ตอนที่ 192-1 เปิดฉากศึกบีบคั้นครั้งใหญ่

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านลืมตาสิ ท่านอย่าทำให้ลูกกลัว! ท่านลืมตามองข้าสิ” เหอหลินหลินนั่งอยู่บนพื้นกอดมารดาร่ำไห้ปานใจจะขาด

 

 

เสิ่นหย่าที่นอนราบอยู่บนพื้นปิดตาทั้งคู่สนิท ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว บนลำคอมีรอยรัดที่น่าตกอกตกใจอยู่หนึ่งรอย

 

 

แม่นมชราและเสี่ยวจวี๋เองก็ล้อมวงร่ำไห้ “คุณหนู เหตุใดท่านถึงโง่เพียงนั้น ท่านตัดใจทิ้งคุณหนูน้อยไว้คนเดียวได้อย่างไร คุณหนู ไม่คุ้มกันเลย ท่านโง่เกินไปแล้ว!”

 

 

เหอหลินหลินได้ยินดังนั้นน้ำตาก็ไหลหนักกว่าเดิม เขย่าร่างมารดานางไม่หยุด ตะโกนเรียกมารดาด้วยเสียงสะอึกสะอื้น

 

 

เช้าวันนี้หลังทานข้าวเช้าเสร็จนางก็ทำงานเย็บปักอยู่ในห้อง ทำไปทำมาก็รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบสุข กระทั่งนิ้วมือยังถูกเข็มแทงไปหลายครา นางวางงานปักลงแล้วไปหามารดานางที่ห้องใหญ่ด้วยจิตใจกระวนกระวาย คาดไม่ถึงว่าจะเห็นมารดนางแขวนคออยู่บนคานห้อง นางตกใจจนอกสั่นขวัญหายในชั่วขณะ โผเข้าไปกอดขาทั้งคู่ของมารดานางแล้วร้องตะโกนเสียงดัง แม่นมชรากับเสี่ยวจวี๋ได้ยินเสียงเรียกตะโกนก็วิ่งเข้ามา ตกใจจนขวัญแทบกระเจิง คนทั้งสามร่วมแรงกันกว่าจะนำเสิ่นหย่าลงมาได้

 

 

เหอหลินหลินคิดไม่ถึงเลยว่ามารดานางจะหมดหนทางจนคิดสั้น นางรู้ว่ามารดานางทิ้งนางไม่ลง ตอนนี้ในเมื่อมารดานางเลือกเส้นทางนี้แล้ว เช่นนั้นก็แปลว่าจะต้องทำเพื่อนางแน่นอน

 

 

เมื่อคิดภาพว่าหลังจากนี้นางก็จะเป็นลูกที่ไม่มีแม่แล้ว ซ้ำยังไม่มีใครใช้สายตารักใคร่ทะนุถนอมมองนางอีกแล้ว เหอหลินหลินก็รู้สึกเจ็บปวดใจแทบตาย หายใจไม่ออก นางร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง หายใจไม่เป็นจังหวะ น้ำตาที่ร้อนผ่าวหยดลงบนใบหน้าแม่นาง

 

 

“คุณหนูน้อยอย่างเพิ่งเสียใจไป คุณหนูยังมีลมหายใจเจ้าค่ะ” จู่ๆ แม่นมชราที่วางนิ้วลงบนปลายจมูกของเสิ่นหย่าก็ตะโกนกล่าว

 

 

เสี่ยวจวี๋เองก็ตะโกนด้วยความดีใจ “ดูสิ ดูสิ คุณหนูขยับแล้ว ขยับแล้ว”

 

 

เหอหลินหลินหยุดร้องไห้ทันที ก้มหน้ามองมารดาในอ้อมอก เห็นเพียงคิ้วของมารดานางขมวดมุ่นดั่งคาด ศีรษะเองก็ขยับเล็กน้อย นางดีใจอย่างยิ่ง ร้องตะโกนไม่หยุด “ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านอย่าทิ้งข้าไปเด็ดขาดนะเจ้าคะ!” ตะโกนไปตะโกนมาก็อดเจ็บปวดหัวใจไม่ได้ น้ำตาบดบังทัศนวิสัย

 

 

