พระชายาฉีนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วฉุกคิดได้โดยพลัน จริงด้วยสิ อวี้เอ๋อร์กับเซวียนเอ๋อร์เกิดปีเดียวกันนี่ แต่แค่หลายปีมานี้ อวี้เอ๋อร์ถูกคนในจวนตามใจ จนมีนิสัยเหมือนเด็กน้อยมาตลอด เพราะเหตุนี้ตนเองถึงรู้สึกว่า เขาอ่อนวัยกว่าเซวียนเอ๋อร์มาก
คิดมาถึงตรงนี้ ก็ยิ้มเล็กน้อย และพูดว่า “หากเจ้าไม่พูดขึ้นมา แม่คงยังลืมแล้วจริงๆ ว่าอวี้เอ๋อร์กับเจ้าอายุเท่ากัน ถึงแม้เป็นจะเช่นนั้น อวี้เอ๋อร์ก็คงไม่เหมาะที่จะไปทำงานด้านบริหารจัดการอยู่ดี ให้เขาศึกษาด้านวิชาการต่อไปเถิด หากเสร็จธุระงานแต่งของลุงเจ้าแล้ว แม่ก็จะสามารถดูแลเขาได้มากขึ้น”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัว “ท่าทีเมื่อครู่กับพฤติกรรมของอวี้เอ๋อร์หลายวันมานี้ มิได้เป็นเพราะความเอาแต่ใจของตัวเองหรอกนะขอรับ แต่เป็นเพราะถูกยุยงต่างหาก ถ้าให้เขาไปศึกษาด้านวิชาการอีก ลูกเกรงว่าเด็กคนนั้นจะหูเบา เชื่อคำยุแยงตะแคงรั่วของคนอื่นอีก ยิ่งทำให้จิตใจขุ่นเคืองขึ้น เช่นนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกเราจะเป็นดั่งน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้อีกต่อไป นั่นเป็นสิ่งที่ข้าไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นเลย เหตุผลที่ให้เขาไปทำด้านบริหารจัดการที่โรงงานของโยวเอ๋อร์ ก็เป็นเพราะ ข้อแรก เพื่อให้เขาอยู่ห่างจากคนพวกนั้น และข้อสอง เพื่อฝึกความสามารถให้เขารู้จักรับผิดชอบเฉพาะด้าน ภายภาคหน้าจะสามารถช่วยเหลือข้าได้”
พระชายาฉี เป็นผู้ที่มีความคิดอ่านทะลุปรุโปร่ง พอคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนสิ้นสุดลง นางก็เข้าใจนัยยะสำคัญที่อยู่ในนั้นทันที จึงไม่ได้ทักท้วงอีก และเอ่ยปากถามอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋องคิดเห็นอย่างไรกับการตัดสินใจของเซวียนเอ๋อร์เจ้าคะ”
ไม่ว่าอย่างไร หวงฝู่อวี้ก็ยังเป็นบุตรชายคนรองแห่งจวนอ๋อง ถึงแม้จะเป็นบุตรชายของพระชายารอง ก็ยังมีศักดิ์สูงกว่าพวกบุตรของข้าราชการธรรมดาอยู่ดี สถานะวางไว้เช่นนั้น หากเขาไปทำงานบริหารจัดการ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่พระชายารองเพิ่งตายไป ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าจวนอ๋องกำลังผลักไสไล่ส่งเขาเพราะความขัดเคืองใจ อ๋องฉีจึงรู้สึกลังเลเล็กน้อย
คำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนทำให้เขารู้สึกตัว “เสด็จพ่อ ลูกรู้ว่าท่านเป็นกังวล แต่ท่านคิดว่าระหว่างชื่อเสียง กับอนาคตของอวี้เอ๋อร์ สิ่งใดสำคัญยิ่งกว่ากันขอรับ”
