หวงฝู่อี้เซวียนถีบขาออกไปอย่างไร้ความปราณี แม้แต่เฮ่ออียังเกือบจะร้องตกใจ แต่หวงฝู่อวี้กลับไม่ร้องแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้ลำตัวที่ห้อยกลับหัวของตนแกว่งไปมา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองร่างที่แกว่งไปมาของเขา หัวเราะด้วยสีหน้านิ่งพูดขึ้นว่า “หลายปีมานี้ ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าหัวรั้นเช่นนี้ สมควรแล้วที่เป็นลูกผู้ชายของตระกูลหวงฝู่” พูดจบก็กระทืบไปอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่อวี้เพิ่งทานอิ่ม เมื่อถูกเขาทรมานแบบนี้ อาหารในกระเพาะก็ตีขึ้จนอาเจียนออกมา และเนื่องจากว่าเขาถูกแขวนกลับหัว อาหารที่ยังไม่ย่อยเหล่านี้จึงไหลไปตามปากและจมูกจนถึงหน้าผากของเขา ก่อนจะไหลกลับลงมาอีก

 

 

เฮ่ออีเห็นภาพนี้แล้วก็อดรู้สึกคลื่นไส้ไม่ได้ หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่แม้แต่กระพริบตา หัวเราะมองร่างหวงฝู่อวี้ที่ยังแกว่งไปมาอย่างไร้ทิศทาง

 

 

หน้าของหวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยเศษอาเจียน ลืมตาไม่ได้ จึงมองไม่เห็นสีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน แต่เฮ่ออีเห็นชัดเต็มสองตา ขนลุกซู่ ขอร้องหวงฝู่อวี้ “คุณชายรอง ยอมรับผิดกับซื่อจื่อเถอะขอรับ”

 

 

ตั้งแต่เล็กจนโต หวงฝู่อวี้เป็นลูกหัวแก้วหัวแหวน นอกจากครั้งนั้นที่ทำผิดต่อเมิ่งเชี่ยนโยว จนถูกขังไว้ในห้องเก็บฟืน อดข้าวอดอาหารสามวันสามคืน ยังจะเคยรับโทษหนักอะไรอีก จริงๆ ในใจเขารับไม่ไหวตั้งนานแล้ว แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของสหายสองสามคนนั้น ความแค้นเคืองก็คุกรุ่น กัดฟันแน่นไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยังคงกระทืบต่อไป พลางยิ้มด้วยสีหน้าเช่นเดิม ร่างของหวงฝู่อวี้แกว่งไปมาในอากาศราวกับชิงช้า ตกใจจนทำให้เฮ่ออี พลุบ ลงไปคุกเข่า ขอร้องแทนหวงฝู่อวี้ “ซื่อจื่อ คุณชายรองสำนึกผิดแล้ว ท่านอภัยให้เขาเถอะขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้เข้าห้ามเช่นกัน ยืนมองทุกสิ่งอยู่ข้างๆ อย่างสงบ

 

 

ในที่สุดหวงฝู่อวี้ก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดัง “ซื่อจื่อ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” เสียงร้องโหยหวนดังไปทั่วทั้งจวนอ๋องฉี

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกระทืบไปอีกครั้ง ถามอย่างเยือกเย็น “เรียกข้าว่าอะไรนะ”

 

 

“พี่ พี่ ข้าสำนึกผิดแล้ว อภัยให้ข้าเถอะ” เมื่อคำเว้าวอนคำแรกถูกเปล่งออกมา หวงฝู่อวี้ก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เริ่มร้องขอความเมตตาขึ้นอีกครั้ง

 

 

“เจ้าทำอะไรผิด” หวงฝู่อี้เซวียนหยุดกระทืบแล้วถามขึ้น

 

 

“ข้าไม่ควรไปหอนางโลม ไม่ควรไม่เรียกพี่ว่าซื่อจื่อ” หวงฝู่อวี้ตอบกลับทันที

 

 

“แล้วอะไรอีก” หวงฝู่อี้ถามต่อ

 

 

หวงฝู่อวี้โพล่งพูด “ข้าไม่ควรเชื่อคำยุยงของพวกเขา ให้ข้าโกรธเคืองพี่”