ดวงชะตาเสิ่นหย่ายังไม่ถึงฆาต หลายวันมานี้นางคิดมาโดยตลอดว่าทำอย่างไรจึงจะขัดขวางไม่ให้สามีผลักหลินเจี่ยเอ๋อร์เข้ากองไฟได้ คิดไปคิดมาก็มีเพียงวิธีเดียว นั่นก็คือนางตาย

 

 

นางตายแล้ว หลินเจี่ยเอ๋อร์ที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ก็ต้องไว้ทุกข์สามปี ช่วงเวลาไว้ทุกข์ย่อมไม่อาจแต่งงานได้ นางช่วยอะไรลูกสาวไม่ได้แล้ว หากการตายของนางสามารถแลกโอกาสชีวิตให้ลูกสาวได้ นางก็ยินดี

 

 

วันนี้นางหาข้ออ้างไล่แม่นมชราและเสี่ยวจวี๋ออกไปอย่างยากลำบาก หยิบผ้าขาวที่แอบเตรียมไว้แล้วมาแขวนไว้บนคานห้อง แขวนคอขึ้นไปอย่างไม่ลังเล ก่อนที่จะหมดสตินางยังเสียใจที่ไม่สามารถจัดพิธีปักปิ่น[1]ให้ลูกสาวได้ ไม่อาจมองลูกสาวออกเรือนด้วยตาตัวเองได้

 

 

แต่นางก็ไม่คิดว่าลูกสาวจะเข้ามาหาเร็วถึงเพียงนั้น เพราะช่วงเวลาที่แขวนคอยังไม่นาน ถูกลูกสาวร้องไห้ตะโกนเขย่าตัวเช่นนี้ เสิ่นหย่าก็ฟื้นอีกครั้ง

 

 

“หลินเจี่ยเอ๋อร์…อย่าร้อง!” เสิ่นหย่าที่ฟื้นขึ้นพยายามพูดคำไม่กี่คำนี้ออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง มือที่ลูบแก้มของลูกสาวสั่นระริก เช็ดน้ำตาออกไป “หลินเจี่ยเอ๋อร์…เจ้า…เจ้าให้แม่…ตายเสียเถอะ! เช่นนี้…พ่อเจ้า…ก็จะไม่…บังคับเจ้า…ให้แต่งงานอีก”

 

 

เหอหลินหลินร้องไห้ด้วยความเสียใจยิ่งขึ้น คว้ามือของแม่นางมาแนบไว้ข้างแก้มตน “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าไม่ให้ท่านตาย ข้ายอมฟังคำพูดท่านพ่อแต่งงานกับคนผู้นั้นยังดีกว่าท่านต้องตาย”

 

 

ท่านตายแล้ว ก็จะไม่มีใครรักข้าแล้ว! วินาทีนี้ ความไม่พอใจจำนวนหนึ่งที่เหอหลินหลินมีต่อแม่นางพลันหายวับไปกับตา แม้ว่าแม่นางจะอ่อนแอไร้ประโยชน์ลุกยืนไม่ขึ้น พลอยให้นางลำบากไปด้วยตั้งแต่เกิด แต่มารดาที่อ่อนแอไร้ประโยชน์ผู้นี้กลับยอมตายเพื่อนาง!

 

 

นางไม่โกรธ ไม่โกรธ ไม่โกรธอีกต่อไป ขอเพียงแค่มารดามีชีวิตต่อไปได้ แม้ว่าจะต้องใช้ชีวิตที่ลำบากกว่านี้นางก็ยินดี

 

 

เห็นสองแม่ลูกร้องไห้อย่างระงับอารมณ์ไม่ได้ แม่นมชราก็ดึงแขนเสื้อเช็ดน้ำตา กล่าวตำหนิ “เหตุใดคุณหนูถึงโง่เพียงนี้ ท่านรู้ว่าหากบิดามารดาเสียชีวิตบุตรต้องไว้ทุกข์สามปี เหตุใดถึงลืมว่ายังมีเรื่องสมรสช่วงต้นของการไว้ทุกข์เล่า หากท่านไม่อยู่แล้ว ท่านเขยโกรธขึ้นมาจะต้องให้คุณหนูน้อยแต่งงานภายในร้อยวันเป็นแน่”

 

 

เสิ่นหย่าตะลึงงันในชั่วขณะ จริงสิ ด้วยนิสัยของสามี บวกกันการเป่าหูของเถียนอี๋เหนียง จะต้องไม่ให้ลูกสาวรอถึงสามปีแน่นอน นางคิดไม่ถึงได้อย่างไร

