ตอนที่ 193-2 สงครามมติมหาชน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ส่วนเย่ว์กุ้ยเหอฮวาก็นำสาวใช้ไปวิ่งวุ่นทำงานอยู่ก่อนแล้ว จัดโต๊ะจัดเก้าอี้ เช็ดฝุ่นบนข้าวของเครื่องใช้ คล่องแคล่วปราดเปรียว เหอหลินหลินมองแล้วก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ที่แท้แล้วคนรับใช้ในจวนโหวก็เป็นเช่นนี้! คนรับใช้ในจวนตระกูลเหอเทียบกับพวกนางแล้ว ถูกโยนออกไปแปดสายถนนทันที 

 

 

เสิ่นหย่าถอนหายใจหนึ่งครา พาลูกสาวเข้ามาในห้องด้านในด้วยสีหน้าสับสน นางกำลังจะเรียกหลินเจี่ยเอ๋อร์ ก็ถูกเหอหลินหลินตัดบท “ท่านแม่ คงไม่ใช่ว่าท่านไม่อยากหย่าหรอกนะ จวนตระกูลเหอกับท่านพ่อควรค่าให้ท่านอาลัยอาวรณ์เพียงนั้นหรือไร” คำถามนี้นางอยากถามตั้งแต่ที่อยู่ข้างนอกเมื่อครู่แล้ว 

 

 

“หลินเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าไม่เข้าใจ” เสิ่นหย่ามองใบหน้าเล็กๆ ที่ไร้เดียงสาของลูกสาว ในใจเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู 

 

 

เหอหลินหลินร้อนใจแล้ว “ท่านแม่ ท่านอย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ เชียวนะ! ท่านย่ากับท่านป้าสะใภ้ใหญ่หลอกท่าน ตอนนี้พวกนางพูดจาดี นั่นก็เพราะว่าญาติผู้พี่สี่มาหนุนหลังให้พวกเรา เมื่อญาติผู้พี่ไป ยังไม่รู้ว่าพวกนางจะทรมานท่านอย่างไร ท่านอย่าได้ตกหลุมพรางเป็นอันขาด!” 

 

 

เห็นท่าทางร้อนใจของลูกสาว หัวใจของเสิ่นหย่าก็อบอุ่น นางลูบใบหน้ารูปไข่ของลูกสาวแล้วกล่าว “หลินเจี่ยเอ๋อร์ จวนตระกูลเหอแห่งนี้ รวมถึงพ่อเจ้า แม่เลิกอาลัยอาวรณ์ณ์มานานแล้ว แต่แม่ไม่วางใจเจ้า หากแม่กับพ่อเจ้าหย่าร้าง พ่อเจ้าคงจะไม่ให้แม่พาเจ้ากลับไปด้วยกันเป็นแน่ เจ้าเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ แม่ไหนเลยจะทิ้งเจ้าลง” เพื่อลูกสาวแล้วนางยอมตายได้ ไหนเลยจะยอมทิ้งลูกสาวให้อยู่ในจวนตระกูลเหอ 

 

 

เพียงคนเดียวเล่า 

 

 

ทว่าเหอหลินหลินกลับส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต “ท่านแม่ ไม่เอาๆ ลูกไม่อยากให้ท่านเสียสละเช่นนี้ หากไม่หย่า พวกเราแม่ลูกอยู่ที่จวนตระกูลเหอต่อไปไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องตาย ท่านยังมองไม่เห็นความทะเยอทะยานของเถียนอี๋เหนียงหรือ ญาติผู้พี่สั่งสอนนางแล้ว นางจะยอมวางมือหรือ เมื่อญาติผู้พี่ไป นางจะไม่ระบายอารมณ์กับพวกเราแทนหรือ” 

 

 

นางหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “ท่านเองก็ได้ยินญาติผู้พี่กล่าวแล้ว เรื่องหย่าเป็นเจตนาของท่านตา หากท่านไม่ปฏิบัติตาม ท่านตาก็จะผิดหวังต่อท่านอย่างยิ่ง หลังจากนี้ก็ขี้เกียจจะสนใจท่านแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็จะไร้ซึ่งที่พึ่งต้องยอมให้คนกดขี่แล้วจริงๆ” 

 

 

“แต่แม่ทิ้งหลินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ลง!” เสิ่นหย่ายังคงไม่ยินยอม ต่อให้จะต้องใช้ชีวิตลำบากนางก็ไม่กลัว ขอเพียงแค่ได้อยู่ข้างกายลูกสาวก็พอ 

 

 

“ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงไม่เข้าใจ” เหอหลินหลินยิ่งร้อนใจแล้ว ขึ้นเสียงสูงอย่างอดไม่ได้ “ขอเพียงแค่ท่านมีชีวิตที่ดีในจวนโหว ต่อให้ลูกจะต้องอยู่ในจวนตระกูลเหอ พวกเขาก็ไม่กล้าปฏิบัติไม่ดีต่อข้า ยิ่งไปกว่านั้นลูกคิดว่าญาติผู้พี่มีจุดประสงค์ ไม่แน่ว่าอาจจะคิดหาวิธีพาลูกกลับเมืองหลวงไปพร้อมกันไว้แล้ว” 

 

 

“จริงหรือ” ดวงตาของเสิ่นหย่าเป็นประกายในชั่วขณะ หากสามารถพาหลินเจี่ยเอ๋อร์กลับไปพร้อมกันได้ นางจะยังลังเลอะไรอีก รีบหย่าแล้วกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด 

 

 

เหอหลินหลินหยุดชะงัก นางเพียงแค่พูดออกไปเช่นนี้ ไหนเลยจะรู้ว่าญาติผู้พี่มีวิธีหรือไม่ 

 

 

ในตอนนี้เองก็ได้ยินเพียงเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตู “จริงเจ้าค่ะ” 

 

 

เสิ่นหย่าสองแม่ลูกหันหน้ากลับไปมองพร้อมกัน เห็นเพียงสาวใช้ที่พูดก่อนหน้านี้ยืนอยู่หน้าประตูห้องด้านใน 

 

 

เสิ่นหย่าสองแม่ลูกสนทนาโดนไม่ได้ปิดประตู เหอฮวาทำงานอยู่ข้างนอกย่อมต้องได้ยินบทสนทนาของพวกนาง อดไม่ได้พูดแทรกเข้ามา 

 

 

อย่างไรเสียนางก็พูดแทรกแล้ว เหอฮวาก็ถือโอกาสเดินเข้ามาเสีย โค้งตัวทำความเคารพเสิ่นหย่ากับเหอหลินหลิน กล่าว “กูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้องโปรดให้อภัยบ่าวที่บุ่มบ่าม คุณหนูญาติผู้น้องกล่าวถูกแล้ว ตอนที่มาคุณชายของพวกเราตั้งใจจะพากูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้องกลับเมืองหลวงพร้อมกัน ทั้งยังยืนยันกับนายท่านผู้เฒ่าโหวว่าจะปฏิบัติหน้าที่จนสำเร็จ ส่วนคุณชายจะใช้วิธีใด บ่าวก็ไม่ทราบแล้ว แต่บ่าวรู้ว่าขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่คุณชายคิดจะทำก็ไม่มีทางทำไม่ได้ ดังนั้นกูไหน่ไนท่านโปรดวางใจเถอะ” หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “พ่อบ้านรองสั่งคนไปเชิญหมอมาแล้ว อีกประเดี๋ยวจะเข้ามาดูบาดแผลบนลำคอของกูไหน่ไนเจ้าค่ะ” 

 

 

เสิ่นหย่าสองแม่ลูกได้ยินดังนั้นก็ดีใจแล้ว “ท่านแม่ ท่านได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ญาติผู้พี่บอกว่าจะไม่ทิ้งพวกเราไม่สนใจพวกเรา ท่านจะต้องยืนหยัดความตั้งใจของท่านไว้ อย่าได้ถูกพวกนางพูดจาดีเกลี้ยกล่อมไม่กี่ประโยคก็เปลี่ยนความตั้งใจ” 

 

 

เสิ่นหย่าพยักหน้าไม่หยุด “แม่จะจำไว้ แม่จะจำไว้” ส่วนประโยคหลังของเหอฮวานางไม่ได้ฟังเข้าหูอย่างสิ้นเชิง 

 

 

เหอหลินหลินยังคงไม่วางใจ คนเลวเมื่อหมดทางถอยอะไรก็ล้วนทำได้ทั้งนั้น ใครจะรู้ว่าพวกนางจะเล่นลูกไม้อะไรออกมาอีก นางอยู่ข้างกายแม่นางไม่ให้ห่างจะดีกว่า 

 

 

เหอจังหมิงที่ออกจากเรือนเสิ่นหย่าแล้วก็ตำหนิแม่เขาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงรับปากหย่าตามอำเภอใจเช่นนั้นเล่า หากตัดความสัมพันธ์กับตระกูลนี้แล้ว งานการของลูกก็คงจะจบสิ้นเป็นแน่” เขารู้ตัวเองดี ด้วยอำนาจของจวนจงอู่โหวในตอนนี้จะจัดการนายอำเภอเล็กๆ เช่นเขา เพียงแค่กระดิกนิ้วมือเล็กน้อยก็ได้แล้ว กระทั่งไม่ต้องให้จวนโหวลงมือเอง เพียงแค่จวนโหวเผยเจตนาเงียบๆ ก็จะมีคนจำนวนมากวิ่งเข้ามาเหยียบย่ำเขาไปเลียแข้งเลียขาจวนโหว 

