เดินทางพร้อมกับความเจ็บปวด โดย Ink Stone_Fantasy
เวลาที่ยาวนาน
แต่กลับเต็มด้วยความสุข
เหมือนว่าเธอได้กลับไปยังสนามรบเมื่อ 400 ก่อน ต่อสู้นองเลือดกับศัตรู เพียงแต่ครั้งนี้เธอไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บปวดหลังจากที่พ่ายแพ้ ไม่ต้องมองเห็นผองเพื่อนต้องนอนตายอยู่ในอ้อมอก แล้วก็ไม่มีภาระอันหนักอึ้งที่มากดทับจนหายใจไม่ออก
สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือว่าตัวเธอก็ล้วนแต่สามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดในตอนที่ถูกมีดดาบแทงเข้าไปในร่างกาย
เมื่อมีความเจ็บปวด ก็เท่ากับมีความจริง
“นังตัวเมีย…ข้าต้องยอมรับเลยว่าเจ้าสู้ได้เยี่ยมมาก” คาบราดาบีโยนแขนที่ชุ่มเลือดข้างหนึ่งลงไปบนพื้น “ถึงแม้จะยังไม่หลุดพ้นจากความเป็นแมลง แต่เจ้าก็นับว่าแข็งแกร่งกว่าพวกเพื่อนของเจ้าอย่างมาก ข้าเลือกคนไม่ผิดจริงๆ เจ้าทำให้ข้ามีความสุขจริงๆ!”
“งั้นเหรอ?” โซอี้พูดจาอู้อี้ ก่อนจะถุยเศษเนื้อก้อนหนึ่งออกมาจากปาก “เสียดายที่เนื้อเจ้ารสชาติห่วยแตกไปหน่อย”
นี่เป็นวันที่ 5 หลังเริ่มต่อสู้…หรือว่าวันที่ 7 กันนะ? เธอไม่มีความสามารถในการคำนวนเวลาโดยไม่ใช้พระอาทิตย์ พระจันทร์หรือดวงดาว เธอทำได้เพียงประมาณวันเวลาคร่าวๆ จากการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกาย เวลาของที่นี่น่าจะถูกกำหนดให้หมุนวนเป็นรอบๆ อย่างเช่นความรู้สึกหิวหรือกระหายจะค่อยๆ หายไปอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็กลับไปอยู่ในสภาพเหมือนตอนแรกสุด ถ้ามองว่ามันเท่ากับ 1 วันแล้วล่ะก็ มันก็ดูสมเหตุสมผลทีเดียว เพราะถ้าไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่สู้กันเป็นปีๆ เลย แค่ไม่กี่วันก็คงขยับตัวไม่ไหวแล้ว
ความเจ็บปวดอันรุนแรงตรงตำแหน่งแขนที่ถูกตัดขาดพุ่งเข้าไปที่หัวใจ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ยุติธรรม อีกฝ่ายนั้นสามารถรวมพลังเวทมนตร์ให้กลายเป็นดาบได้ แต่สิ่งที่เธอใช้ได้มีเพียงแค่สองมือสองเท้า แล้วก็ฟันในปากเท่านั้น
แต่โซอี้ไม่ได้สนใจเรื่องยุติธรรมเลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าแพ้ชนะมันไม่ใช่สิ่งสำคัญ
สิ่งที่ต้องทำเวลาที่อยู่บนสนามรบคือสังหารศัตรูและปกป้องร่างกายตัวเอง แต่ที่นี่แขนขาที่ถูกตัดขาดไปจะงอกขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักแค่ไหนก็ไม่มีทางหมดสติไป ไม่มีการตาย ความเจ็บปวดกลายเป็นสิ่งที่คงอยู่ไปตลอด
แล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้แต่มีดดาบเพียงอย่างเดียวในการสร้างความเจ็บปวด
นับตั้งแต่ที่ต่อสู้กันมาหลายวัน เธอสังเกตเห็นว่านี่เป็นครั้งแรกที่ปีศาจผ่อนจังหวะการต่อสู้ลงแล้วเริ่มเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“แต่ว่าความอดทนของเจ้ามันไร้ความหมาย” ปีศาจระดับสูงกดแขนตัวเองที่ได้รับบาดเจ็บ ปากแผลที่มีเลือดไหลฟื้นตัวกลับสู้สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว “การโจมตีแบบนี้มันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ถ้าเจ้าเพ้อฝันอยากจะใช้ฟันของเจ้ามาเอาชนะข้า เกรงว่าเจ้าคงต้องผิดหวังแล้วล่ะ หลังจากนี้ข้าจะค่อยๆ เลาะฝันของเจ้า จากนั้นก็จะเอามัดยัดใส่ลงไปในท้องของเจ้า เตรียมตัวให้ดีล่ะ!”
