ตอนที่ 192-2 เปิดฉากศึกบีบคั้นครั้งใหญ่

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

สีหน้าของเหอจังหมิงไม่ค่อยดีแล้ว แม้จะบอกว่าเป็นการซื้อขายภรรยา แต่ก็ไม่เคยมีหลักการนำมารดาแท้ๆ ของบุตรชายคนโตไปให้คนอื่น ปากหลานสี่ผู้นี้ร้ายจริงๆ นี่ไม่เท่ากับว่าตบหน้าเขาอยู่หรือ เขากำลังจะเอ่ยปากก่นด่า ก็ได้ยินเสียงดังเข้ามาจากหน้าประตู “เด็กเหิมเกริมไร้มารยาทที่ไหนกัน” 

 

 

“ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร” เหอจังหมิงมองเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ของเขาประคองแม่เขาเดินเข้ามา ก็ตกใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ 

 

 

มารดาแซ่เหอปรายตามองลูกชายอย่างไม่พอใจปราดหนึ่งก่อน “คนมากลั่นแกล้งถึงบ้าน แม่จะไม่มาได้อย่างไร” เถียนอี๋เหนียงวิ่งมาร้องทุกข์ต่อหน้านาง บอกว่าจวนจงอู่โหวส่งคนมาแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตบหน้านางไปหลายที 

 

 

มารดาแซ่เหอเห็นใบหน้านางปูดบวมจริงๆ รอยฝ่ามือก็ยังชัดเจนแจ่มแจ้ง จากนั้นก็คิดได้ว่าตระกูลใหญ่โตมักจะใช้อำนาจบาตรใหญ่จึงเชื่อทันที ในใจนางไม่พอใจแล้ว แม้เถียนอี๋เหนียงจะเป็นอนุภรรยา แต่อย่างไรเสียก็มีหลานชายคนโตให้นาง เห็นแก่หลานชายคนโต นางจึงไม่อาจปล่อยให้เถียนอี๋เหนียงถูกคนตบเช่นนี้ได้ ฟังว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นางกลับอยากเห็นว่าจวนจงอู่โหวจะน่าเกรงขามมากเพียงใดเชียว 

 

 

“คนผู้นี้คือคุณชายจวนโหวหรือ หน้าตาก็ดีใช้ได้ แต่เหตุใดจิตใจถึงโหดเ**้ยมเพียงนั้น” แม้ว่ามารดาแซ่เหอจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงหน้าบวมๆ ใบนั้นของเถียนอี๋เหนียง นางก็รู้สึกว่าเสิ่นเวยหน้าตาน่าเกลียดขึ้นมาทันที 

 

 

เสิ่นเวยเองก็ไม่โกรธ เพียงแค่กระตุกมุมปาก “คนผู้นี้ก็คือแม่เฒ่าของท่านอาใช่หรือไม่ ดูใจดียิ่งนัก แต่เหตุใดถึงเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาเล่า” เสิ่นเวยตอบกลับเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน “อนุภรรยาผู้หนึ่งไหนเลยจะควรค่าให้คุณชายโต้เถียงด้วย เพียงแค่เห็นนางไม่รู้จักกฎระเบียบเกินไป จึงชี้แนะสักหน่อยก็เท่านั้นเอง” 

 

 

มารดาแซ่เหอแทบจะโกรธจนหน้าบิดเบี้ยวแล้ว “ใครบอกว่าเถียนอี๋เหนียงไม่รู้จักกฎระเบียบ เถียนอี๋เหนียงปฏิบัติตามกฎระเบียบดี” กินดีอยู่ดีก็เพราะเคารพนางก่อน อีกทั้งยังส่งเครื่องประดับไปให้บ่อยๆ รู้จักอ่านสถานการณ์ที่สุด 

 

 

“อ้อ ข้าก็ว่า ที่แท้แล้วกฎระเบียบจวนตระกูลเหอของพวกท่านก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ทิ้งขว้างฮูหยินภรรยาเอก ยกย่องอี๋เหนียงให้ทำหน้าที่ของภรรยาแทน เป็นกฎที่ดีจริงๆ! เอ๋ เหตุใดกำไลหยกชิ้นนั้นบนข้อมือแม่เฒ่าถึงได้คุ้นตาเพียงนี้เล่า อ้อจริงสิ นี่ไม่ใช่สินเดิมของท่านอาข้าหรือ ยังมีปิ่นทองบนศีรษะของพี่สะใหญ่ผู้นี้อีก ดูเหมือนว่าจะเป็นของท่านอาข้าเหมือนกันนี่นา แม่ยายกับพี่สะใภ้แบ่งสินเดิมของลูกสะใภ้ พี่น้อง ฮ่าๆๆ เป็นกฎที่ดีจริงๆ! ท่านอาเขย เรื่องนี้ใต้เท้าผู้ตรวจการรู้หรือไม่” เสิ่นเวยไม่กลัวหรอก เจ้าพูดมา ข้าก็ตอกกลับได้ หึ! ดูสิว่าใครจะกลัว 