อ๋องฉีลบล้างความกังวลโดยพลัน พยักหน้าเห็นด้วย “ก็ได้ เช่นนั้นก็ว่าตามเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนมีปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า “เสด็จพ่อ ท่านวางใจเถิด อวี้เอ๋อร์ไปทำงานด้านบริหารจัดการไม่นานหรอกขอรับ รอให้จิตใจของเขาสงบลงแล้ว ลูกจะแนะนำให้แก่เสด็จลุง เพื่อเขาจะได้ติดตามเรียนรู้งานดูแลด้านการปกครองข้างกายข้า”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อ๋องฉีก็สบายใจยิ่งขึ้น พยักหน้าพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เช่นนั้นแล้ว ต่อไปนี้ก็ต้องขอรบกวนแม่นางเมิ่งแล้วล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านอ๋องอย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ เป็นเรื่องที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว”
หวงฝู่อวี้เก็บเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จ จึงสั่งให้คนมาเช็ดผมของเขาให้แห้ง มัดผมเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตรงมาที่ห้องของพระชายาฉี ทันทีที่เข้าไปในห้อง เขาก็คุกเข่าลงพื้นขออภัยโทษ “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ได้โปรดให้อภัยในสิ่งที่ลูกได้กระทำผิดไปด้วยขอรับ”
อ๋องฉีไม่ได้พูดอย่างใด พระชายายิ้มกวักมือเรียก หวงฝู่อวี้ลุกขึ้นไปตรงหน้าแม่ของเขา พระชายากำชับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าก็โตแล้ว ควรมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรสักอย่างบ้างแล้ว ตอนนี้ได้ไปฝึกที่โรงงานของแม่นางเมิ่งก็ดีเหมือนกัน หลังจากนั้นผ่านไป เจ้ากับพี่ชายใหญ่ของเจ้าจะได้ช่วยเหลือค้ำจุนจวนอ๋องด้วยกัน เสด็จพ่อของเจ้ากับแม่ก็รู้สึกยินดี ไร้ซึ่งกังวลแล้ว”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “เสด็จแม่ ลูกอวี้รู้เท่าไม่ถึงการ ลืมที่พี่ใหญ่เคยบอกกับลูกไปเสียได้ว่า ต้องช่วยกันค้ำจุนจวนอ๋องต่อไป นับจากนี้ลูกจะไม่กระทำผิดอีกแล้วขอรับ ลูกรู้ว่า เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และพี่ใหญ่หวังดีต่อลูกจริงๆ และไม่ได้จะทำร้ายลูก”
พระชายาพยักหน้าอย่างปลื้มใจ “เด็กโง่เอ๋ย รู้ก็ดีแล้ว เจ้าต้องจำไว้ตลอดว่า ไม่ว่าเวลาใด พวกเราล้วนเป็นคนที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด”
หวงฝู่อวี้พยักหน้าหงึกๆ “คำสั่งสอนของเสด็จแม่ ลูกจดจำไว้แล้ว ต่อไปจะไม่ลืมอย่างเด็ดขาดขอรับ วันนี้ลูกจะตามแม่นางเมิ่งไปที่บ้านของนาง ได้ค่าแรงมาเมื่อใด ลูกจะซื้อของกลับมาเพื่อตอบแทนบุญคุณของเสด็จพ่อและเสด็จแม่อย่างแน่นอนขอรับ”
เมื่อได้ยินว่าเขายังต้องไปอาศัยที่บ้านของเมิ่งเชี่ยนโยวด้วย พระชายาฉีก็ตกใจ มองไปยังหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้นาง พระชายาฉีเกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาเล็กน้อย อ๋องฉีไม่ได้พูดอย่างใด
หลังจากหวงฝู่อวี้พูดจบ ถึงสังเกตได้ว่าพระชายาฉีนั่งอยู่บนเตียงโดยที่มีผ้าผืนบางคลุมไว้ตลอด จึงซักถามด้วยความแปลกใจว่า “ร่างกายของเสด็จแม่ไม่สบายอีกแล้วหรือขอรับ”
