนนางอีก

 

 

เหอหลินหลินกัดริมฝีปากดวงตากะพริบวาบ “ท่านแม่ หากว่า หากว่าอวิ๋นหรง…” กำปั้นข้างลำตัวนางกำแน่น กล่าวอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ พวกเราหนีกันเถอะ!” หนีจากจวนตระกูลเหอ หนีไปให้ไกลๆ

 

 

เห็นแววตาที่จริงจังของบุตรสาว เสิ่นหย่าก็ลูบศีรษะนางแล้วฝืนยิ้มเล็กน้อย “เด็กโง่พวกเราจะหนีออกไปได้อย่างไร แล้วจะหนีไปที่ไหนได้” พวกนางเป็นเพียงสตรีที่อ่อนแอแก่ชราไม่กี่คน แม้จะโชคดีหนีออกจากจวนตระกูลเหอได้ แต่ไหนเลยจะออกไปจากเขตแดนเมืองอวิ๋นเหอได้ ตลอดเส้นทางนี้ไปจนถึงเมืองหลวงไกลกว่าพันลี้ พวกนางไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทั้งยังไม่มีผู้ติดตามที่มีอำนาจ จะไปเมืองหลวงได้อย่างไร

 

 

เหอหลินหลินคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจว่าความคิดของตนไร้เดียงสาเกินไปแล้ว “หวังว่าอวิ๋นหรงจะไปถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย”

 

 

ทำได้เพียงปลอบตัวเช่นนี้! เสิ่นหย่ากอดลูกสาวเข้ามาในอ้อมอก ในใจวิตกกังวลกว่าร้อยรอบ ทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรกับลูกสาวดี ทำอย่างไรจึงจะให้คนชั่วผู้นั้นปล่อยลูกสาวของนางไป

 

 

เสิ่นเวยนอนอยู่บนรถม้าพลิกอ่านข่าวที่ทหารลับส่งกลับมา ตั้งแต่ที่ซีเจียงครั้งนั้น เสิ่นเวยก็ใช้ทหารลับคล่องมือแล้ว ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรล้วนแต่ชอบใช้ทหารลับไปเปิดทางข้างหน้าก่อน ประสิทธิภาพสูงอย่างยิ่ง

 

 

จุ๊ๆ อาเขยไม่แท้ผู้นี้ของนางแปลกคนจริงๆ คาดไม่ถึงว่าเอาม้าซูบผอมมาเป็นอี๋เหนียง อีกทั้งยังเป็นอนุภรรยาศักดิ์สูงอีกต่างหาก เท่านี้ยังไม่พอ อี๋เหนียงสามคนและสาวใช้ที่เลื่อนขั้นเป็นอนุภรรยาสองคนในเรือนหลังของเขา หนึ่งในนั้นเป็นม้าซูบผอม หนึ่งคนเป็นหญิงขายศิลปะในหอนางโลม อีกหนึ่งคนเป็นหญิงนางโลมผิดกฎหมาย ไม่มีสตรีสกุลดีสักคน จะบอกว่าอาเขยไม่แท้มีรสนิยมพิเศษก็ไม่ได้ ตามข่าวที่ทหารลับส่งกลับมา เขาถูกปิดหูปิดตาอย่างสิ้นเชิง

 

 

เหอๆๆ เสิ่นเวยหัวเราะอยู่เงียบๆ นางกำลังคิดว่าจะประกาศเรื่องนี้ให้อาเขยไม่แท้รู้ดีหรือไม่ สีหน้าของเขานั้นจะต้องตื่นตะลึงเป็นแน่! อยากเห็นจริงๆ

 

 

เสิ่นเวยยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุข กระทั่งได้อ่านข่าวว่าอาเขยไม่แท้ผู้นั้นบีบบังคับญาติผู้น้องนางจนต้องใช้ปิ่นจ่อคอตัวเอง รอยยิ้มบนใบหน้าก็หยุดชะงักในชั่วขณะ

 

 

“เร่งทุกส่วนเดินทาง คืนนี้พวกเราไม่ต้องพัก” เสิ่นเวยสั่งคนทั้งหมด นางกลัวว่าหากเดินทางล่าช้าท่านอากับญาติผู้น้องของนางอาจจะถูกทรมานยิ่งกว่านี้