 

 

สีหน้าของเหอจังหมิงปรากฏความหวาดผวาหลายส่วนดั่งคาด เขาเองก็เข้าใจว่าในจวนมีกฎหลายข้อที่ไม่ถูกต้อง แต่เขาก็เพียงแค่ปิดบังไม่ให้ผู้ตรวจการรู้ก็เท่านั้นเอง 

 

 

ทว่ามารดาแซ่เหอกลับไม่กลัว นางเป็นเพียงหญิงชราในชนบทคนหนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่าผู้ตรวจการทำอะไรได้บ้าง เห็นนางกวาดสายตามองลูกสะใภ้รองอย่างเหยียดหยามปราดหนึ่ง กล่าวอย่างรังเกียจ “ในเมื่อเสิ่นซื่อแต่งเข้ามาในตระกูลเหอของพวกข้า นางก็คือคนในตระกูลพวกข้าแล้ว นับประสาอะไรกับสินเดิมเล่า เคารพแม่ยายให้เครื่องประดับไม่กี่ชิ้นจะเป็นอะไรไป” นางกลับมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง “นางแต่งเข้าตระกูลเหอมาสิบกว่าปีแล้ว คลอดแค่เด็กผู้หญิงหนึ่งคน แม้แต่ลูกผู้ชายยังให้พวกข้าไม่ได้ ตระกูลพวกข้าไม่ขับนางออกก็เมตตาพอแล้ว” นางไม่พอใจเต็มที 

 

 

“ขับหรือ ท่านอาข้าผิดกฎเจ็ดขับ[1]ข้อไหนหรือ” เสิ่นเวยเลิกคิ้ว แววตาเย็นเยียบ 

 

 

“ไม่มีบุตร!” มารดาแซ่เหอเอ่ยปากกล่าวทันที 

 

 

เสิ่นเวยยิ้มแล้ว “บุตรอนุภรรยาหลายคนนั้นในจวนไม่ใช่ลูกชายของท่านอาหรือไร” 

 

 

“นั่นไม่ใช่ลูกที่นางคลอด” มารดาแซ่เหอแสยะปากโต้เถียง นางจ้องมองหลานสาวที่อยู่ข้างๆ เสิ่นหย่า สีหน้าก็ยิ่งรังเกียจไปทั้งใบหน้า 

 

 

“พวกเขาล้วนเป็นลูกของอี๋เหนียงทั้งหลายงั้นหรือ ท่านอาเขยก็คิดเช่นนี้หรือ” เสิ่นเวยมองเหอจังหมิง 

 

 

อย่างไรเสียเหอจังหมิงก็รับราชการมาหลายปี มีความรู้กว่ามารดามาก ปัจจุบันบุตรภรรยาหลวงและบุตรอนุภรรยายังคงเข้มงวดอย่างยิ่ง บุตรที่อนุภรรยาคลอดเป็นนาย แต่อนุภรรยากลับยังคงเป็นบ่าว อย่างมากก็เป็นเพียงกึ่งนาย ย่อมไม่มีสิทธิเลี้ยงดูลูกที่ตนให้กำเนิด ยิ่งไม่อาจให้ลูกของตนเรียกว่าแม่ได้ แม่ของพวกเขามีเพียงฮูหยินภรรยาเอกเท่านั้น 

 

 

ทำลายกฎระเบียบลูกภรรยาหลวงลูกอนุภรรยา หากถูกผู้ตรวจการจับหลักฐานและนำขึ้นกราบทูลจักรพรรดิ ก็รอถอดถอนตำแหน่งค้นบ้านยึดทรัพย์ได้เลย 

 

 

