บริเวณโดยรอบ… ยังคงเงียบสงัด
ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีหัวเราะเยาะตนเอง
นางเป็นอันใดไปแล้ว?
ต้องเป็นเวทมนตร์ปีศาจแน่นอน!
เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าเยี่ยโยวเหยามาที่นี่?
ต้องเป็นเพราะก่อนหน้านี้นางแช่ตัวในอ่างน้ำนานเกินไป เมื่อลุกขึ้นอย่างกะทันหันจึงไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิภายนอกได้ ทั้งยังรู้สึกง่วงอยู่เล็กน้อย จึงปรากฏภาพหลอน
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็ส่ายศีรษะอย่างแรง พยายามปลุกตนเองให้ตื่นตัว จากนั้นจึงเดินไปหลังราวแขวนเสื้อ และเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน
นางเพิ่งสวมชุดนอนเสร็จ หน้าต่างด้านนอกที่นางเพิ่งปิดก็เปิดออกอีกครั้ง
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว
ไม่มีลม หน้าต่างเปิดเองได้อย่างไร?
หรือว่า… มีคนเข้ามา?
ปฏิกิริยาแรกของซูจิ่นซีคือการเพิ่มความตื่นตัวของร่างกาย ทันใดนั้น เข็มเงินเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่นิ้วมือ นางเดินออกจากฉากกั้น ค่อยๆ เดินไปใกล้หน้าต่าง
ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ลมหายใจที่อยู่ด้านหลังก็ทำให้นางตกตะลึง ซูจิ่นซีตอบสนองกลับอย่างรวดเร็ว ซัดเข็มเงินในมือออกไป
เมื่อเข็มเงินถูกซัดออกไป ดวงตาของซูจิ่นซีพลันเบิกกว้าง ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
นางไม่อยากจะเชื่อและประหลาดใจอย่างมาก เพราะเข็มเงินที่ปล่อยออกไปแล้ว ไม่อาจดึงกลับมาได้ นางซัดเข็มเงินไปที่ร่างของคนผู้นั้น
คนผู้นั้นยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟสลัว สวมชุดสีดำ เส้นผมปลิวไสวภายใต้หน้ากากเย็นชา ยากจะหาผู้ใดเปรียบ
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังประหลาดใจ เข็มเงินพุ่งเข้าไปหาคนผู้นั้น ร่างของเขาเอนไปด้านข้างเล็กน้อย และหลบเข็มเงินของซูจิ่นซีได้อย่างง่ายดาย
เข็มเงินแทงเข้าไปที่ผนังด้านหลังคนผู้นั้นดัง ‘ฉึก’ ตามมาด้วยเสียง ‘วิ้ง วิ้ง’ ซึ่งเป็นเสียงสั่นไหวของปลายเข็ม
เสียงนั้นเรียกสติของซูจิ่นซีที่กำลังตกตะลึง ทำให้นางที่กำลังตึงเครียด ผ่อนคลายลง ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ซูจิ่นซี เข้ามานี่! ” น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยาเย็นชาเล็กน้อย
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว ที่แท้ไม่ใช่เป็นเวทมนตร์ปีศาจ ทว่าเป็นเยี่ยโยวเหยามาหานางจริงๆ
“ยังไม่มาอีก? ” เยี่ยโยวเหยาเห็นซูจิ่นซียืนนิ่งไม่ขยับ น้ำเสียงเย็นชาจึงมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย
ขณะนั้น ซูจิ่นซีเพิ่งได้สติ ทว่าดวงตาของนางกลับเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ ทั้งยังยืนนิ่งไม่ขยับ
เอ่ยปากให้นางไปหา หากนางรีบไปแต่โดยดี เช่นนั้นไม่ดูไร้ยางอายไปหน่อยหรือ?
ไม่ไป!