 

 

“เช่นนั้น…จะทำอย่างไร..หลินเจี่ยเอ๋อร์…ของข้า…จะทำอย่างไร บุตรสาว…ผู้มีชีวิตขื่นขมของข้า!” เสิ่นหย่าทั้งร้อนใจทั้งหมดหวัง น้ำตาไหลพรากลงมา

 

 

แม่นมชรากับเสี่ยวจวี๋ก็ยิ่งหมดหนทาง ทำได้เพียงร้องไห้ตาม

 

 

ตอนที่อวิ๋นหรงเข้ามาในเรือนก็มองเห็นฉากๆ นี้พอดี ยังคิดว่าคุณหนูของตนเป็นอะไรไป ตื่นตระหนกวิ่งเข้ามาอย่างลืมตัว “คุณหนู คุณหนู ท่านอย่าได้เป็นอะไรไปนะเจ้าคะ คนของจวนโหวมาแล้ว หลานชายของท่านมาหนุนหลังท่านแล้ว” นางวิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง โทษตัวเองในใจไม่หยุด ผิดที่นางเดินช้าเกินไป หากว่าคุณหนูเป็นอะไรไป เช่นนั้นนางก็คงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วเช่นกัน

 

 

เสิ่นหย่าและคนอื่นๆ ได้ยินอวิ๋นหรงตะโกนเช่นนี้ ชั่วขณะก็หยุดร้องไห้ โดยเฉพาะเสิ่นหย่าที่ดิ้นพล่านลุกขึ้นยืน มองอวิ๋นหรงอย่าเหลือเชื่อ “จริงหรือ มีคนมาจากจวนโหวแล้วจริงๆ หรือ”

 

 

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ!” อวิ๋นหรงพยักหน้าไม่หยุด เช็ดน้ำตาบนหน้าลวกๆ เบะปากแต่กลับเผยให้เห็นรอยยิ้มกว้าง “เป็นคุณชายสี่บ้านนายท่านสาม หลานชายของท่าน เป็นคุณชายสี่ที่สร้างชื่อเสียงอำนาจในสนามรบซีเจียง คุณหนู พวกเราไม่ต้องกลัวอีกแล้ว!” นางเองก็ทราบว่าคุณชายสี่ผู้นี้คือคุณหนูสี่ คุณหนูสี่ที่ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ผู้นั้น ตอนที่มานางยังกังวลเล็กน้อย แต่ผ่านการเดินทางครั้งนี้จิตใจนางก็วางลงทั้งหมด คุณหนูสี่ผู้นี้เก่งกาจจริงๆ มิน่าเล่านายท่านผู้เฒ่าโหวถึงให้นางมาอวิ๋นโจวเที่ยวนี้

 

 

หยาดน้ำตาของเสิ่นหย่าก็ยิ่งเปี่ยมความสุข คว้ามือของลูกสาวตะโกนอย่างดีใจ “หลินเจี่ยเอ๋อร์…เจ้าได้ยิน…หรือไม่…ญาติผู้พี่…ของเจ้า…มาแล้ว!”

 

 

เหอหลินหลินสะอื้น “อื้อ อื้อ ท่านแม่ ข้าได้ยินแล้ว ญาติผู้พี่มาแล้ว พวกเราไม่ต้องกลัวแล้ว พวกเรารอดแล้ว” บนใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มกว้าง

 

 

ส่วนแม่นมชราและเสี่ยวจวี๋เองก็เช็ดน้ำตาไปพลาง สวดมนต์อมิตาพุทธไปพลาง

 

 

ไม่รอให้เสิ่นหย่าสองแม่ลูกรอนาน เร็วอย่างยิ่งเงาร่างของเสิ่นเวยก็ปรากฎอยู่หน้าประตูเรือน

 

 

ท่ามกลางความพร่าเลือนเสิ่นหย่ามองเห็นเพียงคุณชายวัยหนุ่มที่มีเรือนร่างสูงตระหง่านดั่งหนุ่มรูปงามกำลังยิ้มน้อยๆ เดินเข้ามาหานางช้าๆ นี่คือหลานของนางงั้นหรือ หน้าตาดีจริงๆ! ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นหลานผู้นี้หัวใจซึ่งไร้ที่พึ่งของนางก็สงบลงทันที ดวงตาคู่นั้นของหลานชายเหมือนพ่อเขาอย่างยิ่ง กระบอกตานางร้อนผ่าวอย่างไม่รู้ตัว โชคดีที่ไม่มีน้ำตาร่วงลงมาอีก