 

 

เร่งเดินทางไม่หยุดพัก ในที่สุดเสิ่นเวยก็เข้าเมืองอวิ๋นโจวแล้ว นางไม่สนทัศนียภาพสองข้างทาง ตรงไปยังจวนตระกูลเหอทันที

 

 

ตอนที่เสิ่นเวยไปถึงหน้าประตูเหอจังหมิงอยู่ในจวนพอดี ได้ยินรายงานของบ่าวรับใช้เขาก็ตกใจจนแก้วชาแทบจะร่วงลงบนพื้น “อะไรนะ เจ้าพูดอีกรอบสิ ผู้ที่มาเป็นใคร” มาเร็วเพียงนี้เชียวหรือ

 

 

บ่าวผู้นั้นรีบกล่าว “เรียนนายท่าน เป็นคุณชายวัยหนุ่ม บอกว่าเป็นหลานชายบ้านฝั่งมารดาของฮูหยินพวกเรา” แววตาบ่าวผู้นั้นเป็นประกาย ใครไม่รู้บ้างว่าฮูหยินเป็นเพียงของประดับ ผู้ที่เป็นใหญ่ในจวนก็คือเถียนอี๋เหนียง ตอนนี้แย่แล้ว หลานบ้านฝั่งมารดาของฮูหยินมาหาถึงหน้าประตูแล้ว ดูสิว่านายท่านจะทำเช่นไร

 

 

ทว่าเหอจังหมิงกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก ผู้ที่มาไม่ใช่พ่อตาเขา และไม่ใช่พี่ชายภรรยาสามคนนั้นของเขา แต่เป็นรุ่นหลานวัยหนุ่ม เช่นนั้นเขาจะยังกลัวอะไร “เร็ว รีบไปเชิญเข้าจวนเถอะ” วางใจลงแล้ว จะทำอะไรก็สบายขึ้นมาก

 

 

เถียนอี๋เหนียงดูแลจวนทุกระดับชั้น เรื่องที่ประตูใหญ่มีแขกมานางย่อมทราบแล้ว เมื่อนางได้ข่าวก็รีบตามมา

 

 

“นายท่าน ฟังว่าบ้านฝั่งมารดาฮูหยินมีคนมาหรือ ข้าต้องเตรียมห้องรับแขกกับโต๊ะเลี้ยงแขกหรือไม่” นางถามเสียงเบา

 

 

เหอจังหมิงเห็นเถียนอี๋เหนียงมุมปากก็อดยกขึ้นไม่ได้ เถียนอี๋เหนียงปรนนิบัติเขามาสิบกว่าปีแล้ว ว่ากันตามความจริงก็ไม่น่าจะมีความสดใหม่หลงเหลืออยู่นานแล้ว แต่กลับกันเสียอย่างนั้น เหอจังหมิงไม่เพียงแต่ไม่เบื่อนาง กลับยิ่งหลงใหลมากขึ้น อันที่จริงเถียนอี๋เหนียงผู้นี้เป็นหญิงงาม ลีลาบนเตียงนั้น ทุกครั้งก็ทำให้เหอจังหมิงมีความสุขราวกับว่ายังเป็นเด็กหนุ่ม

 

 

“ไม่ต้องกังวลไป ผู้ที่มาเป็นหลานชายของฮูหยิน ห้องรับแขกกับโต๊ะรับแขกเจ้าก็ไปจัดเตรียมเถอะ ลำบากเจ้าแล้ว” เหอจังหมิงตบมือของเถียนอี๋เหนียง ท่าทางชื่นชมอย่างถึงที่สุด แม้ว่าฮูหยินจะใช้ไม่ได้ แต่เถียนอี๋เหนียงกลับจัดการเรือนหลังของเขาได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

 

 

เถียนอี๋เหนียงเม้มปากยิ้ม งดงามเปี่ยมเสน่ห์ ชายตามองเหอจังหมิงปราดหนึ่งอย่างเง้างอน “ลำบากอะไรกัน ข้าล้วนทำเพื่อนนายท่านมิใช่หรือไร” ท่าทางหว่านเสน่ห์นั่น เสียงเล็กๆ ที่อ่อนนุ่ม แทบจะทำให้เหอจังหมิงสติแตกขึ้นมาตรงนั้น