เห็นท่าทางอยากพูดแต่พูดไม่ออกเช่นนั้นของเหอจังหมิง เสิ่นเวยจะไม่รู้ความคิดในใจเขาได้อย่างไร ก่นด่าด้วยความเคียดแค้นหนึ่งครา แล้วกล่าวทันที “แม่เฒ่า วันนี้พวกเรามาพูดกันอย่างตรงไปตรงมาดีกว่า! จวนสูงศักดิ์ละทิ้งท่านอากับญาติผู้น้องแบบนี้ เช่นนั้นก็หย่าเถอะ ข้าจะพาท่านอากลับเมืองหลวง แม่เฒ่าท่านเห็นบุตรสาวตระกูลใดดีงาม ก็รีบหมั้นหมายให้ใต้เท้าเหอเสีย ใต้เท้าเหออายุก็ยังไม่มาก ยังคล่องแคล่วปราดเปรียวไม่แน่ว่าอาจจะยังมีบุตรภรรยาหลวงได้อีกหลายคน” 

 

 

มารดาแซ่เหอผู้นี้เป็นคนที่ไม่มีความรู้เถียงคำไม่ตกฟาก รบเร้ากับนางต่อไปเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เสิ่นเวยขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับนางแล้ว รอท่านอาหย่าแล้วค่อยมาจัดการคนชั่วตระกูลนี้ 

 

 

“หย่าก็หย่า!” เหอจังหมิงกำลังจะบอกว่าข้าไม่เห็นด้วย ก็ถูกแม่ของเขาแย่งพูดแล้ว 

 

 

มารดาแซ่เหอสนใจข้อเสนอของเสิ่นเวย แม้ว่าลูกชายคนเล็กจะมีหลานชายหลายคน แต่ก็เป็นบุตรอนุภรรยาทั้งหมด นางคิดว่าไม่เป็นไร ไม่สนว่าใครจะให้กำเนิด ต่างก็เป็นลูกชายของลูกชายนาง เป็นหลานชายของนางเหมือนกัน 

 

 

แต่เมื่อได้ยินว่าในแวดวงขุนนางมีการลำดับความสำคัญ อย่างไรเสียบุตรอนุภรรยาก็ไม่สูงส่งเท่าบุตรภรรยาหลวง เพื่อลูกชายแล้วนางก็ยินดีจะให้ลูกชายมีบุตรภรรยาหลวง ในเมื่อเสิ่นซื่อให้กำเนิดลูกชายไม่ได้ เช่นนั้นก็เลิกยึดครองตำแหน่งภรรยาเอก ถอยให้ผู้อื่นเสีย! ข้อเสนอของเสิ่นเวยก็ตรงใจนางมิใช่หรือ 

 

 

“ในเมื่อแม่เฒ่าเห็นด้วย เช่นนั้นก็ดีจริงๆ อ้อ นี่คือใบสินเดิมของท่านอาข้าในตอนแรก พวกท่านลองดู รีบรวบรวมสินเดิมของท่านอามา ข้าจะนำกลับไปพร้อมกัน” เสิ่นเวยกล่าวอย่างมีความสุขที่สุด 

 

 

“อะไรนะ ยังต้องเอาสินเดิมกลับไปด้วยหรือ” นี่คือเสียงที่สูงและดังของมารดาแซ่เหอ “ฝันไปเถอะ!” ของที่เข้ากระเป๋านางแล้วจะยังให้นางคายออกมาได้อย่างไร ไม่มีทางเสียหรอก ยิ่งไปกว่านั้นใจวนล้วนอาศัยสินเดิมของเสิ่นซื่อประคับประคองไว้ สินเดิมยึดไปแล้ว พวกเขาไม่ต้องกินแกลบกันเลยหรือไร ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด 

 

 

เสิ่นเวยไม่แม้แต่จะสนใจนาง มองเหอจังหมิง “ใต้เท้าเหอคงจะไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่ หย่ากันแล้ว ยังยึดสินเดิมฝ่ายหญิงไว้ไม่ปล่อย หากเรื่องนี้ดังออกไปใต้เท้าเหอจะยังมีหน้าไปพบเพื่อนร่วมงานอีกหรือ” 

 

 

สีหน้าร้อยแปดพันเก้าบนใบหน้าของเหอจังหมิงแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว สูดหายใจเข้าลึกแล้วกล่าว “หลานน้อยไยจะต้องพูดจาข่มขู่ด้วยเล่า ว่ากันว่าเป็นสามีภรรยากันวันเดียวความสัมพันธ์กลับแน่นแฟ้นไปเนิ่นนาน ข้ากับอาเจ้าอยู่กันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว สามีภรรยาแก่เฒ่ามาพูดให้หย่าเป็นการทำร้ายความรู้สึกมากเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นพวกข้ายังมีหลินเจี่ยเอ๋อร์ อาเขยรู้ว่าเมื่อก่อนปฏิบัติตัวไม่ดีต่ออาเจ้า แต่ตอนนี้อาเขยสำนึกผิดแล้ว หลังจากนี้จะชดเชยให้พวกนางแม่ลูกเป็นอย่างดี” เป็นถึงคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงขุนนาง ย่อมสามารถปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์ 