พระชายาฉีไม่ปรารถนาให้เขารู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในจวน จึงจงใจปิดบังไว้ และพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้แม่เหนื่อยเหลือเกิน แม่รู้สึกไม่ค่อยสบายกายจริงๆ แต่พักแค่ไม่กี่วันก็หายดีแล้ว อวี้เอ๋อร์ไม่ต้องเป็นกังวลหรอก”
หลายปีมานั้น พระชายาฉีมีอาการป่วยเกือบทุกวัน ต้องนอนบนเตียงตลอด ดังนั้นหวงฝู่อวี้จึงไม่ได้คิดอะไรมาก พยักหน้าตอบรับ และกำชับนาง “เสด็จแม่ต้องดูแลร่างกายของท่านให้มากๆ นะขอรับ”
พระชายาฉีพยักหน้ายิ้มให้
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาอ๋องฉีและพระชายาฉี ออกมาจากห้องพร้อมกันกับหวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้ แล้วเดินไปยังนอกจวน
เมื่อเห็นพวกเขาไปกันหมดแล้ว พระชายาฉีถึงจะถอดถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย อยากจะพักสักหน่อย เชิญท่านตามสะดวกเถิดเจ้าค่ะ”
อ๋องฉีพยักหน้า ลุกขึ้น และไปยังห้องหนังสือ
เมื่อทั้งสามคนออกมานอกจวน เฮ่ออีก็ได้เตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อวี้ขึ้นนั่งบนรถม้าอย่างคล่องแคล่ว หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “วันนี้ข้าไม่ส่งเจ้ากลับแล้วละกัน เดินทางระวังด้วยล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายิ้มให้ และกลับขึ้นมาบนรถม้าของตน กัวเฟยบังคับรถม้าอยู่ด้านหน้า ส่วนเฮ่ออีบังคับรถม้าอยู่ด้านหลัง และกลับมาถึงบ้านที่อยู่เมืองตอนใต้
ในตอนแรกก็พิจารณาว่า จะมีคนไปๆ มาๆ ที่บ้านเยอะ เรือนพักอาศัยที่เมิ่งเชี่ยนโยวซื้อมานี้จึงมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับพระชายาฉีแล้ว ยังห่างชั้นกันมาก ครั้นหวงฝู่อวี้ลงจากรถม้า เห็นบ้านพักที่ดูซอมซ่อ ก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้าตามมา เห็นท่าทางของเขาเช่นนั้น จึงพูดกับเขาอย่างทีเล่นทีจริงว่า “เห็นสีหน้าของคุณชายรอง ก็รู้แล้วว่า ท่านรังเกียจที่จวนข้าดูไม่ดี อยากกลับจวนอ๋องเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
เท้าที่ไร้ซึ่งปราณีของหวงฝู่อี้เซวียนถีบเข้าอย่างแรงเมื่อครู่ ทำเอาตอนนี้หวงฝู่อวี้นึกขึ้นแล้ว ก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งกาย ไหนเลยจะกล้าพูดกลับจวนได้ จึงรีบส่ายหน้า พูดอย่างปากไม่ตรงกับใจว่า “ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจเลย นี่ก็ดีมากแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขาอีก กำชับกับชิงหลวนว่า “จัดแจงเรือนที่ใกล้ข้ามากที่สุดให้คุณชายรองอาศัย”
ชิงหลวนรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าจวน