“แต่เจ้าก็ยังรู้สึกเจ็บไม่ใช่เหรอ?” โซอี้หอบหายใจ ก่อนจะเห็นแขนของตัวเองค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพกลับมา “เออใช่ ข้าอยากจะถามอะไรหน่อย เจ้าไม่รู้สึกบ้างเหรอว่าความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้มันคุ้นๆ?”
“นังตัวเมีย เจ้าหมายความว่ายังไง?”
ไม่ได้ ต้องอดทนไว้ ห้ามให้มันรู้ว่าเรากำลังมีความสุขเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นมันจะหมดสนุกเอาได้
ถึงแม้จะคิดเช่นนี้ แต่เธอก็ยังอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ตอนที่เจ้าอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ตอนนั้นเจ้าน่าจะรู้สึกได้ใช่ไหมล่ะ…” เธอชี้ไปยังตำแหน่งกระดูกสะบัก “แทงเข้าไปจากตรงนี้ แล้วเฉือนเอาเนื้อออกมา ดูจากร่างกายที่สั่นอย่างรุนแรงของเจ้าในตอนนั้นแล้ว มันน่าจะเจ็บมากใช่ไหม อ้อ ข้าเกือบลืมบอกไป คนที่ดูแลเจ้าเป็นพิเศษในตอนนั้นก็คือข้าคนนี้นี่แหละ”
“เจ้าแมลง…!” คาบราดาบีโมโหขึ้นมาทันที จากนั้นมันส่งเสียงคำรามพร้อมเหวี่ยงดาบฟันออกไป “ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”
….
วันที่ 6 เวลาเหมือนจะเดินไปช้ากว่าเดิม
บนพื้นสีดำมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่เต็มไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นสีน้ำตาลแดง มีบางส่วนสีเป็นสีน้ำเงินคล้ำ
นอกจากนี้ยังมีแขนขาที่ขาด เครื่องใน….แล้วก็ฟันตกกระจายอยู่เต็มพื้น ถึงแม้อวัยวะที่ขาดหายไปจะงอกขึ้นมาใหม่ได้ แต่ชิ้นส่วนที่มันหลุดออกไปจากร่างกายกลับไม่หายไปไหน เมื่อต้องต่อสู้ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ ถ้าไม่ระวังก็อาจจะลื่นล้มได้ แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้โซอี้ได้สิ่งที่พอจะเอามาทำเป็นอาวุธได้สองชิ้น นั้นคือกระดูกต้นขาที่ถูกตัดขาดของตัวเองกับกระดูกสันหลังท่อนหนึ่งของปีศาจ
โดยกระดูกต้นขานั้นเอามาใช้เป็นค้อนได้ ส่วนกระดูกสันหลังนั้นเอามาใช้แทนดาบเรียวยาว ขอเพียงไม่ปะทะกับอาวุธเวทมนตร์ตรงๆ อาวุธทั้งสองอันนี้ก็คือว่าใช้คล่องมือทีเดียว
เวลา 400 ปีเพียงพอจะทำให้เธอเชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิด
และตำแหน่งที่เธอชอบโจมตีมากที่สุดยังคงเป็นส่วนแขนของอีกฝ่าย
ความเจ็บปวด บางครั้งก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าบาดแผลจะเล็กหรือใหญ่
“ถ้าเจ้าเหนื่อย ตอนนี้จะพักซักหน่อยก็ได้นะ” โซอี้เหน็บกระดูกสันหลังเข้าไปที่เอว พร้อมกับสะบัดข้อมือที่เริ่มชาเล็กน้อย “เพราะว่าเจ้ายังต้องทรมานข้าอีกนาน ค่อยๆ ทรมานมันถึงจะสนุก”
“….” เป็นครั้งแรกที่ปีศาจไม่ตอบอะไร หน้าอกของมันกระเพื่อมขึ้นลง ดวงตาสีแดงทั้งสองข้างจ้องมองมาที่แม่มดอมนุษย์ บนใบหน้าครึ่งคนครึ่งปีศาจของมันไม่มีความรู้สึกดูถูกเหมือนในตอนแรกอีก
ความสามารถของทั้งสองคนไม่ได้เปลี่ยนไป ความสามารถหลากหลายชนิดของปีศาจระดับสูงยังเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้ ส่วนโซอี้นั้นกว่าจะสร้างบาดแผลให้กับศัตรูได้ทีหนึ่งก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากกว่ามันหลายเท่า ทันทีที่ผิดพลาด เธอก็จะต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน นิ้วมือที่ถูกตัดขาด ท้องถูกผ่าออกกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ บรรยากาศการต่อสู้กลับค่อยๆ เปลี่ยนไปจากเดิม
อีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่โซอี้ก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย “ข้าขอถามหน่อย…เจ้าเป็นคนสร้างที่นี่ขึ้นมางั้นเหรอ?”