 

 

มารดาแซ่เหอได้ยินคำพูดของลูกชาย ชั่วขณะก็ตอบสนองกลับมา ตะโกนกล่าวเสียงดัง “ใช่ ไม่หย่าแล้ว ก็แค่ให้นางเป็นภรรยาเอกเช่นนี้ต่อไป” เจตนาในคำพูดก็คือสินเดิมไม่อาจคืนให้เป็นอันขาด 

 

 

เสิ่นเวยหงุดหงิดแล้ว กล่าวอย่างรำคาญใจ “ขออภัยใต้เท้าเหอ จวนโหวไม่เชื่อคำสาบานของท่านแล้ว อีกทั้งการหย่าก็เป็นเจตนาของท่านปู่ข้า ท่านกับท่านอาจะต้องหย่ากัน” 

 

 

จากนั้นจึงหันหน้าถามท่านอานาง “ท่านอาคิดว่าอย่างไร” เห็นอานางสีหน้าลังเล เสิ่นเวยจึงรีบกล่าว “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงชีวิตหลังจากนี้ ท่านปู่อยู่ปกป้องท่านทุกวัน ท่านปู่ไม่อยู่ก็ยังมีข้าหลานสี่ หากข้าเป็นอะไรไป ในจวนข้ายังมีน้องชายแม่เดียวกัน” เจตนาในคำพูดก็คือท่านไม่ต้องเป็นห่วงชีวิตหลังหย่าร้างอย่างสิ้นเชิง 

 

 

เสิ่นหย่ายังคงสองจิตสองใจ ทว่าเหอหลินหลินกลับตัดสินใจแล้ว “ขอบคุณญาติผู้พี่ยิ่งนัก ทำตามที่ญาติผู้พี่ว่าเถิด พวกข้าแม่ลูกไม่ขัดขืน” แม่นางอยู่ในจวนตระกูลเหอต่อไปจะต้องไม่มีจุดจบที่ดีแน่นอน ไม่สู้หย่าแล้วตามญาติผู้พี่กลับเมืองหลวง ต่อให้จวนโหวไม่สนใจพวกนาง พวกนางแม่ลูกก็สามารถใช้ชีวิตทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ต่อไปได้ 

 

 

“เช่นนั้นก็ได้ ว่าตามนี้แล้วกัน” เสิ่นเวยพยักหน้า “เย่ว์กุ้ย เหอฮวา เจ้าสองคนนำคนอยู่ปรนนิบัติข้างกายท่านอากับญาติผู้น้องชั่วคราว พ่อบ้านรองเจ้านำเด็กรับใช้อยู่ที่นี่จัดแจงงานตามคำสั่งของโหวกูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้อง และถือโอกาสเฝ้าประตูดูเรือนส่งข่าวต่างๆ จวนตระกูลเหอแห่งนี้ข้าอยู่ไม่ลงแล้ว โชคดีที่ตระกูลพวกเรามีคฤหาสน์หลังหนึ่งอยู่ในเมืองอวิ๋นเหอพอดี ข้าจะพาคนไปจัดแจงที่พักก่อน” สั่งเสร็จแล้วเสิ่นเวยก็กำลังจะพาคนเดินออกไปข้างนอก 

 

 

“หยุด ห้ามไป!” มารดาแซ่เหอร้อนใจแล้ว “ขวางพวกเขาไว้เดี๋ยวนี้” โชคดีที่นางนำคนรับใช้มาเป็นพยานจำนวนมาก ดูสิ ตอนนี้ไม่ใช่ว่ามีประโยชน์แล้วหรือ บนใบหน้ามารดาแซ่เหอพอใจยิ่งนัก 

 

 