หวงฝู่อวี้เดินอุ้ยอ้ายตามเข้าไปอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ โดยมีชิงหลวนนำทางไปยังเรือนที่ใกล้กับห้องของเมิ่งเชี่ยนโยวที่สุด
เฮ่ออีตามกัวเฟยที่ลากรถม้าจากข้างประตู ไปยังด้านหลังเรือน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าห้องตัวเอง หยิบยากระตุ้นเลือดลมไหลเวียนที่ตนเองผสมและจัดเตรียมไว้เรียบร้อย มายังเรือนของหวงฝู่อวี้ มอบให้กับเฮ่ออี “รีบนำยาขวดนี้ไปทาให้นายของพวกเจ้า จำไว้ว่า ขณะที่นวด ต้องออกแรงคลึงสักเล็กน้อย เพื่อให้รอยช้ำบนตัวเขาคลายออก”
ไม่ต้องพูดไปถึงว่า ตอนนี้หวงฝู่อวี้เป็นเพียงผู้ขออาศัย แค่เพียงนึกถึงตอนแรกที่หวงฝู่อวี้นำพวกเขาไปลอบสังหารเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวก็อาศัยจังหวะที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัวหยุดหวงฝู่อวี้ไว้ได้ในเพลงเดียว แล้วกลับกลายว่า ยังต้องมาให้ความช่วยเหลือเรื่องของพวกเขาอีก ทำให้เฮ่ออีนับถือนางยิ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก็รับขวดยามาอย่างเคารพ ถือไว้บนมือ และหันตัวเดินเข้าไปห้องข้างใน
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นจากด้านหลังของเขา “นี่เป็นยาที่ข้าผสมเองกับมือ ต่อให้เป็นร้านยาที่ดีที่สุดก็ไม่มีขาย ใช้อย่างระมัดระวังหน่อยล่ะ ส่วนที่เหลือก็มอบให้เจ้าเลย”
เฮ่ออีดีใจยกใหญ่ หยุดก้าวเดิน และหันมาขอบคุณ “ขอบพระคุณแม่นางเมิ่งมากขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือห้าม “รีบไปเถิด ดูจากนิสัยคุณชายรองของพวกเจ้า จนถึงตอนนี้ยังสามารถอดทนไม่ร้องโอดครวญได้ ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว”
ราวกับอยากจะยืนยันคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวว่าเป็นจริงอย่างไรอย่างนั้น ถ้อยคำยังไม่ทันขาด เสียงร้องตะโกนที่ออกจะเกินกว่าเหตุของหวงฝู่อวี้ก็ดังออกมาจากในห้อง “โอ๊ย ปวดจะตายอยู่แล้ว พี่…พี่ใหญ่ลงมือกับข้าหนักเสียจริง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา
เฮ่ออีหน้าแดงก่ำ หยิบขวดยาเดินเข้าไปในห้อง กล่าวกับหวงฝู่อวี้ด้วยท่าทีนับถือ “คุณชายรองขอรับ แม่นางเมิ่งมอบยาดีมาให้ บ่าวจะทาให้นะขอรับ แล้วพรุ่งนี้ท่านจะหายดี”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า ถอดเสื้อผ้าออกให้เฮ่ออีทายาอย่างว่าง่าย รอจนเฮ่ออีแต้มยาบนกายของเขาที่มีรอยฟกช้ำเขียวเสร็จ จึงพูดอย่างดีใจว่า “ยาที่แม่นางเมิ่งมอบให้นี้ ดีจริงๆ ไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่า…” พูดยังไม่จบ เฮ่ออีก็เริ่มลงมือนวดตามรอยเขียวช้ำนั้น หวงฝู่อวี้ตะโกนร้องโวยวายขึ้นทันที ราวกับเสียงของหมูที่กำลังจะถูกฆ่าอย่างไรอย่างนั้น “โอยยย เจ็บๆๆ เฮ่ออีหยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าอยากจะให้ข้าเจ็บจนตายเลยหรือนี่!”
