ผมระเบิดเสียงหัวเราะให้กับคำตอบของฮยอนซึงฮี ไม่รู้ว่าด้วยความที่หล่อนเป็นฮันโซยอง หญิงสาวผู้มีความสามารถสูง มีใจโลภอันแรงกล้าหรือไม่ เพราะดูท่าฮยอนซึงฮีจะโดนโน้มน้าวให้มาเป็นเผ่าภายใต้อาณัติเข้าเสียแล้ว
“ฮ่าๆ สมกับเป็นอีสตันเทลลอว์เลยนะครับ รีบร้อนสมชื่อจริงๆ”
“คะ? สมกับเป็นอะไรหรือคะ”
“คุณเองก็เพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นานไม่ใช่หรือครับ แต่ว่ามาชักจูง โน้มน้าวพวกเราให้ไปเป็นเผ่าภายใต้อาณัติเสียแล้ว…”
ฮยอนซึงฮีขมวดคิ้วน้อยๆ ให้กับคำพูดของผม หลังจากนั้นจึงเอียงคอสงสัย
“หมายความว่าไงคะ เป็นเผ่าภายใต้อาณัติตั้งแต่เข้ามาน่ะถูกต้องแล้วนี่คะ”
“ครับ? แต่คุณบอกว่าเดิมทีอยู่ภายใต้อาณัติของ SSUN ไม่ใช่หรือครับ”
“เรื่องนั้นน่ะ ฉันบอกแล้วไงคะว่าออกมาแล้ว…อ้อ ฉันยังไม่ได้บอกเรื่องนั้นใช่ไหมคะ เรื่องที่ฉันไม่มีใจอยากจะอยู่กับ SSUN น่ะถูกต้องแล้วค่ะ แต่การที่ฉันสามารถตัดสินใจได้น่ะ ก็เพราะอีสตันเทลลอว์ ทางฝั่งนั้นเขาว่าอยากจะพาพวกเราไปเป็นเผ่าใต้อาณัติของเขาอีกทีพอดิบพอดีเลยล่ะค่ะ”
“…ว่าไงนะครับ”
“ดังนั้นฉันถึงบอกไงล่ะคะ ว่าอย่าด่าฉันว่าเป็นพวกขี้ขลาดเลย เผ่าที่ตกอยู่ในสภาพเหมือนๆ กับเรามีอยู่เยอะมาก บางทีคานกับโครันเอง…ถ้าไม่อย่างนั้น ป่านนี้ก็คงหนีไปซบฝั่งตะวันออกแล้วก็ได้ค่ะ พอดีฉันทราบมาแบบนั้นน่ะ”
วินาทีที่ผมได้ยินประโยคเหล่านั้น ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจได้หยุดเต้นไปชั่วขณะ ฮยอนซึงฮีเริ่มสาธยายเกี่ยวกับคำสั่งเกณฑ์จุกจิกอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ทว่าคำพูดเหล่านั้นกลับไม่ได้เข้าหูผมเลยแม้แต่ประโยคเดียว เพราะตอนนี้จากหัวสมองที่เคยปลอดโปร่งโล่งสบายนั้น กลับแปรเปลี่ยนมาเป็นความสับสนยุ่งเหยิงในชั่วพริบตา
และในความสับสนวุ่นวายนั่นเอง ผมไม่รู้ว่าอนาคตที่ผมจดจำได้นั้นจะคืบคลานเข้ามาอยู่ตรงหน้าหรือไม่
กลางดึกที่มืดมิด หากเป็นผู้เล่นทั่วไป คงเป็นเวลาเข้านอน เตรียมตัวสำหรับวันต่อไป แต่ทว่าผมนั้นกลับออกมาจากแคลนเฮาส์โดยที่สมาชิกเผ่าไม่ทราบในเรื่องนี้ และตอนนี้ผมรอฮันโซยองอยู่ที่ประตูใหญ่ของแคลนเฮาส์อีสตันเทลลอว์ตามที่ได้รับการติดต่อมา
อาจเนื่องด้วยเป็นช่วงกลางค่ำกลางคืน จึงทำให้ผมไม่ค่อยเห็นผู้คนเดินสัญจรไปมาสักเท่าใดนัก และในตอนนั้นเอง
แอ๊ด
“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
ผมได้ยินเสียงประตูเปิดออกมาอย่างแผ่วเบา และเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงที่ต่ำกว่าเวลาปกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคย จึงทำให้ผมหันหน้าไปตามเสียงนั้น โดยสถานที่ที่ผมได้ยินเสียงดังขึ้นมานั้น มีฮันโซยองที่ใช้เสื้อปกคลุมทั้งใบหน้าและร่างกายอย่างมิดชิดยืนรออยู่
“ทางนี้ค่ะ”
เมื่อฮันโซยองเห็นแล้วว่าเป็นผมที่อยู่ที่นี่ หล่อนถึงโบกมือให้ หลังจากนั้นจึงค่อยหมุนกายไป หล่อนเป็นถึงคนใหญ่คนโตในเผ่า แต่ทำไมถึงต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วย ผมได้แต่เดาเหตุผลอยู่ภายในใจ พร้อมเดินตามหลังหล่อนเข้าไปยังแคลนเฮาส์อย่างเงียบๆ