 

 

ทว่ามารดาแซ่เหอกลับถลึงตาใส่ “แม่เจ้าไม่ได้โง่ เรื่องขัดอนาคตของเจ้าแม่จะทำได้หรือ เจ้าน่ะ อย่ามองว่าเจ้าเป็นขุนนาง แม่เป็นเพียงยายแก่ชนบทที่ไม่มีความรู้ไม่มีประสบการณ์ แต่ความคิดของผู้หญิงคนนี้แม่เข้าใจดีกว่าเจ้า” นางมองลูกชายคนเล็กที่ทำให้นางภูมิใจอย่างถึงที่สุดผู้นี้ กล่าวจากใจจริง “ผู้หญิงน่ะ ไม่ว่าปากจะร้ายเพียงใด เพียงแค่มีบุตรเป็นแม่คน จิตใจก็อ่อนลงแล้ว ภรรยาของเจ้าก็มีหลินเจี่ยเอ๋อร์หนึ่งคน นางทิ้งหลินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ลงหรอก วางใจเถอะ นางจะต้องไม่กล้าหย่า ขอเพียงแค่พวกเรารับมือกับคุณชายสี่ผู้นั้นให้ได้ก็พอแล้ว” 

 

 

เหอจังหมิงคล้ายกำลังครุ่นคิด รู้สึกว่าแม่เขาพูดถูกจริงๆ จิตใจก็วางลงช้าๆ “แต่คุณชายสี่แซ่เสิ่นผู้นั้นไหนเลยจะรับมือได้ง่ายๆ ไม่อ่อนข้อ ดื้อรั้น เมื่อครู่ท่านเองก็เห็นแล้ว” จนถึงตอนนี้เขาก็ยังหวาดกลัวอยู่ คุณชายสี่แซ่เสิ่นผู้นั้นสุภาพมีมารยาท แต่เหตุใดการกระทำถึงได้โหดเ**้ยมดุร้ายเพียงนั้นเล่า 

 

 

มารดาแซ่เหอทนมองท่าทางหวาดผวาเช่นนี้ของลูกชายไม่ได้ “สองมือหรือจะสู้สี่มือ อย่างไรเสียอวิ๋นโจวก็เป็นเขตแดนของเจ้ามิใช่หรือ ยังกลัวว่าจะจัดการเด็กคนหนึ่งไม่ได้อีกหรือ” ลูกชายคนนี้ดีหมดทุกอย่าง ฉลาดเรียนหนังสือเก่ง เพียงแต่ขี้ขลาด ตอนเด็กๆ พอฟ้ามืดก็ไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำคนเดียว ทุกครั้งต้องให้พี่ชายเขาพาไป 

 

 

หยุดครู่หนึ่งนางจึงกล่าวต่อ “แม่ตริตรองดีแล้ว เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับภรรยาของเจ้า ขอเพียงแค่นางไม่ยอมหย่า คุณชายสี่แซ่เสิ่นผู้นั้นจะยืนกรานตัดสินใจแทนนางได้อยู่หรือ ช่วงนี้เจ้าก็โน้มน้าวภรรยาเจ้าสักหน่อย ผู้หญิงน่ะ ใจอ่อนเสมอ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่เรือนหลังเจ้าก็ทำให้น้อยหน่อย ดูสิช่วงนี้เจ้าผอมหมดแล้ว” 

 

 

เหอจังหมิงถูกมารดาพูดเช่นนี้ต่อหน้าก็อึดอัดอย่างอดไม่ได้ “ดูท่านแม่พูดเข้า ลูกเป็นคนไม่รู้ลำดับความสำคัญหรืออย่างไร ช่วงนี้ลูกงานยุ่ง เหนื่อยก็ต้องมีบ้าง” ไม่ต้องเอ่ยถึงเถียนอี๋เหนียง เพียงแค่อี๋เหนียงอีกสองคนก็รู้จักอ่านสถานการณ์ ทุกครั้งต่างก็ทำให้เขาพอใจได้ หากบุรุษหมดความสนใจแม้แต่เรื่องนี้ เช่นนั้นชีวิตจะยังมีความน่าสนใจอะไรอีก 

 

 

