เล่มที่ 16 ตอนที่ 28

Memorize

ผมระเบิดเสียงหัวเราะให้กับคำตอบของฮยอนซึงฮี ไม่รู้ว่าด้วยความที่หล่อนเป็นฮันโซยอง หญิงสาวผู้มีความสามารถสูง มีใจโลภอันแรงกล้าหรือไม่ เพราะดูท่าฮยอนซึงฮีจะโดนโน้มน้าวให้มาเป็นเผ่าภายใต้อาณัติเข้าเสียแล้ว 

 

 

“ฮ่าๆ สมกับเป็นอีสตันเทลลอว์เลยนะครับ รีบร้อนสมชื่อจริงๆ” 

 

 

“คะ? สมกับเป็นอะไรหรือคะ” 

 

 

“คุณเองก็เพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นานไม่ใช่หรือครับ แต่ว่ามาชักจูง โน้มน้าวพวกเราให้ไปเป็นเผ่าภายใต้อาณัติเสียแล้ว…” 

 

 

ฮยอนซึงฮีขมวดคิ้วน้อยๆ ให้กับคำพูดของผม หลังจากนั้นจึงเอียงคอสงสัย 

 

 

“หมายความว่าไงคะ เป็นเผ่าภายใต้อาณัติตั้งแต่เข้ามาน่ะถูกต้องแล้วนี่คะ”  

 

 

“ครับ? แต่คุณบอกว่าเดิมทีอยู่ภายใต้อาณัติของ SSUN ไม่ใช่หรือครับ” 

 

 

“เรื่องนั้นน่ะ ฉันบอกแล้วไงคะว่าออกมาแล้ว…อ้อ ฉันยังไม่ได้บอกเรื่องนั้นใช่ไหมคะ เรื่องที่ฉันไม่มีใจอยากจะอยู่กับ SSUN น่ะถูกต้องแล้วค่ะ แต่การที่ฉันสามารถตัดสินใจได้น่ะ ก็เพราะอีสตันเทลลอว์ ทางฝั่งนั้นเขาว่าอยากจะพาพวกเราไปเป็นเผ่าใต้อาณัติของเขาอีกทีพอดิบพอดีเลยล่ะค่ะ” 

 

 

“…ว่าไงนะครับ” 

 

 

“ดังนั้นฉันถึงบอกไงล่ะคะ ว่าอย่าด่าฉันว่าเป็นพวกขี้ขลาดเลย เผ่าที่ตกอยู่ในสภาพเหมือนๆ กับเรามีอยู่เยอะมาก บางทีคานกับโครันเอง…ถ้าไม่อย่างนั้น ป่านนี้ก็คงหนีไปซบฝั่งตะวันออกแล้วก็ได้ค่ะ พอดีฉันทราบมาแบบนั้นน่ะ” 

 

 

วินาทีที่ผมได้ยินประโยคเหล่านั้น ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจได้หยุดเต้นไปชั่วขณะ ฮยอนซึงฮีเริ่มสาธยายเกี่ยวกับคำสั่งเกณฑ์จุกจิกอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ทว่าคำพูดเหล่านั้นกลับไม่ได้เข้าหูผมเลยแม้แต่ประโยคเดียว เพราะตอนนี้จากหัวสมองที่เคยปลอดโปร่งโล่งสบายนั้น กลับแปรเปลี่ยนมาเป็นความสับสนยุ่งเหยิงในชั่วพริบตา  

 

 

และในความสับสนวุ่นวายนั่นเอง ผมไม่รู้ว่าอนาคตที่ผมจดจำได้นั้นจะคืบคลานเข้ามาอยู่ตรงหน้าหรือไม่  

 

 

 

 

 

กลางดึกที่มืดมิด หากเป็นผู้เล่นทั่วไป คงเป็นเวลาเข้านอน เตรียมตัวสำหรับวันต่อไป แต่ทว่าผมนั้นกลับออกมาจากแคลนเฮาส์โดยที่สมาชิกเผ่าไม่ทราบในเรื่องนี้ และตอนนี้ผมรอฮันโซยองอยู่ที่ประตูใหญ่ของแคลนเฮาส์อีสตันเทลลอว์ตามที่ได้รับการติดต่อมา 

 

 

อาจเนื่องด้วยเป็นช่วงกลางค่ำกลางคืน จึงทำให้ผมไม่ค่อยเห็นผู้คนเดินสัญจรไปมาสักเท่าใดนัก และในตอนนั้นเอง 