ฮันโซยองไม่ได้เข้ามาด้านในอาคาร แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะเดินไปยังสถานที่อันแสนเงียบสงบ ที่อยู่ระหว่างอาคารสิ่งปลูกสร้างอันแสนมหึมา
ผมเดินตามฮันโซยองไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่คล้ายคลึงกับสวนของแคลนเฮาส์ของเมอร์เซนต์นารี่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมเองก็คิดว่าแคลนเฮาส์ของพวกเราสวยงามไม่ใช่น้อยแล้ว แต่ทว่าหากนำมาเปรียบเทียบกับเผ่าตัวแทนแล้วนั้น ทั้งขนาดและคุณภาพต่างๆ นั้นเทียบกันไม่ติดเลยทีเดียว
“ท่านผู้นั้นอยู่ตรงโน้นค่ะ จากตรงนี้ไปคุณคงต้องเดินไปคนเดียวแล้วแหละค่ะ”
ฮันโซยองหยุดการเคลื่อนไหวพลางพูดประโยคนั้นขึ้นมา พร้อมชี้ไปยังศาลาสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในมุมหนึ่งของสวน ผมเดินขึ้นมาอยู่ข้างหล่อน แล้วพูดออกไปว่า
“ลอร์ดอีสตันเทลลอว์ไม่ไปด้วยกันหรอกหรือครับ”
“ค่ะ ฉันทราบดีว่าคุณอาจจะคิดว่ามันแปลกๆ อยู่นิดหน่อย แต่หากคุณได้เจอท่านผู้นั้น คุณก็จะเข้าใจได้เองค่ะว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้”
“อืม…รับทราบครับ”
“ค่ะ อ้า แล้วก็ขอบคุณด้วยนะคะที่คอยรับฟังคำขอร้องของฉันในวันนี้”
ผมเดินมุ่งหน้าไปยังศาลา พร้อมใช้สายตาไล่มองบริเวณรอบข้างอย่างช้าๆ ทว่าผมไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ชัดเจนแล้วว่ามีคนอยู่อย่างแน่นอนตามที่ฮันโซยองได้กล่าวไว้ ด้วยความสงสัยในเรื่องนี้ ผมจึงปลุกดวงตาที่สามขึ้นมา ซึ่งในตอนนั้นเองที่ผมสามารถยืนยันได้ถึงความขัดแย้งและเข้ากันไม่ได้ของอะไรบางอย่าง
สี่ทิศรอบกายมีแต่ความเงียบสงัด ทว่าสถานที่แห่งนั้นเพียงที่เดียว บริเวณศาลาที่ฮันโซยองชี้ไปนั้น มีพลังบางอย่างที่ไม่สามารถพรรณนาได้ด้วยคำพูดกำลังแผ่ซ่านอยู่ เป็นพลังที่มาปิดกั้นสัญชาตญาณของผม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดศาลาไปอย่างสงบที่สุด เมื่อผมก้าวเข้ามาได้หนึ่งก้าว
“โอ้ ท่านผู้มีพระคุณของฉันมาถึงแล้วหรือ”
“…”
“งั้นขอฉันดูหน้าค่าตาของท่านคนดัง ผู้มีชื่อเสียงดังกระฉ่อน ณ ตอนนี้หน่อยสิ เอ้า ทำอะไรอยู่เล่า ไม่ได้ยินหรือไง”
ตอนนั้นเองผมได้ยินน้ำเสียงมั่นใจในตอนเองซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและพลังเวทไม่คุ้นเคยซึ่งไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้แผ่ซ่านปกคลุมจิตวิญญาณของผม
[การค้นหาความสามารถเฉพาะของผู้เล่นอีฮโยอึล – ยืนยันดวงตาแห่งการหยั่งรู้ (Discerning Eye, Rank : S) เริ่มทำงาน]
[ตอบสนองดวงตาที่สาม (Rank : S) อันเป็นความสามารถเฉพาะ อยู่ในลำดับ (rank) เดียวกัน ไม่สามารถเทียบกับคุณสมบัติของดวงตาที่สามได้ การค้นหา – สามารถมองเห็นดวงตาแห่งการหยั่งรู้ (Discerning Eye, Rank : S) ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง!]