 

 

เสิ่นเวยตามคนรับใช้จวนตระกูลเหอเข้ามาในจวนแล้ว ขี้เกียจจะมองประเมิณทิวทัศน์รอบข้าง นางอยากจะรีบเจออาและญาติผู้น้องของนางเท่านั้น

 

 

เหอจังหมิงเห็นคุณชายวัยหนุ่มที่สวมชุดคลุมผ้าไหมรูปงามดั่งหยกผู้หนึ่งเดินช้าๆ เข้ามาแต่ไกล ในใจก็อดชมว่าหน้าตาดีไม่ได้ เถียนอี๋เหนียงที่อยู่ข้างๆ ก็ตกตะลึงเล็กน้อย ใครๆ ก็บอกว่าเฉิงเกอเอ๋อร์ของนางหน้าตาโดดเด่น แต่เมื่อเทียบกับคุณชายสูงส่งผู้นี้แล้ว เฉิงเกอเอ๋อร์กลับถูกบดบังลงไปทันที ในใจนางไม่สบายใจขึ้นมารางๆ

 

 

“คนผู้นี้ก็คือท่านอาเขยใช่หรือไม่ ในจวนโหวหลานมีลำดับที่สี่ ท่านอาเขยเรียกหลานว่าหลานสี่ก็ได้” เสิ่นเวยทำความเคารพด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในดวงตามองประเมินท่านอาเขยไม่แท้ผู้นี้ เห็นเพียงเขาสวมอาภรณ์สีแดงเข้ม หน้าต่างค่อนข้างดี ทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปัญญาชน ทำให้เขามองดูแล้วยังเป็นหนุ่มแน่น ชวนให้คนเกิดความรู้สึกดีในชั่วขณะ วัยกลางคนแล้วยังมีเสน่ห์เช่นนี้ มิน่าเล่าตอนยังหนุ่มถึงได้ทำให้ท่านอาตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ

 

 

“อ้อ หลานสี่เองหรือ รีบนั่งเถิด เดินทางมาไกล เหนื่อยหรือไม่” เหอจังหมิงอัธยาศัยดี แต่ความหยั่งเชิงในแววตากลับหนีไม่พ้นสายตาของเสิ่นเวย

 

 

เสิ่นเวยเองก็ไม่เกรงใจ สะบัดชุดคลุมนั่งลงทันที กล่าวราวกับตามอำเภอใจ “เหนื่อยอย่างยิ่ง อากาศหนาวเหน็บ ออกมาข้างนอกทรมานยิ่งนัก แต่จะทำอย่างไรได้ท่านปู่มีคำสั่ง หลานสี่เองก็ทำได้เพียงวิ่งมาที่นี่เที่ยวหนึ่ง อ้อจริงสิ ท่านอาเขยคงยังไม่รู้ว่าหลานสี่มาทำไม พวกเราต่างก็เป็นญาติกัน หลานสี่ขอพูดตรงไปตรงมาแล้วกัน ฟังว่าท่านอากับญาติผู้น้องอยู่ที่จวนตระกูลเหอได้รับความยากลำบากไม่น้อย ท่านปู่ไม่สบายใจจึงส่งหลานสี่มาเยี่ยมที่อวิ๋นโจว ท่านอาเขย เหตุใดถึงไม่เห็นท่านอากับญาติผู้น้องเล่า” ท่าทีของเสิ่นเวยจริงใจอย่างยิ่ง!

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าเหอจังหมิงแทบจะรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว แววตากะพริบวาบกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ ก็ได้ยินเถียนอี๋เหนียงกล่าว “คุณชายสี่ช่างเป็นหนุ่มรูปงามจริงๆ! เรียนให้คุณชายสี่ทราบ ตั้งแต่ที่ท่านพี่คลอดคุณหนูใหญ่ ร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง ตลอดทั้งปีรักษาตัวอยู่ในเรือน คุณชายสี่เข้าห้องพักให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปหาท่านพี่กับคุณหนูใหญ่ดีหรือไม่”

 

 

บนใบหน้านางมีรอยยิ้มบางๆ ที่ตนคิดไปเอง ซ้ำยังคิดว่าตนใส่ซื่อบริสุทธิ์ อืม อย่างน้อยเหอจังหมิงมองดูแล้วก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นแววตาที่ชื่นชมของนายท่าน รอยยิ้มบนใบหน้าของเถียนอี๋เหนียงก็ยิ่งกว้าง ในใจก็ยิ่งพอใจ

 

 

ทว่าเสิ่นเวยกลับขมวดคิ้ว เชิดคางไปทางเถียนอี๋เหนียงเล็กน้อย กล่าว “คนผู้นี้คือ?”