เยี่ยโยวเหยาเลิกคิ้วสีดำเข้มเล็กน้อย เขาค่อยๆ ก้าวมาข้างหน้า เดินมาหาซูจิ่นซีทีละก้าว
ไม่รู้เพราะเหตุใด ซูจิ่นซีสังเกตได้ถึงลมหายใจอันตรายของเยี่ยโยวเหยา สัญชาตญาณบ่งบอกถึงลางร้าย นางลังเลอยู่ในใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเม้มริมฝีปากและค่อยๆ ก้าวถอยหลัง
ซูจิ่นซีถอยหลังกลับ เยี่ยโยวเหยาเดินหน้าเข้าหา ทว่าฝีเท้ายังคงสม่ำเสมอ ไม่มีเจตนาไล่ตาม
ซูจิ่นซีถอยจนไม่อาจถอยได้อีกแล้ว ร่างของนางกระแทกเข้ากับราวแขวนเสื้อที่อยู่ด้านหลังอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ‘ตึ้ง’ โชคดีที่ด้านหลังของราวแขวนผ้าเป็นฉากกั้นหยกขนาดใหญ่ ไม่เช่นนั้น นางคงชนราวแขวนเสื้อจนล้มลงไปแล้ว
ทว่าคานของราวแขวนเสื้อกระแทกหลังของซูจิ่นซีพอดี มันทำให้นางเจ็บมากจนต้องขมวดคิ้วแน่น ทั้งยังหายใจไม่ทั่วท้องอยู่ครู่หนึ่ง
เยี่ยโยวเหยาสบโอกาสก้าวเท้ายาวไปข้างหน้า เขาวางมือลงบนฉากกั้น รองไว้ด้านหลังศีรษะของซูจิ่นซี ก่อนจะอุ้มซูจิ่นซีไว้ในอ้อมแขนของตนเอง ดวงตาดำขลับค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้ใบหน้าซูจิ่นซี
“ซูจิ่นซี นับวันเจ้ายิ่งบังอาจมากขึ้น สำหรับเจ้า คำพูดของข้าคงไร้ความหมาย ใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีคิ้วกระตุกอย่างแรง นางไม่มีเรี่ยวแรงจะสนใจเยี่ยโยวเหยา จึงหลับตาและขมวดคิ้วเป็นปมครู่ใหญ่
เยี่ยโยวเหยายื่นมือข้างหนึ่งออกมาอย่างเชื่องช้า เขาบีบกรามของซูจิ่นซี พลางมองใบหน้าของซูจิ่นซีที่กำลังบูดเบี้ยวเหมือนซาลาเปาด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหยอกล้อ
“ยังมี ขณะที่ข้าไม่อยู่ ใครอนุญาตให้เจ้าสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นถึงเพียงนี้? ชายาที่รักคิดจะใส่ชุดนี้ให้ผู้ใดดูกัน? ”
ซูจิ่นซีกัดฟันแน่น อดกลั้นต่อความเจ็บปวด พลางเบิกตาทั้งคู่จ้องมองใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาด้วยความขุ่นเคือง
“เยี่ยโยวเหยา ท่านตาบอดหรือ? หม่อมฉันเจ็บถึงเพียงนี้แล้ว ท่านยังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องที่หม่อมฉันสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นอีก ท่านมีจิตใจบ้างหรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยายังคงยกยิ้มมุมปาก ทว่าเขาขมวดคิ้วแน่นขึ้น ทั้งยังจ้องใบหน้าซูจิ่นซีโดยไม่พูดอันใด
เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของเขา ซูจิ่นซีพลันรู้สึกผิดขึ้นมา
นางเม้มริมฝีปากและพูดว่า “อีกอย่าง ฤดูร้อนอากาศร้อนจนแทบจะสุกอยู่แล้ว หรือท่านจะให้หม่อมฉันใส่เสื้อบุนวม? ”
ทว่าเยี่ยโยวเหยายังมีท่าทีเช่นเดิม ไม่พูดตอบอันใด
ในใจของซูจิ่นซียิ่งว่างเปล่า ดวงตาของนางเปล่งประกาย พลางยกมือผลักเยี่ยโยวเหยาออกไป
“พอแล้ว พอแล้ว คราวหลังไม่สวมใส่น้อยชิ้นก็ได้ คราวหลัง หม่อมฉันจะเอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเหมือนไม่ได้ใส่ไปเผาทิ้งให้หมด พอใจหรือไม่? ”