 

 

เหอหลินหลินเองก็มองเสิ่นเวยอย่างไม่ละสายตา นี่คือญาติผู้พี่ของนาง คุณชายสูงส่งของจวนโหว ที่แท้แล้วก็มีหน้าตาเช่นนี้ เป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ โดดเด่นสง่างามนัก

 

 

“ท่านอา หลานสี่มาเยี่ยมท่านแล้ว!” เมื่อเสิ่นเวยเข้ามาก็ทำความเคารพอย่างนบนอบ อีกทั้งยังยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรให้เหอหลินหลินอีกด้วย “นี่ก็คือญาติผู้น้องหลินสินะ!”

 

 

ความเป็นมิตรที่ออกมาจากใจจริงนั้นทำให้เหอหลินหลินแสบจมูกอย่างอดไม้ได้ ดีจริงๆ! ญาติผู้พี่ของนางไม่ทะนงตนและดูถูกพวกนางแม่ลูกแม้แต่นิดเดียว นางเองก็ทำความเคารพเสิ่นเวยอย่างมีมารยาทอย่างยิ่ง เรียกหนึ่งครา “ญาติผู้พี่”

 

 

เสิ่นเวยมองดู ชั่วขณะก็รู้สึกว่าญาติผู้น้องคนนี้ยังนับว่าน่าเชื่อถือได้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็จริงใจสามส่วน หันหน้ากลับมากำลังจะพูดกับท่านอา แต่พลันมองเห็นรอยรัดบนลำคอของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที แววตาเย็บเยียบลง

 

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น คนแซ่เหอผู้นั้นทำอะไรอีก” ตอนนี้เหอจังหมิงจากปากของเสิ่นเวยกลายเป็นคนแซ่เหอไปเสียแล้ว “ลงมือกับภรรยาของตนเอง หน้าไม่อายจริงๆ ข้าจะไปหาเขา!” นางไม่แม้แต่จะคิดก็เอาบัญชีนี้ไปชำระที่เหอจังหมิงแล้ว อย่างไรเสียชายชาติชั่วผู้นี้ก็มีประวัติไม่ดี ตามการสืบข่าวของทหารลับ เขาลงมือกับภรรยาก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง

 

 

เหอหลินหลินร้อนใจใหญ่ ไม่สนการถือตัวระหว่างชายหญิงใดๆ ก้าวขึ้นไปดึงแขนเสื้อของเสิ่นเวยไว้ “ญาติผู้พี่ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น” นางส่ายหน้าอย่างรีบร้อน บนใบหน้ายังมีความอึดอัดหลายส่วน

 

 

เสิ่นเวยอดสงสัยไม่ได้ ละสายตามองอาของนาง เห็นนางอึดอัดไปทั้งใบหน้าเช่นกัน แม่นมมั่วที่อยู่ข้างๆ เสิ่นเวยมองเห็นปัญหาแล้ว กระซิบข้างหูเสิ่นเวยหลายประโยค

 

 

เสิ่นเวยเผยสีหน้าเข้าใจ สายตาที่มองท่านอาของนางก็ซับซ้อนเล็กน้อย ความรักของแม่ยิ่งใหญ่จริงๆ คนอ่อนแอเช่นท่านอายอมตายเพื่อลูกสาวได้ นี่ทำให้นางนึกถึงฮูหยินหร่วนมารดาเจ้าของร่างเดิมอย่างอดไม่ได้ ฟังว่านางตายไปพร้อมความโศกเศร้า แต่จะมีอะไรสำคัญไปกว่าลูกอีก นางไม่เคยคิดหรือว่านางไม่อยู่แล้วจะทิ้งลูกชายลูกสาวอายุน้อยคู่นี้ให้มีชีวิตอยู่อย่างไร

 

 