 

 

พูดจบ ทั้งลานในจวนเงียบสงัด เฮ่ออีพูดไม่ออก เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว หวงฝู่อวี้เซวียนยิ้มใส่อย่างเย็นชา หวงฝู่อวี้สะดุ้งเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ในใจยิ่งรู้สึกกลัว ร้องเสียงดัง “พี่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”

 

 

“พวกเจ้าไปทำอะไรที่หอนางโลม”

 

 

หวงฝู่อวี้โบกมือกลับหัว “พี่ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย จริงๆ นะ ข้าไม่โกหกพี่ พี่ส่งคนไปสืบที่หอนางโลมดูก็ได้ ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ แค่ไปฟังเพลง และนอนที่นั่นสองวัน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร หวงฝู่อวี้ยิ่งรู้สึกกลัว รีบพูดขึ้นว่า “พี่ พี่ปล่อยข้าเถอะ จากนี้ไป พี่จะให้ข้าทำอะไร ข้าจะทำ จะไม่ทำให้บ้านเราเสื่อมเสียชื่อเสียงอีก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่พูดอะไร หวงฝู่อวี้ทนไม่ไหวแล้ว ร้องสุดเสียง “พี่ พี่ ขอร้องล่ะ ปล่อยข้าเถอะ ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว”

 

 

เสียงร้องโหยหวนนั้นทำให้แม้แต่คนที่เดินผ่านมายังต้องเร่งฝีเท้าเดินไป กลัวว่าความเดือดของหวงฝู่อี้เซวียนจะมาพาลมาโดนตนเอง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยให้เขาเว้าวอนต่อไป เมื่อเห็นเขาพูดซ้ำไปซ้ำมา จึงให้เฮ่ออีปล่อยเขาลงมา

 

 

เฮ่ออีรีบลุกขึ้น เดินไปข้างหน้าปล่อยหวงฝู่อวี้ลงมา พยุงเขานั่งลงบนพื้น

 

 

หวงฝู่อวี้หายใจหอบ

 

 

เห็นสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ของเขา หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว สั่งเฮ่ออี “ไปเอาน้ำร้อนมาให้คุณชายรองเช็ดล้างเสียหน่อย”

 

 

เฮ่ออีขานรับ สั่งคนใช้ไปนำอ่างน้ำเข้าไปในห้องหวงฝู่อวี้ เติมน้ำร้อนจนเต็ม ลองอุณหภูมิน้ำ จึงให้หวงฝู่อวี้เช็ดล้าง

 

 

หวงฝู่อวี้ยังคงไม่ได้สติ นั่งอยู่กับพื้น เฮ่ออีเดินเข้าไปพยุงเขาลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้าน

 

 

เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “ให้เวลาหนึ่งก้านธูป”

 

 

เฮ่ออีเข้าใจความหมายของเขา เร่งมือให้เร็วขึ้น หลังจากประคองหวงผู่อวี้เข้าไปในบ้าน ก็รีบสั่งให้คนใช้ช่วยเขาเช็ดล้าง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวยืนรออยู่ที่ลานในจวน

 

 

ผ่านไปชั่วครู่ หวงฝู่อวี้ออกมาจากอ่างอาบน้ำ สวมใส่เสื้อเรียบร้อย ปล่อยผมสยาย พูดอย่างนอบน้อม “พี่ใหญ่ แม่นางเมิ่ง ข้าเสร็จแล้ว พวกท่านโปรดเข้ามาเถอะ”

 

 

ทั้งสองรอจนคนใช้ยกอ่างอาบน้ำออกไป ทำความสะอาดบ้านเสร็จแล้วจึงเข้าไป

 

 

หวงฝู่อวี้ยืนรอในบ้าน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง พูดขึ้น “บอกเรื่องที่เกิดขึ้นทุกเรื่องในช่วงนี้ให้ข้าฟังทั้งหมดมา หากปิดบัง เจ้ารู้ว่าจะเจออะไร”

 

 