อย่างไรก็ตาม นางเพิ่งจะผลักมือของเยี่ยโยวเหยาที่จับคางของนางออก ทว่ามือนั้นกลับเลื่อนลงมาจับเอวของนาง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็โอบรัดหัวไหล่ของนาง ร่างของเยี่ยโยวเหยากดทับร่างของนางจนชิดกับผนังด้านข้างฉากกั้น
หัวใจของซูจิ่นซีเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ พวงแก้มแดงระเรื่อเล็กน้อย “เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ท่านจะทำอันใด? ”
ริมฝีปากบางเฉียบเย็นยะเยือกของเยี่ยโยวเหยาประทับลงบนลำคอของซูจิ่นซี พลางซุกไซ้ดูดดื่ม จากนั้นจึงพูดว่า “นี่ก็ยามสามแล้ว ในฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ชายาที่รัก เจ้าคิดว่าข้าต้องการทำสิ่งใดหรือ? ”
หลังสิ้นเสียงพูด ริมฝีปากของเขาก็สัมผัสริมฝีปากของซูจิ่นซี จุมพิตนั้นลึกซึ้งจนร่างของซูจิ่นซีสั่นเทา
ทว่าซูจิ่นซีกลับผลักเยี่ยโยวเหยาออกไปอย่างแรง ใบหน้าของนางแดงก่ำเล็กน้อย พลางขมวดคิ้วและพูดว่า “เยี่ยโยวเหยา วันนี้… วันนี้ไม่ได้”
แสงสว่างในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ หรี่ลง ทว่าไม่อาจปกปิดความปรารถนาอันเร่าร้อนได้ เขาใช้นิ้วเชยคางซูจิ่นซีขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นจึงถามอย่างจริงจังว่า “บอกข้า เหตุใดจึงไม่ได้? ”
แววตาของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความเขินอาย นางหันหน้าหนีจากสายตาของเยี่ยโยวเหยา และพูดอย่างเขินอายว่า “หม่อมฉัน… หม่อมฉันมีอย่างว่า”
ซูจิ่นซีรู้สึกได้ชัดเจนว่า ร่างของเยี่ยโยวเหยาสั่นเทาเล็กเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง ความเร่าร้อนของเขาก็ค่อยๆ ลดลง ดวงตาทอประกายความผิดหวัง พลางโอบอุ้มซูจิ่นซีเดินไปที่เตียง
ซูจิ่นซีกอดคอเยี่ยโยวเหยา นางเงยศีรษะมองดวงตาดำขลับซึ่งแฝงความอดกลั้นของเยี่ยโยวเหยา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างหยอกล้อ และมุดศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
เยี่ยโยวเหยาวางซูจิ่นซีไว้บนเตียง ห่มผ้าให้นาง และพูดว่า “เจ้านอนไปก่อน” จากนั้นจึงเดินจากไป
ซูจิ่นซีรีบลุกขึ้นนั่ง นางคว้าแขนเสื้อของเยี่ยโยวเหยา พลางกะพริบตา “ท่านอ๋อง ท่านจะไปที่ใด? ”
เยี่ยโยวเหยาหันหลังกลับมา เมื่อเห็นการแสดงออกของซูจิ่นซีที่ราวกับดอกกุหลาบหิน ทั้งยังมีท่าทีหยอกล้อ ไฟราคะในดวงตาของเขาพลันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่ออดกลั้นเอาไว้
“ข้ามีเรื่องต้องออกไปข้างนอก เจ้านอนไปก่อน อีกสักครู่ข้าจะกลับมา”
ออกไปดับไฟราคะหรือ?
ซูจิ่นซีหลบสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นก็เลือนหายไป นางเม้มริมฝีปากด้วยใบหน้าเย้ายวน พลางเขย่าแขนเสื้อของเยี่ยโยวเหยาและพูดว่า “ไม่ให้ไป! ”
เยี่ยโยวเหยาอดกลั้นได้ยากยิ่งขึ้น เขาขมวดคิ้วเป็นปม ทว่าไม่พูดสิ่งใด
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก ดวงตากลมโตงดงามจ้องมองดวงตาของเยี่ยโยวเหยา “ไม่ให้ไป ก็คือไม่ให้ไป! ”
เยี่ยโยวเหยารู้สึกคอแห้ง เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่