 

 

“ข้าคืออี๋เหนียงของจวนตระกูลเหอ หลายปีมานี้ที่ท่านพี่นอนพักฟื้นร่างกาย ล้วนแต่เป็นข้าที่ช่วยจัดการกิจธุระในจวน” เถียนอี๋เหนียงภูมิใจเล็กน้อย

 

 

เสิ่นเวยหน้าตึงทันที วางชาลงบนโต๊ะ สายตาที่มองเหอจังหมิงก็เหยียดหยามขึ้นมา “ท่านอาเขย ก่อนหน้านี้หลานสี่ได้ยินว่าท่านอาใช้ชีวิตอยู่ในจวนตระกูลเหออย่างยากลำบากก็ยังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ได้ยินเถียนอี๋เหนียงผู้นี้พูด หลานสี่กลับเชื่อแล้ว…อี๋เหนียงเล็กๆ คนหนึ่ง เป็นเพียงคนต้อยต่ำ นายพูดอยู่มีสิทธิ์ให้เจ้าพูดแทรกหรือ ยังมีมารยาทอยู่หรือไม่ มิหนำซ้ำยังจัดการเรื่องในจวน ท่านอาเพียงแค่สุขภาพไม่ดี ข้างกายนางยังมีแม่นมที่รู้จักระเบียบประเพณีที่นำมาจากจวนโหวด้วยไม่น้อย เหตุใดถึงต้องให้อี๋เหนียงคนหนึ่งยื่นมือวาดเท้าเล่า” สายตาเสิ่นเวยเย็นเยียบ

 

 

สีหน้าของเถียนอี๋เหนียงเปลี่ยนฉับพลัน ประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวม่วง เหอจังหมิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ คุณชายสี่แซ่เสิ่นผู้นี้ดูท่าทางเป็นผู้ใหญ่ เหตุใดถึงได้ประพฤติตัวเผด็จการเช่นนี้

 

 

“คุณชายสี่ ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ไม่ใช่แบบที่ท่านคิด ท่านพี่นาง…” เถียนอี๋เหนียงอดทนอดกลั้นคิดจะอธิบาย

 

 

เสิ่นเวยตัดบทพูดนางทันที “หุบปาก! ยิ่งพูดเจ้าก็ยิ่งเหิมเกริมใช่หรือไม่ ข้าโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยเห็นบ่าวที่เหยียบจมูกขึ้นหน้าเช่นเจ้ามาก่อน เป็นแค่คนต้อยต่ำ ยังกล้าทะนงตน ยังรู้จักกฎระเบียบอยู่หรือไม่ เย่ว์กุ้ย ตบปากให้ข้า สั่งสอนอี๋เหนียงผู้นี้เสียหน่อยว่าอะไรคือกฎระเบียบ” เสิ่นเวยตั้งใจเรียกเย่ว์กุ้ยที่เป็นยุทธ์

 

 

“เจ้าค่ะ คุณชาย” เย่ว์กุ้ยก้าวออกมา ออกมือดั่งสายฟ้า เถียนอี๋เหนียงกับเหอจังหมิงต่างก็ตอบสนองกลับมาไม่ทัน ถูกตบหน้าดังเพียะๆๆ ไปห้าหกครั้งแล้ว

 

 

ใบหน้าของเถียนอี๋เหนียงแดงก่ำขึ้นมาในชั่วพริบตา นางกุมหน้าด้วยท่าทางเหลือเชื่อ “นายท่าน” นางน้ำตาคลอสะอื้นไห้มองเหอจังหมิง น่าสงสารอย่างยิ่ง ทว่าเสิ่นเวยกลับมองเห็นความโกรธเกรี้ยวที่แวบผ่านแววตานาง ยกยมุมปากขึ้นอย่างอดไม่ได้

 

 

เหอจังหมิงทั้งตกใจทั้งโมโห ตะโกนกล่าวเสียงดัง “หลานสี่ เจ้ามีเจตนาอันใด ไม่เห็นอาเขยเช่นข้าอยู่ในสายตามากเกินไปแล้ว!”