มารดาแซ่เหอชายตามองลูกชายปราดหนึ่ง กลับไม่พูดอะไรแล้ว นางคิดมาดีอย่างยิ่ง เดาความกังวลของเสิ่นหย่าได้ แต่นางไหนเลยจะรู้ว่าเสิ่นเวยเตรียมการมาก่อน ตอนที่นางรู้ว่าเสิ่นหย่าใจแข็งต้องการหย่า ไม่สนแม้กระทั่งลูกสาว นางก็โมโหจนแทบจะหายใจไม่ออก ตบต้นขาสาปแช่งเสิ่นหย่า บ้างก็ว่าโหดร้าย บ้างก็ว่าใจเ**้ยม บ้างก็ว่าชั่วช้า…และคำไม่น่าฟังอีกมากมาย 

 

 

หลังจากนั้นท่าทีของจวนตระกูเหอก็เปลี่ยนไปแล้ว ไม่เอ่ยถึงเรื่องหย่าแม้แต่ประโยคเดียว แต่ยืนกรานจะขับภรรยาให้ได้ เพราะเหตุใดน่ะหรือ หย่าต้องคืนสินเดิมฝ่ายหญิง แต่ขับภรรยากลับไม่ต้อง 

 

 

ขับภรรยาก็ขับภรรยา อย่างไรเสียก็มีเหตุผลที่เหมาะสมมิใช่หรือ จวนตระกูลเหอกลับแย้งไม่ได้ จึงยืนกรานจะขับภรรยาอย่างเป็นนัยๆ 

 

 

เสิ่นเวยโมโหแล้ว คนพวกนี้หน้าไม่อายไม่มีจุดสิ้นสุดจริงๆ ขับภรรยาอะไร ก็แค่ต้องการยึดครองสินเดิมของท่านน้ามิใช่หรือ เหอะๆ ในเมื่อเจ้าต้องการให้ได้ เช่นนั้นข้าก็ยิ่งไม่ให้ ดวงตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ เกิดความคิดดีๆ แล้ว 

 

 

วันที่สอง เด็กขอทานทั่วทั้งเมืองอวิ๋นโจวต่างก็ร้องเพลงพื้นบ้านที่แปลกใหม่หนึ่งเพลง เนื้อหามีดังนี้ ‘น่าแปลก น่าแปลก น่าแปลกจริง อวิ๋นโจวมีนายอำเภอเหอผู้หนึ่ง นายอำเภอเหอ เรือนหลังวุ่น ยกอี๋เหนียงผู้เป็นม้าซูบผอมขึ้นหิ้ง ทิ้งขว้างฮูหยินภรรยาเอก สิบกว่าปี สิบกว่าปี ภรรยาเอกเดิมเป็นบุตรสาวจวนโหว ลดตัวลงแต่งงานกับนายอำเภอ ใครจะรู้นายอำเภอใจโลเลแล้วยังลืมบุญคุณ แย่งสินเดิมภรรยาเอกทรยศ ภรรยาเอกหญิงอ่อนแอผู้น่าสงสาร ขังอยู่ในเรือนหลังเจ็บปวดจนพูดไม่ออก ทนลำบากเลี้ยงดูลูกสาว กลับถูกหญิงชั่ววางแผนลวง เดิมเป็นหญิงงามเยาว์วัย ถูกกดจนผมหงอกหัวขาว เจ้าว่าเป็นเพราะเหตุใด เพราะเหตุใด ภรรยาเอกร้องไห้จนเหือดแห้ง ทำอย่างไรเมื่อใจสามีเย็นชาดั่งเหล็ก ภรรยาเอกจนใจไปผูกคอตาย ดวงแข็งจึงยังรอดอยู่…’ 

 

 

เพลงพื้นบ้านติดปาก ภาพลักษณ์สดใสซ้ำยังเปิดเผยเรื่องราวของคุณหนูผู้สูงศักดิ์กับชายชั่วผู้ลืมบุญคุณผู้หนึ่งที่ดวงชะตาไม่ราบรื่น เพราะว่าแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ไม่ถึงครึ่งวัน ในเมืองอวิ๋นเหอตั้งแต่ขุนนางสูงส่งจนถึงคนต้อยต่ำที่สุดต่างก็รู้จักเพลงพื้นบ้านบทนี้แล้ว ในเหลาสุรา ในโรงน้ำชา ข้างถนนใหญ่ ผู้คนล้วนแต่ถกเถียงถึงเพลงพื้นบ้านบทนี้อย่างให้ความสนอกสนใจ สายตาต่างก็มองไปยังประตูที่ว่าการอำเภอรางๆ 

 

 

ไอ๊หยา ไม่คิดว่านายอำเภอจะเป็นคนแบบนี้ เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงมองไม่ออกเลยเล่า 