เหอจังหมิงเองก็วิ่งตามมาแล้ว “หลานน้อย หลานสี่ หลานน้อย เจ้าอยากเคารพอาเจ้า อาเขยพาเจ้ามาก็ได้แล้ว เจ้าจะรีบร้อนเพียงนี้ไปไย” อย่างไรเสียก็เป็นเช่นนี้แล้ว เหอจังหมิงกลับยอมเสี่ยง แสดงท่าทีของอาเขยที่ดีกล่าวติเตียนเสิ่นเวย

 

 

เสิ่นเวยหัวเราะเยาะ “หลานสี่ร้อนใจที่ไหนกัน ท่านอาเขยร้อนใจเองหรือเปล่า” บนใบหน้านางมีร้อยยิ้มอันแสนอบอุ่น แต่เมื่อมองดูให้ดี รอยยิ้มนั้นกลับไม่จริงใจอย่างสิ้นเชิง “มาๆๆ ท่านอาเขย เชิญนั่ง วันนี้พวกเรามาหารือกันดีๆ เถอะ” นางตั้งใจมาหาเรื่อง ย่อมต้องสะสางบัญชีก่อนแล้วค่อยว่ากัน

 

 

“ดูหลานน้อยพูดเขา พวกเราเป็นญาติกันแท้ๆ มีอะไรให้ต้องหารือหรือ อากับญาติผู้น้องเจ้าก็พบแล้ว ตอนนี้ไปคุยกับอาเขยที่ห้องหนังสือเถอะ จัดกับข้าวไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเราสองคนไปดื่มสุรากันหน่อยดีกว่า” เหอจังหมิงทำราวกับว่าไม่รู้เจตนาในคำพูดของเสิ่นเวย

 

 

ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่ขยับ แต่หันมองเย่ว์กุ้ยปราดหนึ่ง เย่ว์กุ้ยก้าวขึ้นมาพยุงแขนของเหอจังหมิงอย่างกระตือรือร้นทันที “นายท่านเขย ให้บ่าวช่วยพยุงท่านนั่งเถอะเจ้าค่ะ” ไม่สนว่าเหอจังหมิงจะยอมหรือไม่ มือก็ออกแรงกดเขาลงไปบนเก้าอี้แล้ว

 

 

เสิ่นเวยยกมุมปาก ส่งแววตาชื่นชมให้เย่ว์กุ้ย พยุงท่านอาของนางให้นั่งลงอีกฝั่งด้วยตัวเอง

 

 

ในใจเหอจังหมิงก็ยิ่งไม่ยินยอม แต่กลับทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้ม “หลานน้อยมีเรื่องอะไรก็รีบพูดเถอะ พูดเสร็จแล้วพวกเราสองคนไปดื่มสุรากัน”

 

 

เสิ่นเวยยังคงยิ้ม ถอนหายใจในใจ หนังหน้าท่าอาเขยไม่แท้ผู้นี้หนาจริงๆ! ยางอายยังมีอยู่หรือไม่ ในเมื่อเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เช่นนั้นข้าก็จะเปิดโลงศพให้เจ้าเห็นข้างในเอง!

 

 

“ก่อนหน้านี้หลานสี่จัดการเถียนอี๋เหนียง ท่านอาเขยยังตำหนิที่ข้าไม่ไว้หน้าท่าน ท่านอาเขย ข้าไว้หน้าท่าน แต่ท่านไว้หน้าจวนจงอู่โหวของพวกข้าบ้างหรือไม่” เสิ่นเวยถามด้วยความตั้งใจมากเป็นพิเศษ “คุณหนูสูงส่งของจวนโหวที่ใหญ่โตโอ่อ่า อาศัยอยู่ในเรือนโทรมๆ เช่นนี้หรือ ไม่ใช่บอกว่าท่านอาข้าพักรักษาตัวหรอกหรือ อยู่ในสถานที่แย่ๆ แบบนี้จะรักษาโรคอะไรได้ อี๋เหนียงคนหนึ่ง คนต้อยต่ำที่ซื้อมาได้ด้วยเงินไม่กี่ตำลึง กินดีอยู่ดียิ่งกว่าภรรยาเอก นี่คือสิ่งที่ท่านอาเขยเรียกว่าไว้หน้าจวนจงอู่โหวของพวกข้าหรือ” เสิ่นเวยถามอย่างต่อเนื่อง

 

 

สีหน้าเหอจังหมิงเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวม่วง เสียใจอย่างยิ่งที่เหตุใดตนถึงดึงดันจะตามมา ตามมาเพื่ออะไร หาเรื่องใส่ตัวหรือ