เห็นคนรับใช้สิบกว่าคนล้อมกรูเข้าไป เสิ่นเวยก็อยากจะกลอกตามองฟ้าจริงๆ สายตามองไปยังมารดาแซ่เหออย่างน่าสะพรึงกลัว “แม่เฒ่าหมายความว่าอย่างไร ขวางไม่ให้ไปงั้นหรือ เหอะๆ ท่านเองก็ไปสืบข่าวบ้างก็ดี ข้าคุณชายสี่แซ่เสิ่นเป็นบุคคลที่เข่นฆ่าไล่ฟันอยู่ในกองทัพใหญ่ซีเหลียงนับหมื่นนาย เพียงแค่ทหารซีเหลียงที่ตายในมือข้าไม่หนึ่งพันศพก็แปดร้อยศพแล้ว บ่าวรับใช้ไม่กี่คนแค่นี้ยังคิดจะขวางข้า น่าขันจริงๆ” 

 

 

เสิ่นเวยมองมารดาแซ่เหอถอยหลังอย่างหวาดกลัวด้วยความพอใจ จากนั้นจึงมองเหอจังหมิง กล่าวอย่างแฝงความนัย “แม่เฒ่าไม่รู้ชื่อเสียงของคุณชายสี่แซ่เสิ่น แต่ใต้เท้าเหอน่าจะต้องได้ยินมาบ้างใช่หรือไม่ ใครก็ได้ แสดงฝีมือให้ใต้เท้าเหอดูหน่อย!” 

 

 

“คุณชาย คุณชาย ข้าเอง!” เถาฮวาก้าวออกมาทันที ยื่นมืออย่างรวดเร็วก็หิ้วบ่าวรับใช้จวนตระกูลเหอที่อยู่ใกล้นางที่สุดขึ้นมาแล้ว ชูขึ้นเหนือศีรษะราวกับลูกไก่แล้วหมุนหลายๆ รอบ มือเหวี่ยงออก คนก็ลอยไปแล้ว ตกลงไกลอย่างยิ่ง ฝุ่นดินฟุ้งกระจาย 

 

 

“ไอ๊หยา พี่เย่ว์กุ้ยท่านอย่างมาแย่งข้าสิ!” เถาฮวาเห็นเย่ว์กุ้ยเดินเข้ามาเช่นกัน ชั่วขณะก็ร้อนใจแล้ว มือหนึ่งคว้าคนหนึ่งขึ้นมาโยนออกไปข้างนอก ได้ยินเพียงเสียงตุบดังอย่างต่อเนื่อง บ่าวรับใช้จวนตระกูลเหอสิบกว่าคนถูกเถาฮวาโยนออกไปหกเจ็ดคนแล้ว ที่เหลืออยู่ก็วิ่งหนีออกไปไกล แต่ละคนสีหน้าซีดเผือด 

 

 

“คุณชาย คุณชาย เถาฮวาเก่งหรือไม่” เถาฮวาเท้าเอวอย่างห้าวหาญ หันหน้าขอคำชมอย่างน่าเอ็นดู 

 

 

เสิ่นเวยกลั้นหัวเราะ ชูนิ้วโป้งขึ้นมา “เก่ง เถาฮวาของข้าเก่งที่สุดแล้ว” 

 

 

เมื่อครู่นางสั่งให้เย่ว์กุ้ยตบหน้าเถียนอี๋เหนียงเถาฮวาก็ไม่พอใจแล้ว นางกล่าว “คุณหนู ท่านควรจะให้ข้าไป ข้ารับรองว่าจะตบหญิงตัวเหม็นผู้นั้นไปถึงกำแพงทิศใต้เลย” 

 

 

เสิ่นเวยพูดจาดีปลอบนางไปพลาง กล่าวในใจไปพลาง ด้วยแรงของเจ้า คงจะไม่ใช่แค่ตบคนไปถึงกำแพงทิศใต้ เกรงว่าจะตบเข้าไปในกำแพงทิศใต้จะขุดก็ขุดไม่ออกกระมัง 

 

 

“พูดดีๆ ไม่ฟังต้องให้ใช้กำลังบังคับ เฮ้อ เกรงใจมามากพอแล้ว ไยจะต้องทำลายมิตรภาพให้ได้ ใช่หรือไม่ ใต้เท้าเหอ” เสิ่นเวยเชิดคางเบาๆ ท่าทางทะนงตนอย่างถึงที่สุด นำคนเดินวางท่าออกไปภายใต้สภาพปากอ้าตาค้างของเหอจังหมิง 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] เจ็ดขับ คือการที่ฝ่ายสามีสามารถขับภรรยาออกจากบ้านหากมีพฤติกรรมตรงกับข้อใดข้อหนึ่งในเจ็ดขับ ซึ่งได้แก่ ไม่ปรนนิบัติพ่อแม่สามี ไม่มีบุตร คบชู้ อิจฉาริษยา มีโรคร้ายแรง พูดมาก และลักขโมย