ตอนที่ 193-1 สงครามมติมหาชน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ให้ตายเถอะ เทพสังหารนี่มาจากไหนกัน! มารดาแซ่เหอตบอกแทบจะเป็นลมล้มพับไปกับพื้น ยังดีที่ถูกสะใภ้ใหญ่พยุงไว้จึงไม่ได้ขายหน้า

 

 

สะใภ้ใหญ่ของมารดาแซ่เหอมีแซ่เดิมว่าจาง แต่งเข้าตระกูลเหอได้ยี่สิบปีแล้ว มีบุตรชายสามคนบุตรสาวสองคน บุตรชายสามคนและบุตรสาวคนโตมีครอบครัวหมดแล้ว มีเพียงลูกสาวคนเล็กซึ่งอายุเท่าเหอหลินหลินที่ยังอยู่ข้างกาย เพราะว่านางมีบุตรชายสามคนให้แก่ตระกูลเหอ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเหอ หรือว่ามารดาแซ่เหอต่างก็ปฏิบัติต่อนางดีอย่างยิ่ง

 

 

เมื่อครู่จางซื่อเองก็ตกใจไม่น้อย แม้จะบอกว่าคนในชนบทเพียงพูดไม่เข้าหูก็ลงไม้ลงมือมีเยอะถมไป แต่อย่างมากก็แค่ตบตีเตะต่อย ไหนเลยจะเหมือนคุณชายสี่จวนโหวผู้นั้นเมื่อครู่ ดาบในมือส่องแสงเย็นวาบ ราวกับว่าวินาทีถัดมาจะแทงลงบนร่างนาง ยังมีสาวใช้ตัวเล็กๆ ผอมๆ ผู้นั้น มือข้างเดียวก็สามารถโยนชายฉกรรจ์ออกไปได้ โหดเ**้ยมเกินไปแล้ว

 

 

ไม่คิดว่าเบื้องหลังน้องสะใภ้ที่แต่ไหนแต่ไรอ่อนแอจะยังมีที่พึ่งที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ นางนึกถึงเครื่องประดับและเงินทองที่เอามาจากมือน้องสะใภ้หลายปีมานี้ จากนั้นจึงนึกถึงร้านค้าที่ครอบครัวดูแลอยู่ จิตใจก็ตื่นตระหนก กังวลว่าคุณชายสี่จวนโหวจะมาคิดบัญชีกับนาง หลังจากนั้นก็นึกได้ว่าคุณชายสี่ผู้นั้นบอกว่าจะเอาสินเดิมของน้องสะใภ้กลับไปทั้งหมด เช่นนั้นครอบครัวนางใช่จะต้องเปลี่ยนกลับไปเป็นสภาพยากจนอย่างเช่นที่แล้วมาหรือไม่ นี่เป็นการเฉือนเนื้อนางอย่างแท้จริง

 

 

ทำอย่างไร ทำอย่างไรดี จริงสิ ไม่หย่าก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ขอเพียงแค่น้องสามีกับน้องสะใภ้หย่ากันไม่สำเร็จ สินเดิมของน้องสะใภ้ย่อมสามารถรักษาไว้ในจวนตระกูเหอต่อไปได้ อยู่ในจวนตระกูลเหอต่างอะไรจากอยู่ในมือนาง พ่อสามีแม่สามีรักลูกชายทั้งสามของบ้านนางมากกว่า มักจะมีเบี้ยเลี้ยงอยู่เสมอ มิเช่นนั้นเหตุใดนางจะต้องวิ่งมาโน้มน้าวยายแก่ที่ไม่มีความรู้เช่นนี้ด้วยเล่า

 

 

คิดถึงตรงนี้นางก็ก้มกระซิบข้างหูแม่สามีหลายประโยค สีหน้าบนใบหน้ามารดาแซ่เหอก็ลังเลเล็กน้อย จะให้แม่สามีเช่นนางลดตัวลงมานอบน้อมกับลูกสะใภ้ที่ไม่มีแม้แต่ลูกชาย นางจะยอมได้อย่างไร

 

 

จางซื่อร้อนใจแล้ว กล่าวเสียงต่ำ “ท่านแม่ คิดถึงสินเดิมของน้องสะใภ้ แล้วคิดถึงหลานชายบ้านใหญ่สามคนนั้นของท่านสิ”

 

 