หวงฝู่อวี้ยังจะกล้าปิดบังได้อย่างไร เล่าเรื่องทั้งหมดว่า สหายสนิทสองสามคนชักชวนตนไปล่าสัตว์ พอดีกับที่ตัวเองรู้สึกเบื่อ อ๋องฉี พระชายาฉี และหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่อยู่พอดี ไม่มีคนห้ามปราม จึงออกไปพร้อมพวกเขา วันแรกไปล่าสัตว์มาจริงๆ หลังจากฟ้ามืดก็กลับเข้าเมือง อันที่จริงเขาจะกลับบ้านทันที แต่พวกเขาชักชวนให้ไปหอนางโลม จริงๆ เขาไม่อยากไป แต่สหายท่านหนึ่งพูดขึ้นว่า ‘เจ้าไม่มีแม่แล้ว แล้วยังเป็นแค่ลูกสนม แม้เจ้าจะไม่กลับบ้านก็คงไม่มีใครตามหาเจ้าหรอก’ คำพูดนี้แทงใจเขาเหลือเกิน ฉู่เหวินเจี๋ยกำลังมีงานสมรส แม้แต่บ่าวหญิงในจวนยังถูกส่งไปช่วยงาน แต่เขากลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย ทำเหมือนเขาเป็นคนนอก เขาเกิดหัวร้อนขึ้นมา จึงตามพวกเขาไปหอนางโลม จริงๆ แล้วในใจหวังว่าอ๋องฉีหรือไม่ก็หวงฝู่อวี้เซวียนจะพบว่าเขาไม่อยู่ ส่งคนมาหาเขา แต่สามวันผ่านไป แม้แต่จดหมายสักฉบับก็ไม่มี ยิ่งไปกว่านั้นสหายสองสามท่านนั้นยังคอยกรอกหูว่า เขาใสซื่อเกินไป มีลูกพระชายาคนไหนจะเห็นลูกสนมเป็นพี่น้องแท้ๆ แค่พูดให้ดูดีไปเช่นนั้น ในอนาคตต้องมีเรื่องเดือดร้อนเขาแน่ๆ และยังบอกเขาอีกว่า ท่านมหาเสนาบดีเป็นพระอัยกาที่สนิทชิดเชื้อของเขา ต่อไปจะเป็นที่พึ่งที่เดียวของเขา บอกให้เขาเข้าหาท่านบ่อยๆ เขาเองก็รู้สึกว่าไม่มีใครในบ้านใส่ใจเขาเลย จึงรู้สึกโกรธเคือง พอกลับถึงจวนจึงไม่เรียกหวงฝู่อี้เซวียนว่าพี่ แต่เรียกว่าซื่อจื่อแทน

 

 

เมื่อฟังเขาพูดจบ เหมือนมีอะไรแล่นผ่านหัว หวงฝู่อี้เซวียนถามขึ้นว่า “สหายเหล่านั้นเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าหรือ”

 

 

หวงฝู่อวี้พยักหน้า

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งเขาว่า “จากนี้ไป ห้ามไปมาหาสู่กับพวกเขาอีก”

 

 

แม้เขาไม่พูด หวงฝู่อวี้ก็ไม่กล้าไปมาหาสู่กับพวกนั้นอีก เขามิได้เขลา ถูกหวงฝู่อี้เซวียนลงมือไปหนึ่งยกก็ยิ่งได้สติ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจงใจยุแหย่ความสัมพันธ์ของเขากับหวงฝู่อี้เซวียน ต้องมีเจตนาไม่ดีเป็นแน่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาก้มหน้าไม่พูด ยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “คุณชายรองไม่ไปกั๋วจื่อเจียนแล้วหรือ”

 

 

หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า “พี่ไม่ไป ข้าก็ไม่อยากไปแล้ว”

 

 

“งั้นดีเลย โรงงานของข้ายังขาดคนดูแลอยู่หนึ่งคน คุณชายรองไปช่วยเถอะนะ จะให้ค่าแรงเดือนละสิบสองเหรียญ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดพลางยิ้ม

 

 