“อะ อะไรกัน มองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง? ความสามารถที่มิอาจล่วงรู้ได้งั้นหรือ?”
อีฮโยอึลพูดตะกุกตะกักออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายกับเสียงหวีดร้องในชั่วพริบตา น้ำเสียงอันแสนมั่นอกมั่นใจเมื่อครู่ก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว ผมเดาะลิ้นอย่างชอบใจ แล้วในที่สุดจึงเข้ามาอยู่ในศาลาได้สำเร็จ
แสงสว่างไสวจากจันทราเข้ามากระทบกับผิวขาวนวลละออราวกับน้ำนมอาบพรมทั่วร่าง ยิ่งแสงจันทร์ตกกระทบมากเพียงใด ผิวขาวๆ นั่นก็ยิ่งเปล่งปลั่ง ส่องประกายมากยิ่งขึ้น
หญิงสาวในศาลากำลังใช้แววตาที่ย้อมไปด้วยแสงจันทราสีน้ำเงินเรืองรองจ้องมาทางผม ผมเองก็มองตรงไปที่หล่อนเช่นกัน หลังจากนั้นชั้นตาอันแสนงดงามของหล่อนก็ค่อยๆ กะพริบขึ้นลงอย่างรวดเร็วประมาณสามสี่ครั้งได้
ต่างคนต่างจ้องมองกันอยู่เช่นนั้น จนความเงียบเข้ามาปกคลุมในที่สุด หลังจากนั้นผมจึงนั่งลงตรงหน้าหญิงสาวผู้นั้นอย่างใจเย็น
อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด หญิงสาวผู้นี้คือ อีฮโยอึลนั่นเอง หล่อนกำลังแสดงสีหน้าสับสน งุนงง ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเย็นชาลิบลับ ผมได้แต่จ้องดวงหน้าของหล่อนอย่างเงียบๆ เช่นนั้น ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบไปกับรัศมีอันแสนน่ากลัวบางอย่าง ผมแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ ไม่แสดงอาการออกมาแต่อย่างใด ทว่าแววตาของผมนั้นกลับเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งเกาะติดอยู่ก็ไม่ปาน
‘สนุกดีนี่ จะเป็นไปอย่างที่ฉันคิดไหมนะ’
จริงๆ แล้ว หากเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือล่ะก็ อย่างไรก็ต้องเป็นผู้เล่นที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนแล้วแน่นอน
ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)
1.ชื่อ (Name) : อีฮโยอึล (ปีที่ 8)
2.คลาส (Class) :
① ผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือ (Guardian of the Northern Continent) : เปิดใช้งาน
② จอมเวททั่วไป (Normal, Mage, Master) : ไม่เปิดใช้งาน
3.ถิ่นกำเนิด(Nation) : บาร์บาร่า
4.ชนเผ่า(Clan) : แฮมิล (Clan Rank : B Plus)
5.นามแท้ · สัญชาติ : ผู้นำพาแห่งแสง · สาธารณรัฐเกาหลีใต้
6.เพศ (Sex) : หญิง (27)
7.ส่วนสูง · น้ำหนัก : 168.7 ซม. · 49.3 กก.