คราวนี้มารดาแซ่เหอยอมแล้ว หลานชายบ้านใหญ่สามคนของนาง หลานชายคนโตฉลาด เรียนหนังสือมาสิบกว่าปี เป็นบัณฑิตแล้ว สอบอีกครั้งก็เป็นซิ่วไฉแล้ว เรียนหนังสือผลาญเงินที่สุด ตอนแรกครอบครัวพวกนางกินน้อยใช้น้อยกว่าจะส่งเสียลูกชายคนเล็กออกไปได้ หากไม่มีเงิน อนาคตของหลานชายคนโตก็จะล่าช้าออกไป

 

 

หลานชายคนรองก็มีไหวพริบตั้งแต่เล็ก แม้ว่าจะไม่ใช่บุคคลที่เรียนหนังสือ แต่กลับมีฝีมือในการหาเงิน อายุสิบสองสิบสามปีก็ช่วยพ่อเขาดูแลร้านค้า ครั้งแรกก็ได้เงินไปซื้อขนมหร่วนเกา[1]บนถนนใหญ่ฝั่งตะวันตกให้ตัวเองได้แล้ว

 

 

หลานคนที่สามก็กตัญญู ห้าหกขวบก็ตื่นแต่เช้ามาเคารพนาง ตกเย็นเลิกเรียนก็ไปพูดคุยเป็นเพื่อนที่เรือนของตน เด็กดีเช่นนี้กลับสุขภาพไม่ดี ทุกเดือนต้องป่วยสักสองครั้ง ดื่มยาน้ำขมๆ นั่นบ่อยยิ่งกว่ากินข้าวเสียอีก ลำบากยิ่งนัก

 

 

สำหรับหลานชายหลายคนของบ้านลูกชายคนเล็ก หนึ่งคือพวกเขาอายุยังน้อย มารดาแซ่เหออายุมากแล้ว เลี้ยงเด็กไม่ไหวแล้ว ลูกชายคนเล็กเองก็ไม่ต้องการให้นางเลี้ยงลูก ดังนั้นจึงไม่ได้มีความผูกพันระหว่างย่าหลานมากนัก สองคือ ลูกชายคนเล็กเป็นขุนนาง อนาคตในภายหน้าของหลานชายหลายคนนี้ก็ไม่ห่างไปไหนไกล มารดาแซ่เหอก็ไม่ได้ทุกข์ใจเพียงนั้นแล้ว ดังนั้นผู้ที่มารดาแซ่เหอเป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้ยังคงเป็นหลานชายทั้งสามของลูกชายคนโต

 

 

มารดาแซ่เหอเป็นแม่เฒ่าในชนบทธรรมดาๆ สายตาสั้นก็มี เห็นแก่ตัวก็มี แต่กับลูกหลานแล้วยังคงรักใคร่อย่างยิ่ง เพื่อลูกหลานแล้วจะให้นางทิ้งชีวิตของตัวเองก็ยอม นับประสาอะไรกับการก้มหัวให้ลูกสะใภ้

 

 

“ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นทำไม ยังไม่รีบไปเตรียมอาหารมาปรนนิบัติผู้ชายของตัวเองอีก เป็นภรรยาของผู้อื่น ไหนเลยจะแอบอู้เช่นเจ้าได้ ละทิ้งบุรุษสงบจิตใจตนเองมาสิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้หลินเจี่ยเอ๋อร์ก็โตแล้ว เจ้าไม่อาจดื้อรั้นต่อไปได้แล้ว อย่าได้เป็นเช่นนี้อีกเลย อีกประเดี๋ยวก็จัดระเบียบเรือนใหญ่นี้เสียหน่อย คืนนี้ผู้ชายของเจ้าจะย้ายเข้ามา!” มารดาแซ่เหอวางมาดแม่สามี ท่าทางชี้แนะจากใจจริง

 

 

เสิ่นหย่าแทบจะปากอ้าตาค้างอยู่แล้ว คำพูดกลับดำเป็นขาวนี้มารดาแซ่เหอพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำจริงๆ หากเป็นคนที่แยกแยะความจริงไม่ได้ ยังคิดจริงๆ ว่าเสิ่นหย่าวางมาดคุณหนูสูงศักดิ์จวนโหวดูถูกครอบครัวสามี

 

 

เย่ว์กุ้ยเหอฮวาและคนรับใช้จวนโหวที่อยู่ในเรือนก็ประหลาดใจกับความหน้าหนาของมารดาแซ่เหอ หากไม่ใช่ว่าได้เห็นนางบันดาลโทสะก่อนหน้านี้กับตา ยังคิดจริงๆ ว่านางเป็นแม่สามีที่ใจดีมีเหตุมีผลผู้หนึ่ง