สิบสองเหรียญยังไม่พอให้เขาซื้อขนมขบเคี้ยวเลย หวงฝู่อวี้กำลังจะเอ่ยปากคัดค้าน เงยหน้าเห็นสายตาหวงฝู่อี้เซวียนจ้องเขาถมึงทึง ก็กลืนคำพูดที่กำลังจะพูดลงไป เปลี่ยนเป็นถามอย่างกล้าได้กล้าเสียว่า “ให้เยอะกว่านี้ได้ไหม สิบสองเหรียญน้อยเกินไป”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ปฏิเสธ “ผู้ดูแลคนอื่นได้เดือนละหกเหรียญ ข้าเห็นท่านในฐานะเป็นพี่น้องของหวงฝู่อี้เซวียน จึงเพิ่มให้เท่าตัวนะ”

 

 

“แต่ข้าเป็นคุณชายรองของจวนอ๋องนะ ลดตัวไปทำงานเป็นผู้ดูแลโรงงานของเจ้า สมควรได้รับค่าแรงมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “คุณชายรองคิดบัญชีเป็นไหม”

 

 

หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า

 

 

“ทำกุนเชียงเป็นไหม”

 

 

ส่ายหน้าอีก

 

 

“โม่แป้งมันฝรั่งเป็นไหม”

 

 

ส่ายหน้าอย่างเดียว

 

 

“คุณชายรองทำอะไรไม่เป็นเลย สู้คนงานสักคนยังไม่ได้เลย เรื่องอะไรให้ข้าเพิ่มเบี้ยให้หล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับอย่างไม่รีบไม่ร้อน

 

 

หวงฝู่อวี้อึ้งไป พูดขึ้นว่า “เพราะว่าข้าคือคุณชายรองไง ฐานะข้าไปทำงานให้โรงงานของเจ้าจะนำพาเกียรติยศมาให้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้ม ส่ายหน้าถามกลับไปว่า “ฐานะใช้หาเลี้ยงได้หรือ”

 

 

หวงฝู่อวี้นิ่งเงียบ เม้มปากแล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่อข้าทำอะไรไม่เป็นเลย แล้วให้ข้าไปทำไมล่ะ”

 

 

“ก็จะฝึกคุณชายรองให้ช่วยพี่ใหญ่จัดการดูแลงานที่บ้านในอนาคตน่ะสิ คุณชายตกลงแล้วไม่ใช่หรือว่าต่อไปจะร่วมประคับประคองวงศ์ตระกูล จะเป็นไปได้อย่างไรหากจะพึ่งเขาคนเดียว เจ้าก็ควรออกแรงช่วยจวนอ๋องบ้างนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ

 

 

หวงฝู่อวี้มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน ถามอย่างคาดหวังว่า “พี่ใหญ่ แม่นางเมิ่งพูดจริงหรือขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า

 

 

“งั้นข้าไป” หวงฝู่อวี้ตอบอย่างดีใจ แต่แล้วก็หน้าเบ้ อ้อนวอนว่า “พี่ใหญ่ พี่ให้แม่นางเมิ่งเพิ่งค่าแรงหน่อยได้ไหม สักสิบสามเหรียญก็ยังดี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็อมยิ้ม พูดว่า “โยวเอ๋อร์จะเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าในอนาคต นางจะเป็นคนดูแลเรื่องทุกเรื่องในบ้านหลังนี้ แม้แต่พี่ใหญ่เองก็ต้องฟังนาง”

 

 

หวงฝู่อวี้ตกใจเบิ่งตาโต พูดอย่างไม่เชื่อว่า “พี่ใหญ่ พี่ พี่ พี่…” เมื่อเห็นหน้ากึ่งยิ้มกึ่งจริงจังของเมิ่งเชี่ยนโยว คำพูดที่เหลือก็ถูกกลืนกลับไปโดยปริยาย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อว่า “ผู้ดูแลโรงงานของข้า ปกติอาศัยในเรือนข้า ทุกเช้าออกไปทำงานด้วยกัน ตอนเย็นเลิกงานก็กลับพร้อมกัน คุณชายรองก็ไม่ยกเว้น วันนี้ก็กลับไปพร้อมข้าเถอะ”

 

 