 

 

ได้ยินเรื่องนั้นแล้วใช่หรือไม่ เจ้าว่าเหตุใดจิตใจคนผู้นี้ถึงได้ดำขนาดนี้เล่า กินของคนอื่น ดื่มของคนอื่น ใช้ของคนอื่น พอก้าวหน้าแล้วก็ทรมานเขาแทบตาย นี่ยังเป็นคนอยู่หรือไม่ 

 

 

นี่ๆๆ อะไรคือม้าซูบผอม ม้าที่ผอมๆ แบบนั้นน่ะหรือ หรือว่าคนผู้นี้เป็นคนโง่ ชอบอะไรแบบนี้งั้นหรือ 

 

 

ชู่ๆๆ ไม่มีความรู้สิท่า ม้าผอมๆ อะไรกัน ข้าจะบอกเจ้าให้ ไม่ใช่ม้า เป็นคน คนซูบผอม! 

 

 

 

 

 

ทุกๆ วันเสิ่นเวยพาคนออกไปเดินเล่น ทุกครั้งที่ได้ยินข้อความเหล่านี้นางก็อดมีความสุขไม่ได้ ไอ๊หยา สติปัญญาของทุกคนนี่ดูถูกไม่ได้จริงๆ เหอจังหมิง นายอำเภอเหอ ใต้เท้าเหอ ท่านค่อยๆ รับของขวัญชิ้นใหญ่ที่ข้าส่งให้ท่านเถอะ ใช่รู้สึกสบายอารมณ์อย่างยิ่งหรือไม่ 

 

 

เพลงพื้นบ้านที่มีพลังสังหารแข็งกล้าบทนี้ย่อมเป็นฝีมือของเสิ่นเวยเอง นางเองก็เป็นคนที่เคยได้รับการศึกษาชั้นสูง แต่งเพลงติดปากเพลงหนึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายดายหรอกหรือ เคยเห็นสงครามน้ำลายนับไม่ถ้วนในวงการบันเทิงยุคปัจจุบัน เสิ่นเวยรู้ถึงพลังของมติมหาชนเป็นอย่างดี ในเมื่อพวกเจ้าหน้าไม่อายขนาดนั้น เช่นนั้นข้าก็จะเปิดฉากสงครามมติมหาชนกับพวกเจ้าก่อน เจ้าก็คอยประคองร่างเล็กๆ ที่บอบบางนั้นของเจ้าให้ได้แล้วกัน 

 

 

กว่าเหอจังหมิงจะรู้เรื่องนี้ก็ตกบ่ายแล้ว เหตุใดเขาถึงรู้ช้าเช่นนี้น่ะหรือ ไม่ใช่มีคำพูดหรือว่า ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามคนต้นเรื่องมักจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้หรอกหรือ 

 

 

และผิดที่ปกติแล้วเหอจังหมิงประพฤติตัวไม่ถูก มักจะคิดว่าตนเป็นผู้รู้ผู้มีความสามารถ แม้แต่ขุนนางชั้นสูงเขายังไม่ยอมก้มหัวให้ จะผูกมิตรแท้ในที่ทำงานได้หรือไร ดังนั้นเมื่อเพื่อนร่วมงานทั้งหลายได้ยินเพลงพื้นบ้านบทนี้ ต่างก็มองเขาเป็นตัวตลกอยู่เงียบๆ ไม่มีใครเล่าให้เขาฟังเลยแม้แต่คนเดียว 

 

 

ท้ายที่สุดยังเป็นพี่ใหญ่เขาที่วิ่งมาบอกเรื่องนี้กับเขา เขาโมโหแทบตาย เส้นเลือดดำบนดำคอปูดนูน ดวงตาถลึงจนแดงไปด้วยโลหิต ไม่ต้องคิดเขาก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของใคร แต่ในมือเขาไม่มีหลักฐาน 

 

 

“โธ่เอ๊ย เสียหน้าบรรพบุรุษหมดแล้ว เหล่าเอ้อร์เจ้ายังรออะไรอีก รีบไปจัดการเสีย!” มารดาแซ่เหอรู้เรื่องนี้แล้วก็อายจนไม่กล้าแม้แต่จะออกจากบ้าน 

 

 

ใบหน้าของเหอจังหมิงเหยเก จัดการหรือ พูดเหมือนง่าย ห้ามปากประชาชนนั้นยากยิ่งกว่าห้ามสายน้ำไม่ให้ไหล ประชาชนทั่วทั้งเมืองอวิ๋นเหอ ไหนเลยจะหยุดได้ เขาคงไม่อาจฆ่าคนทั้งหมดได้กระมัง