 

 

ทว่าเสิ่นหย่ากลับไม่ขยับ จางซื่อเห็นท่าทีก็รีบก้าวขึ้นไปโน้มน้าว “น้องสะใภ้ สองสามีภรรยาทะเลาะกันชั่วครู่หัวถึงหมอนก็คืนดีแล้ว ไหนเลยจะต้องหย่าเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย น้องสามีก็สำนึกผิดแล้ว เจ้าจงใจกว้างให้อภัยเขาครั้งนี้สักครั้งเถอะ! ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ก็เห็นแก่หน้าพระพุทธรูปหน่อย พวกเจ้ายังมีหลินเจี่ยเอ๋อร์อยู่มิใช่หรือ หากหย่าแล้ว เจ้าจะให้หลินเจี่ยเอ๋อร์ทำอย่างไร ภายหลังจะเอ่ยเรื่องบ้านสามีอีกได้อย่างไร”

 

 

ความลังเลวาบผ่านหน้าของเสิ่นหย่า ชั่วขณะจางซื่อก็รู้สึกมีช่องทาง กำลังจะโน้มน้าวต่อ เหอฮวาก็มาขวางอยู่ข้างหน้านางเงียบๆ “สะใภ้ใหญ่ท่านนี้ ท่านพูดเช่นนี้ข้าไม่ยินดีแล้ว กูไหน่ไนของพวกเราเป็นคุณหนูสูงศักดิ์จวนจงอู่โหว ลูกสาวของนางย่อมเป็นคุณหนูญาติผู้น้องของจวนโหว ด้วยสถานะครอบครัวของจวนจงอู่โหว ย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องคู่สมรสที่ดีแน่นอน เหตุใดจึงเอ่ยถึงบ้านสามีไม่ได้เล่า”

 

 

หลายปีมานี้ที่กุมสินเดิมและเงินทองของเสิ่นหย่าไว้ จางซื่อย่อมไม่ใช่สตรีชนบทที่หวาดกลัวไม่มีความรู้เช่นนั้นอีก เพราะว่ามีลูกชายเคียงข้างกายจึงมีความมั่นใจพอ นางกลับเคยใช้ชีวิตอันสุขสบายเรียกบ่าวเรียกคนใช้มาก่อน จู่ๆ ตอนนี้กลับถูกสาวใช้คนหนึ่งตอกกลับไปบนหน้า ในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อย แต่แม้ว่าจะไม่พอใจนางก็ไม่กล้าแสดงออกมา เด็กผู้หญิงตัวผอมบางผู้นั้นเมื่อครู่ยังร้ายกาจเพียงนั้น ใครจะรู้ว่าคนผู้นี้ตรงหน้าจะมีความสามารถอะไรอีก

 

 

จางซื่อหน้าเหยเก บ่นพึมพำ “ข้าหวังดีต่างหาก! สุภาษิตว่าไว้พังศาลเจ้าสิบหลังยังดีกว่าพังชีวิตคู่ น้องสะใภ้ก็อายุเท่านี้แล้ว ซ้ำยังไม่มีบุตรชาย หย่าแล้วจะมีบั้นปลายที่ดีอะไรได้ ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกร้อยปีก็อาจจะไม่มีแม้แต่คนจะให้พักพิง”

 

 

เหอหลินหลินโมโหแล้ว “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่โปรดระวังคำพูดด้วย!”

 

 

“ระวังคำพูดอะไรกัน ผู้ใหญ่พูดอยู่เด็กเช่นเจ้าพูดแทรกได้ด้วยหรือ เหล่าเอ้อร์ เจ้าเองก็สนใจลูกสาวคนนี้ของเจ้าบ้าง ตระกูลเหอของพวกเราไม่มีลูกสาวที่ไร้มารยาทเช่นนี้” มารดาแซ่เหอไม่พอใจขึ้นมาในชั่วขณะ ขู่ลูกชายให้สั่งสอนหลานสาว “ยิ่งไปกว่านั้นป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าก็พูดความจริง ละแวกแปดหมู่บ้านสิบลี้เจ้าก็ลองไปถามดู สตรีหย่าร้างที่ไหนมีบั้นปลายที่ดีบ้าง”

 

 