 

 

“ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น…” เหอจังหมิงร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะ แต่กลับพูดเถียงไม่ออกสักคำเดียว ความจริงอยู่ตรงหน้า ไม่ยอมให้เขาเล่นลิ้น

 

 

“อะไรไม่ใช่ ท่านอาเขยโปรดอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอก โยนศักดิ์ศรีจวนโหวของพวกข้าทิ้งเหยียบย่ำติดพื้นแล้วใช่หรือไม่” เสิ่นเวยกล่าวช้าๆ ชายตามองเหอจังหมิงที่นั่งไม่ติดปราดหนึ่ง กล่าวต่อ “ฟังว่าท่านอาเขยยังคิดจะแต่งญาติผู้น้องให้ตาเฒ่าที่ใกล้จะลงโลงเป็นภรรยาคนที่สองอีกด้วย จุ๊ๆ ไม่ใช่ว่าหลานว่าท่าน ท่านไม่สนใจท่านอาก็พอแล้ว แต่ญาติผู้น้องเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่าน เหตุใดท่านถึงใจดำได้ลงคอเช่นนี้” เสิ่นเวยไม่อยากไว้หน้าเขาแม้แต่นิดเดียว สำหรับชายชาติชั่วเช่นนี้ ต้องถอดเสื้อผ้าที่ปกคลุมตัวเขาออกให้หมด ให้เขาเปลือยกายล่อนจ้อนจึงจะดี

 

 

ทว่าเหอจังหมิงกลับไม่คิดเช่นนี้ “หลานน้อยพูดผิดแล้ว หลินเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของข้า ข้าจะไม่วางแผนเพื่อนางได้อย่างไร หลินเจี่ยเอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้วก็จะได้เป็นฮูหยินขั้นสี่ นี่เป็นเกียรติมากเพียงใด ผู้ชายที่โตหน่อยมีอะไรไม่ดี โตหน่อยจึงจะรู้จักรักผู้อื่น”

 

 

“พูดเช่นนี้แสดงว่าท่านอาเขยหวังดีต่อญาติผู้น้องสินะ” เสิ่นเวยแค่เสียงในใจหนึ่งครา เห็นชายชาติชั่วแซ่เหอพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ นางก็แทบจะโมโหแล้ว “เหตุใดหลานสี่ถึงได้ยินว่าท่านอาเขยทำเพื่อปูทางให้ลูกชายคนโตบุตรอนุภรรยาผู้นั้นเล่า เฮ้อ ท่านอาเขยคิดถึงอนาคตแทนบุตรชายก็เป็นเรื่องสมควร เพียงแต่ญาติผู้น้องเพิ่งจะอายุสิบสาม แต่งเข้าไปแล้วจะดีหรือ หลานสี่คิดว่าเถียนอี๋เหนียงผู้นั้นกลับเป็นตัวเลือกที่ดี ด้วยอุบายของนางจะต้องมัดใจใต้เท้าเฉวียนผู้นั้นได้แน่ อีกทั้งลูกชายคนโตผู้นั้นของท่านไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของนางหรอกหรือ เพื่ออนาคตของลูกชายนางจะต้องพยายามแน่นอน ดีกว่าญาติผู้น้องที่ไม่ยินยอมพร้อมใจ ถึงตอนนั้นทำเสียเรื่องท่านอาเขยขึ้นมาก็คงจะไม่งาม” เสิ่นเวยเสนอความคิดเห็นจากใจจริง

 

 

คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ก้มหน้ากลั้นหัวเราะ คุณหนูสี่ร้ายกาจจริงๆ เหอหลินหลินเองก็รู้สึกโล่งใจ สายตาที่มองเสิ่นเวยเลื่อมใสยิ่งนัก

 

 

 

 

 

 

[1] พิธีปักปิ่น เป็นพิธีของเด็กสาวที่มีอายุครบสิบห้าปี เด็กสาวจะรวบมวยผมไว้กลางศีรษะ ผู้ใหญ่ฝ่ายเด็กสาวจะเชิญแขกผู้หญิงมาช่วยปักปิ่นให้เด็กสาว แสดงให้เห็นว่าเด็กสาวผู้นั้นได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่และพร้อมจะออกเรือนแล้ว