หวงฝู่อวี้รีบพูดปฏิเสธขึ้นทันที “ข้าไม่ไป ข้าไม่อยากอาศัยอยู่กับคนเหล่านั้น พวกเขาตัวเหม็นเกินไป”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนึกถึงตอนที่หวงฝู่อวี้ไปลอบฆ่าตนเอง แล้วถูกนางสกัดไว้ได้ สุดท้ายโยนเขาไว้ที่ห้องกัวเฟย วันต่อมานางเห็นสีหน้าน่าสงสารของเขา ในที่สุดก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ พูดขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ให้เจ้าอยู่กับพวกเขาหรอก ข้าจะให้เรือนหนึ่งหลังกับเจ้าเลย แต่จะไม่มีคนคอยรับใช้นะ”

 

 

หวงฝู่อวี้โล่งใจ พูดว่า “ข้าขอคิดดูก่อน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตัดสินใจแทนเขา “ไม่ต้องคิดแล้ว เจ้าไปเก็บสัมภาระ แล้วไปบอกเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ ไปพร้อมโยวเอ๋อร์ตอนนี้เลย”

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่กล้ามีปากเสียง ได้แต่กลับไปเก็บข้าวของตนเอง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น พูดว่า “ข้าและโยวเอ๋อร์ไปห้องเสด็จแม่ เจ้าเก็บเสร็จแล้วก็ตามมา”

 

 

หวงฝู่อวี้ขานรับ

 

 

ทั้งสองเดินออกจากเรือนในจวน เข้าไปที่ห้องของพระชายาฉี

 

 

ถึงแม้เรือนของพระชายาฉีจะอยู่ถัดไปสองสามหลัง อ๋องฉีและพระชายาฉีก็ยังได้ยินเสียงร้องโหยหวนของหวงฝู่อวี้ พระชายาฉีกลัวว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะลงมือหนักเกินไป จนรู้สึกร้อนรน ส่วนอ๋องฉีกลับนั่งนิ่งบนเก้าอี้

 

 

ดีที่เสียงร้องดังขึ้นไม่นานก็หยุดลง พระชายาฉีจึงค่อยโล่งใจ อดไม่ได้ที่จะสั่งให้หลิงหลงไปดูลาดเลาที่เรือนของหวงฝู่อวี้ แต่อ๋องฉีพูดห้ามปรามนาง “ไม่ต้อง เซวียนเอ๋อร์ทำอะไรรู้ว่าควรมิควร ไม่ทำให้อวี้เอ๋อร์เป็นอะไรไปหรอก ถึงแม้วันนี้เขาจะลงมือหนักก็ดีเหมือนกัน อวี้เอ๋อร์จะได้ตื่นรู้มีสติเสียหน่อย เขาจะได้ไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใคร ทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงจวนอ๋องอีก”

 

 

อ๋องฉีพูดขนาดนี้แล้ว พระชายาย่อมไม่รั้นทำต่อไป โบกมือให้หลิงหลงออกไป นั่งรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนและโยวเอ๋อร์สองคนเดินเข้ามา ก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “อวี้เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ลูกไม่ได้โบยจนเขาทรุดหนักใช่ไหม”

 

 

“ไม่ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มพลางปฏิเสธ “ลูกแค่กระทืบเขาไปสองที เขาก็พูดทุกอย่างออกมาหมดเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เขาก็แค่หูเบา ฟังคำยุยงของคนอื่น กลับมาก็เลยเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วขอรับ ตกลงกับโยวเอ๋อร์แล้วว่าจะไปเป็นผู้ดูแลโรงงาน ตอนนี้กำลังเก็บข้าวของ อีกสักพักก็ตามมาขอรับ”

 

 

พระชายาฉีตกใจ พูดขึ้นว่า “ได้อย่างไร อวี้เอ๋อร์อายุยังน้อย ต้องไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน จะไปเป็นผู้ดูแลได้อย่างไร”

 

 

“เสด็จแม่” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกพลางหัวเราะ “เสด็จแม่ลืมไปแล้วหรือ อวี้เอ๋อร์อายุเท่าลูก ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ควรให้เขาเรียนอะไรหน่อย ต่อไปจะได้ช่วยดูแลงานของจวนอ๋องแทนข้าได้”