 

 

เสิ่นเวยยิ้มเยาะ “หลานสี่ยังอยากถามท่านอาเขยอยู่เลยว่ามีเจตนาอันใด หลานชายบ้านฝั่งมารดามาถึงหน้าบ้าน แต่ท่านอากับญาติผู้น้องแท้ๆ กลับไม่ปรากฏหน้า ท่านอาเขยพาอี๋เหนียงออกมาไม่ไว้หน้าใคร คนต่ำช้าที่ไม่รู้จักกฎระเบียบเช่นนี้หากอยู่ที่จวนจงอู่โหวคงจะถูกฆ่าทิ้งไปนานแล้ว แต่ท่าอาเขยยังโปรดปรานทะนุถนอมเป็นของล้ำค่า อ้อ หลานสี่รู้แล้ว ท่านอาเขยโปรดอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอกสินะ ใต้เท้าผู้ตรวจการทราบหรือไม่”

 

 

เหอจังหมิงได้ยินชื่อผู้ตรวจการ แม้ว่าสีหน้าจะไม่แสดงออก แต่เบื้องลึกในใจกลับเสมือนถูกทำลายชีวิตอันสงบสุข เขาเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมต้องรู้ว่าการโปรดอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอกเช่นนี้ หากถูกผู้ตรวจการแจ้งคนในให้กราบทูลรายงานองค์จักรพรรดิคงจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาแน่นอน เดิมเขาก็ถูกเสิ่นเวยเอ่ยต้อนด้วยเหตุผลแล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งพูดไม่ออก อ้าปากอ้ำอึ้งอยู่หลายครั้ง จากนั้นจึงกล่าว “อย่างไรเสียนางก็เป็นอนุภรรยาของอาเขย หลานสี่ก็ควรไว้หน้าสักหน่อยจึงจะถูก”

 

 

ทว่าเสิ่นเวยกลับแค่นเสียงหนึ่งคราลุกขึ้นยืน “คุยกันไม่ถูกคอครึ่งคำก็มากเกิน ท่านอาเขยไม่ต้อนรับหลานสี่ด้วยความจริงใจ เช่นนั้นหลานสี่ก็จะไปเยี่ยมท่านอาเดี๋ยวนี้” นางยกเท้าเดินออกไปนอกประตู ทหารลับของนางสืบข่าวอย่างดีมาก่อนแล้ว ท่านอากับญาติผู้น้องของนางอาศัยอยู่ในเรือนหลังนั้นที่โทรมที่สุดโดดเดี่ยวที่สุดในจวนตระกูลเหอ อีกทั้งฝั่งนางยังมีอวิ๋นหรงผู้ที่คุ้นเคยจวนตระกูลเหอเป็นอย่างดี นางแอบไปที่เรือนของท่านอาแล้ว คาดว่าตอนนี้ท่านอากับญาติผู้น้องน่าจะรู้ว่านางมาถึงแล้ว

 

 

เหอจังหมิงตกใจ เขาจะให้เสิ่นเวยไปที่เรือนเสิ่นหย่าตอนนี้ได้อย่างไร นั่นไม่เท่ากับเป็นการบอกคนอื่นหรือว่าเขาโปรดอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอก เรือนแห่งนั้นก็คือหลักฐานอันโจ่งแจ้ง

 

 

“หลานสี่ กลับมา กลับมา ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องดื่มชาพักกายเสียหน่อย” ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสั่งคนให้ไปจัดระเบียบเรือนที่ทรุดโทรดหลังนั้นก่อน

 

 

เสิ่นเวยไม่สนใจเขาอย่างสิ้นเชิง ข้างกายนางมีโอวหยางไน่กับเถาฮวาเย่ว์กุ้ย บ่าวจวนตระกูลเหอไหนเลยจะขัดขวางนางได้

 

 

และในตอนนี้เอง ในเรือนของเสิ่นหย่าก็กำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่