คนในจวนต่างตกใจกับเสียงร้องอันน่าเวทนาของเขา โดยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงทยอยกันมาตามเสียงที่ดังมาจากหน้าเรือนของเขา แล้วเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ภายในเรือน ทว่า เสียงร้องนั้นดังมาจากห้องด้านใน จึงถามเป็นเสียงเดียวกันด้วยความตกใจว่า “นายหญิง เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบพวกนาง แต่กำชับว่า “ไม่มีอะไรหรอก พวกเจ้าไปทำงานของพวกเจ้าเถอะ”
สาวใช้และแม่ครัวได้ยินดังนั้น ก็เหลือบมองภายในห้องอย่างฉงนสงสัยแวบหนึ่ง แล้วแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง
เสียงร้องอันน่าเวทนาของหวงฝู่อวี้ดังไม่หยุด เฮ่ออีทำเป็นไม่ได้ยิน และออกแรงนวดต่อไป เท้าของหวงฝู่อี้เซวียนที่ถีบใส่นั้นช่างหนักหนาสาหัสยิ่ง ทั้งกายเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำ เสียงร้องโอดครวญดังต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสิบห้านาทีถึงจะหยุด ความเจ็บปวดหวงฝู่อวี้ค่อยๆ บรรเทาลง เขานอนคว่ำอยู่บนเตียง พูดอย่างเคียดแค้นว่า “เฮ่ออี เจ้าคอยดูเถิด รอดูว่าพรุ่งนี้ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”
เฮ่ออีรีบอธิบายอย่างนอบน้อมว่า “คุณชายรองขอรับ รอยเขียวบนกายของท่านฟกช้ำอย่างหนัก วันนี้จำเป็นต้องให้มันคลายตัว มิฉะนั้นเกรงว่า พรุ่งนี้แม้แต่ท่านจะลุกจากเตียงนอนก็ยังทำไม่ได้ขอรับ”
“ลุกออกจากเตียงไม่ได้ ข้าก็นอนอยู่สักวันสองวันก่อน จนกว่ามันจะค่อยๆ คลายตัวก็ได้ แล้วจำเป็นให้เจ้าต้องออกแรงเช่นนี้เชียวหรือ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะปกติข้าเข้มงวดกับเจ้ามากเกินไป วันนี้เจ้าจึงฉวยโอกาสแก้แค้นข้าสินะ”
เฮ่ออีรีบตอบอย่างกระวนกระวาย “บ่าวมิกล้าขอรับ เป็นเพราะพรุ่งนี้ท่านต้องติดตามแม่นางเมิ่งไปโรงงานแล้วจริงๆ ไม่มีเวลามานอนเอนกายอยู่บนเตียงหรอกขอรับ”
หวงฝู่อี้ถึงฉุกคิดได้ว่า พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานที่โรงงานอีก เสื้อผ้าก็ยังไม่ใส่ให้เรียบร้อย กลับมาร้องครวญคราง นอนคว่ำอยู่บนเตียง จึงพูดอย่างตัดพ้อว่า “ข้าไม่อยากไป!”
ถ้อยคำของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป เสียงปนขบขันของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังออกมาจากในเรือน “คุณชายรอง ท่านอยากกลับคำพูดหรือเจ้าคะ อย่าลืมว่าตอนนี้ท่านอยู่ในจวนของข้า หากท่านไม่เชื่อฟังล่ะก็ ข้ามีวิธีจัดการท่านในแบบของข้านะเจ้าคะ”
เมื่อนึกถึงตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ใช้วิธีสารพัดจัดการกับคนอื่นในระหว่างที่เดินทางอยู่ที่อำเภอชิงเหอของเมืองหลวงแล้ว หวงฝู่อวี้ก็กลัวจนตัวสั่นระริก จึงรีบตอบอย่างลนลานว่า “ไม่ๆๆ ข้าแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง วันพรุ่งนี้ก็ตามเจ้าไปนั่นล่ะ” พูดจบ ก็ดันตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย และเดินออกมา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยืนอยู่ในเรือน จึงพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าเหนื่อยแล้วสินะ เข้ามานั่งในห้องสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบหัวเราะอยู่ในใจ แต่เดินเข้าไปในห้องโดยไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทีอย่างไร พร้อมสั่งชิงหลวนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่า “ไปยกน้ำชามาให้คุณชายรอง”
ชิงหลวนรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเฮ่ออีอีกว่า “ในจวนของข้า นอกจากงานซักเสื้อผ้าและทำครัวแค่สองอย่างนี้ที่มีสาวใช้รับผิดชอบ ส่วนที่เหลือ ต้องจัดการด้วยตัวเอง และต่อจากนี้ไป หน้าที่รินน้ำชาให้คุณชายรองของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ต้องมาทำแล้ว”
เฮ่ออีรับคำ
“ไปเถอะ ไปเดินรอบๆ จวนให้คุ้นชินเสียบ้าง ข้ามีเรื่องที่ต้องพูดกับคุณชายรอง”
เฮ่ออีเดินถอยออกไปอย่างนอบน้อม
ชิงหลวนยกน้ำชาเข้ามา วางแก้วไว้ตรงหน้าคนละใบ แล้วถอยออกไปเฝ้าที่หน้าประตูทั้งสองด้านกับจูหลี
เมิ่งเชี่ยนโยวยกน้ำชาขึ้น เปิดฝาครอบแก้วออก เป่าลมอย่างเบาๆ และดื่มสองสามคำอย่างระวัง
หวงฝู่อวี้ไม่รู้ว่านางจะพูดเรื่องอะไร ในใจรู้สึกกระวนกระวายจนไม่กล้าแตะถ้วยชาของตน
เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยชาลง หันศีรษะมองหวงฝู่อวี้ ถามว่า “คุณชายรองคิดว่า พระชายาปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“เสด็จแม่ดีต่อข้ามาก หลายปีมานี้ไม่เคยปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่เป็นธรรม” หวงฝู่อวี้รีบตอบ
“เช่นนั้น เรื่องที่เสด็จแม่ของท่านตาย คุณชายรองได้โยนความโกรธแค้นให้พระชายาหรือไม่เจ้าคะ”
พูดถึงพระชายารอง สีหน้าของหวงฝู่อวี้หม่นหมองลง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะตอบขึ้นว่า “การตายของเสด็จแม่ข้า มาจากผลกรรมที่เสด็จแม่ก่อไว้ หาโทษผู้ใดได้ไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น คุณชายรองก็คงทราบแล้วว่าวันนี้พระชายาได้รับบาดเจ็บ มิใช่เป็นเพราะร่างกายไม่สบายดังที่นางกล่าว?”
หวงฝู่อวี้มองนางด้วยความตื่นตระหนก และกล่าวว่า “ข้าไม่ทราบ พระชายาจะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขาอยู่นาน จนหวงฝู่อวี้ทนไม่ได้ราวกับจะกระโดดตัวขึ้น จึงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “นั่นก็เป็นเพราะท่านป้าที่แสนดีของท่าน ต้องการโทษว่า ที่แม่ของท่านตายเป็นเพราะพระชายา จึงสั่งคนไปบีบบังคับให้นางต้องคุกเข่าลงบนพื้นที่ทำด้วยอิฐหินเขียว”
หวงฝู่อวี้ลุกขึ้นยืนอย่างตกตะลึง เมิ่งเชี่ยนโยวกลับคาดการณ์ได้แต่แรกว่าเขาจะมีท่าทีเช่นนี้ จึงไม่ได้สนใจเขา และพูดต่อว่า “ร่างกายของพระชายาอ่อนแออย่างมาก ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะท่านอ๋องไปถึงได้ทันเวลา เกรงว่า วันนี้พระชายาคงจะได้นอนป่วยอยู่บนเตียงจริงๆ”
“ข้าต้องกลับไปพบเสด็จแม่!” พูดแล้ว หวงฝู่อวี้ก็ยกขาขึ้นเพื่อจะวิ่งออกไปข้างนอก
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นต่อไป “คุณชายรองไม่จำเป็นต้องกลับไปหรอกเจ้าค่ะ ข้าได้ตรวจทานให้พระชายาก่อนแล้ว เคราะห์ดีที่บาดเจ็บแค่ภายนอก พักผ่อนไม่กี่วันก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้ชะงักเท้าลง หันศีรษะกลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้ามองเขา พูดว่า “ที่ข้าบอกเรื่องพวกนี้กับท่าน ก็เพราะหลังจากนี้ ข้าไม่อยากให้คุณชายรองถูกหลอกใช้ และกลายเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของผู้ไม่หวังดีต่อจวนอ๋องเจ้าค่ะ”