นางมองลูกสะใภ้ที่สีหน้าเรียบเฉยด้วยแววตาดูถูกปราดหนึ่ง กล่าว “คำพูดไม่ดีเจ้าก็วางไว้ตรงนี้ก่อน หากเจ้ายังยืนกรานจะหย่าจริงๆ จวนโหวของพวกเจ้ามีอำนาจมาก ตระกูลเหอของพวกเราทำอะไรไม่ได้ แต่หลินเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวตระกูลเหอ กลับต้องอยู่ที่ตระกูลเหอ เจ้าพาไปด้วยไม่ได้ เรื่องนี้ต่อให้จะไปถึงตำหนักจินหลวนให้ฝ่าบาทตัดสินข้าก็ไม่กลัว”

 

 

นางมองลูกสะใภ้หน้าเปลี่ยนสีด้วยความพอใจอย่างยิ่ง นางเชิดหน้าสูงในใจก็ยิ่งพอใจ “ควรจะทำอย่างไรเจ้าก็คิดให้ดีๆ แล้วกัน เหล่าเอ้อร์ พวกเราไปกัน” จางซื่อรีบก้าวขึ้นไปพยุงแขนของแม่สามี

 

 

เหอจังหมิงมองเสิ่นหย่าด้วยสีหน้าสับสน ถอนหายใจหนึ่งคราแล้วกล่าว “หย่าเอ๋อร์ ไยจะต้องทำถึงเพียงนี้ เจ้าสงบจิตใจค่อยๆ คิดดูเถอะ” เห็นเสิ่นหย่าไม่สนใจเขา จึงทำได้เพียงจากไปพร้อมความผิดหวัง

 

 

“กูไหน่ไน ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาอาหารแล้ว พวกเรามีกฎอย่างไร รอครัวในจวนส่งมา หรือว่าเตรียมกันเอง” เหอฮวาหันหน้าถาม

 

 

พ่อบ้านรองก็ก้าวเข้ามาประสานมือทำความเคารพ “กูไหน่ไน บ่าวคารวะท่าน ท่านยังจำบ่าวได้หรือไม่ บ่าวคิดว่า พวกเราเตรียมกับข้าวเองดีกว่าขอรับ” ทะเลาะกับจวนตระกูลเหอจนเป็นเช่นนี้แล้ว กินอาหารที่จวนตระกูลเหอส่งมาอีก เขาไหนเลยจะวางใจได้ ในมือมีเงิน ยังจะต้องกลุ้มใจว่าจะไม่มีข้าวให้กินอีกหรือ

 

 

เสิ่นหย่าหรี่ตามองพ่อบ้านรองผู้นี้อย่างละเอียด ครู่ใหญ่จึงกล่าว “ที่แท้แล้วก็เป็นเจ้า อันหราน พ่อเจ้าสบายดีหรือไม่”

 

 

พ่อบ้านรองที่ชื่ออันหรานผู้นี้ เสิ่นหย่ายังคงจำได้เล็กน้อย พ่อเขาเป็นผู้มีความสามารถข้างกายบิดาของนาง อีกทั้งยังเคยรับดาบแทนบิดาของนางอีกด้วย ตอนที่นางยังไม่ออกเรือนอันหรานผู้นี้ยังเป็นเด็กรับใช้ที่วิ่งซุกซนอยู่เลย ชั่วพริบตาเขาก็กลายเป็นพ่อบ้านรองของจวนตระกูลโหวแล้ว เสื้อผ้าบนร่างยังมีราศีอย่างยิ่ง แล้วตัวเองเล่า

 

 

ตกต่ำจนเทียบไม่ได้แม้แต่บ่าวคนหนึ่ง! บนใบหน้าของเสิ่นหย่าเผยสีหน้างงงวย ในใจมักจะรู้สึกอึดอัด ยังคงเป็นเหอหลินหลินที่ดึงแขนเสื้อพยายามจะเรียกสติเขากลับมา รีบกล่าว “เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ”

 

 

“พ่อบ่าวสุขภาพยังแข็งแรงอยู่ขอรับ ขอบคุณกูไหน่ไนที่เป็นห่วง” พ่อบ้านรองกล่าวด้วยความเคารพ คิดครู่หนึ่งแล้วจึงเสริมหนึ่งประโยค “กูไหน่ไนโปรดวางใจ มีคุณชายสี่ของพวกเราอยู่ ท่านไม่ต้องกังวลสิ่งใดทั้งนั้น” จากนั้นจึงพาเด็กรับใช้ไปเตรียมการ

 

 

 

 

[1] ขนมหร่วนเกา ขนมโบราณเนื้อนุ่ม ทำจากแป้งปรุงกลิ่นด้วยใบสาระแหน่ โรยหน้าด้วยงาและน้ำตาลทรายเล็กน้อย