8.อุปนิสัย : เสมอภาค · เป็นกลาง (True · Neutral)
[พละกำลัง 35(-12)] [ความทนทาน 50(-13)] [ความคล่องแคล่ว 58(-11)] [ความแข็งแกร่ง 28(-11)] [พลังเวท 92(-7)(+3)] [โชค 99]
(คะแนนพลังเหลือ 0 พอยต์)
‘ฟื้นมาแล้วนิดหน่อยนี่นา’
ผมหวนระลึกถึงข้อมูลผู้เล่นของอีฮโยอึล พลางควบคุมสติอารมณ์ไม่ให้ประมาท
“มะ ไม่น่าเชื่อ จริงๆ แล้ว นายคือ…”
อีฮโยอึลยังคงพูดตะกุกตะกัก กอปรกับสีหน้าสับสนงุนงงที่ยังไม่เสื่อมคลาย
“อื้ม ได้ยินว่าอยากคุยด้วยนี่นา ว่าแต่ลูกกระจ๊อกของเหล่าฑูตสวรรค์อย่างเธอ มีธุระอะไรกับฉันล่ะ”
ทันใดนั้นอารมณ์สับสนงุนงงที่เข้าปกคลุมดวงหน้าของหล่อนจนกระทั่งเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ จึงได้มลายหายไป
อีฮโยอึลอมยิ้มเล็กน้อย ดวงตาของหล่อนวาดเป็นเส้นโค้งอันแสนอ่อนโยน อีกทั้งริมฝีปากสวยสดอมชมพูเองก็ยังยกยิ้มขึ้นมา
“เรื่องนั้นน่ะ หมายความว่าอะไรล่ะ”
อีฮโยอึลพูดงึมงำด้วยน้ำเสียงโทนสูง น้ำเสียงของหล่อนกลับมาเข้าที่เข้าทางมากกว่าคราวก่อน และไม่พูดตะกุกตะกักอีกต่อไปแล้ว ผมกำลังสันนิษฐานถึงสาเหตุที่ทำให้หล่อนมาหาผม ต่างคนต่างอยากขจัดความเหนื่อยล้าที่สะสมมา ดังนั้นผมจึงตั้งใจเปิดประเด็นคำถามไปตั้งแต่แรกเริ่ม
“ไม่เห็นจะต้องมาแกล้งทำเป็นตกใจ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้เลยนี่นา ยัยลูกกระจ๊อก”
“โฮะๆ กลัวไม่ได้เป็นน้องของคิมยูฮยอนเลยต้องพูดเย็นชาใส่กันขนาดนี้เลยหรือเนี่ย แล้วก็ที่พูดว่าลูกกระจ๊อกหรืออะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้น่ะ ช่วยเลิกพูดแบบนั้นสักทีจะได้ไหม ได้ยินคำว่าลูกกระจ๊อกแล้วอารมณ์เสีย”
ผมยิ้มแห้งๆ ให้กับคำตอบที่เต็มไปด้วยไหวพริบของอีฮโยอึล หล่อนใช้มือทั้งสองข้างรวบผมไปด้านหลัง หลังจากนั้นจึงถูท้ายทอยอย่างแรงจนบังเกิดเสียง พร้อมพูดออกมาว่า
“ทำไมในหัวมันวุ่นวายไปหมดแบบนี้เนี่ย เฮ้อ ยังไงก็แล้วแต่ ก่อนอื่นฉันคงต้องขอบคุณนายที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้สักหน่อย ขอบใจนะ แต่การที่นายพูดไม่เพราะ แล้วเรียกฉันว่าลูกกระจ๊อกแบบนั้นน่ะ ฉันไม่พอใจแน่นอนอยู่แล้วแหละ แต่ยังไงก็จะมองข้ามไปก็แล้วกัน เพราะนายเป็นผู้มีพระคุณต่อฉันนี่เนอะ”
“เรื่องพูดไม่เพราะน่ะ เธอเริ่มก่อนนะ ส่วนไอ้คำว่าลูกกระจ๊อกน่ะมันก็เรื่องจริงไม่ใช่หรือไง”
หากจะให้ว่าโดยละเอียดแล้ว สามารถบอกได้ว่าเหล่าผู้เล่นทุกคน รวมทั้งอีฮโยอึลต่างเป็นลูกกระจ๊อกกันทั้งนั้น ทว่ามีความแตกต่างในเรื่องของระดับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรความจริงในข้อนี้ก็จะไม่มีทางหลุดออกจากปากผมไปได้อย่างแน่นอน ผมอยากจะเก็บคำพูดที่เกี่ยวกับในส่วนนี้เอาไว้ ผมเองก็รู้จักผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือในระดับหนึ่ง แต่ทว่าไม่รู้ขอบเขตอำนาจของหล่อนก็เท่านั้น
“…นายพูดจาน่าเกลียดมาก”
“ยังไงก็เถอะ เลิกคุยเรื่องไร้สาระพวกนี้สักที เข้าประเด็นสำคัญเลยดีกว่าไหมล่ะ ตอนนี้น่ะ”