น่าจะเป็นเพราะอยากจะพักจริงๆ คาบราดาบีจึงค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “ที่นี่คือกระแสจิตสำนึก เป็นการรวมกันระหว่างพลังเวทมนตร์และวิญญาณ ไม่จำเป็นต้องให้ใครสร้างมันขึ้นมา แมลงชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าคงยากจะเข้าไป คนที่มีโอกาสได้เข้ามาในกระแสจิตสำนึกเรียกได้ว่า….”
“ข้าเคยเห็นอันที่ใหญ่กว่านี้มาแล้ว มันเป็นเหมือนโลกที่สมบูรณ์” เธอพูดแทรกขึ้นมา “มีคนมีต้นไม้มีท้องฟ้ามีพื้นดิน ไม่เหมือนที่นี่ที่ไม่มีอะไรอยู่เลย”
“อย่ามาล้อเล่นน่ะ นังตัวเมีย!” ปีศาจคำรามขึ้นมา “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการสร้างวัตถุขึ้นมาซักชิ้นในกระแสจิตสำนึกมันต้องใช้พลังเวทมนตร์มากขนาดไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโลกที่สมบูรณ์เลย! มีเพียงแหล่งกำเนิดเวทมนตร์เท่านั้นถึงจะทำแบบนี้ได้!”
“แหล่งกำเนิดเวทมนตร์อีกแล้ว…เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นเพียงแนวคิดที่เลือนรางเหมือนกับดินแดนของพระเจ้า แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ามันอยู่ที่ไหน แต่เจ้ากลับพูดเหมือนว่าเจ้าเคยเห็นมันมาแล้วอย่างนั้น” โซอี้หยิบกระดูกสันหลังขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ
“นี่มันเป็นสิ่งที่บันทึกอยู่ในชิ้นส่วนสืบทอด มีแต่พวกเจ้าเท่านั้นแหละที่ไม่รู้เรื่อง!”
“อย่างนั้นเจ้าอธิบายให้มันละเอียดกว่านี้หน่อยได้ไหม เอาหลักฐานมาทำให้ข้าเชื่อสิ”
“นังตัวเมีย เจ้าคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นรึ?” คาบราดาบีแผดเสียงตะโกนออกมา “ลูกไม้แบบนี้ เจ้าคิดหรือว่าท่านคาบราดาบีผู้นี้จะ….”
ปีศาจยังไม่ทันพูดจบ หอกเล่มหนึ่งพลันแทงเข้าไปที่หัวของมัน
ตัวหอกสีขาวอันนั้นก็คือกระดูกสันหลังที่โซอี้ถือเอาไว้ในมือก่อนหน้านี้
“ในเมื่อไม่อยากพูด อย่างนั้นเวลาพักก็หมดลงเพียงเท่านี้แหละ เมื่อไรอยากพูด ตอนนั้นก็ค่อยพักแล้วกัน” เธอหยิบค้อนกระดูกขึ้นมาแกว่งพร้อมเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
….
หลายสิบวันหลังจากนั้น
“ทำไม” คาบราบาดีดูไม่ฮึกเหิมเหมือนอย่างในตอนแรกแล้ว มันเอาดาบเวทมนตร์มากันเอาไว้ตรงหน้าอก พร้อมกับมองดูโซอี้เหมือนว่ากำลังมองดูสัตว์ประหลาดอยู่ “หรือว่าเจ้าไม่กลัวความเจ็บปวด!”
“ถ้าจะบอกว่าสงครามเมื่อ 400 ปีก่อนทำให้ข้าเคยชินกับความรู้สึกแบบนี้ เช่นนั้นการจมดิ่งอยู่ในช่วงเวลา 400 ปีหลังจากนั้นก็ได้ทำให้ข้าลืมมันไปแล้ว….ถ้าวันหนึ่งเจ้าได้เจอสิ่งๆ หนึ่งที่มันหายไปจากตัวเจ้าเป็นเวลานานแสนนาน เจ้ายังจะกลัวมันอีกเหรอ?” โซอี้ยิ้มมุมปากขึ้นมา ถึงตอนนี้ เธอไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว “ความจริงข้าต้องขอบใจเจ้าที่ช่วยมอบความรู้สึกที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงไม่สามารถมอบให้ข้าได้”
“เจ้ามัน…บ้าไปแล้ว!”
“ถ้าเทียบกับเวลาหลายร้อยปีแล้ว นี่มันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น…เอาล่ะ ตอนนี้ถึงตาเจ้ามาทำให้ข้ามีความสุขบ้างแล้วล่ะ”
ในตอนที่โซอี้เอานิ้วมือทั้งห้าแทงเข้าไปในหน้าอกของปีศาจอีกครั้ง ภาพตรงหน้าเธอพลันบิดเบี้ยวขึ้นมา ทั้งเลือดเนื้อ เครื่องในกับกระดูกต่างก็หายไปหมด ความมึนงงอย่างรุนแรงเข้ามาปกคลุมเธอเอาไว้
ในตอนที่เธอลืมตาขึ้นมา ภาพเพดานโค้งภายในโถงใหญ่ของเมืองชายแดนที่สามก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเธออีกครั้ง