 

 

แอ๊ด 

 

 

“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่” 

 

 

ผมได้ยินเสียงประตูเปิดออกมาอย่างแผ่วเบา และเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงที่ต่ำกว่าเวลาปกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคย จึงทำให้ผมหันหน้าไปตามเสียงนั้น โดยสถานที่ที่ผมได้ยินเสียงดังขึ้นมานั้น มีฮันโซยองที่ใช้เสื้อปกคลุมทั้งใบหน้าและร่างกายอย่างมิดชิดยืนรออยู่ 

 

 

“ทางนี้ค่ะ” 

 

 

เมื่อฮันโซยองเห็นแล้วว่าเป็นผมที่อยู่ที่นี่ หล่อนถึงโบกมือให้ หลังจากนั้นจึงค่อยหมุนกายไป หล่อนเป็นถึงคนใหญ่คนโตในเผ่า แต่ทำไมถึงต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วย ผมได้แต่เดาเหตุผลอยู่ภายในใจ พร้อมเดินตามหลังหล่อนเข้าไปยังแคลนเฮาส์อย่างเงียบๆ  

 

 

ฮันโซยองไม่ได้เข้ามาด้านในอาคาร แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะเดินไปยังสถานที่อันแสนเงียบสงบ ที่อยู่ระหว่างอาคารสิ่งปลูกสร้างอันแสนมหึมา 

 

 

ผมเดินตามฮันโซยองไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่คล้ายคลึงกับสวนของแคลนเฮาส์ของเมอร์เซนต์นารี่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมเองก็คิดว่าแคลนเฮาส์ของพวกเราสวยงามไม่ใช่น้อยแล้ว แต่ทว่าหากนำมาเปรียบเทียบกับเผ่าตัวแทนแล้วนั้น ทั้งขนาดและคุณภาพต่างๆ นั้นเทียบกันไม่ติดเลยทีเดียว 

 

 

“ท่านผู้นั้นอยู่ตรงโน้นค่ะ จากตรงนี้ไปคุณคงต้องเดินไปคนเดียวแล้วแหละค่ะ” 

 

 

ฮันโซยองหยุดการเคลื่อนไหวพลางพูดประโยคนั้นขึ้นมา พร้อมชี้ไปยังศาลาสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในมุมหนึ่งของสวน ผมเดินขึ้นมาอยู่ข้างหล่อน แล้วพูดออกไปว่า 

 

 

“ลอร์ดอีสตันเทลลอว์ไม่ไปด้วยกันหรอกหรือครับ” 

 

 

“ค่ะ ฉันทราบดีว่าคุณอาจจะคิดว่ามันแปลกๆ อยู่นิดหน่อย แต่หากคุณได้เจอท่านผู้นั้น คุณก็จะเข้าใจได้เองค่ะว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้” 

 

 

“อืม…รับทราบครับ” 

 

 

“ค่ะ อ้า แล้วก็ขอบคุณด้วยนะคะที่คอยรับฟังคำขอร้องของฉันในวันนี้” 

 

 

ผมเดินมุ่งหน้าไปยังศาลา พร้อมใช้สายตาไล่มองบริเวณรอบข้างอย่างช้าๆ ทว่าผมไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ชัดเจนแล้วว่ามีคนอยู่อย่างแน่นอนตามที่ฮันโซยองได้กล่าวไว้ ด้วยความสงสัยในเรื่องนี้ ผมจึงปลุกดวงตาที่สามขึ้นมา ซึ่งในตอนนั้นเองที่ผมสามารถยืนยันได้ถึงความขัดแย้งและเข้ากันไม่ได้ของอะไรบางอย่าง 

 

 

สี่ทิศรอบกายมีแต่ความเงียบสงัด ทว่าสถานที่แห่งนั้นเพียงที่เดียว บริเวณศาลาที่ฮันโซยองชี้ไปนั้น มีพลังบางอย่างที่ไม่สามารถพรรณนาได้ด้วยคำพูดกำลังแผ่ซ่านอยู่ เป็นพลังที่มาปิดกั้นสัญชาตญาณของผม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดศาลาไปอย่างสงบที่สุด เมื่อผมก้าวเข้ามาได้หนึ่งก้าว 

 

 

“โอ้ ท่านผู้มีพระคุณของฉันมาถึงแล้วหรือ” 

 

 

“…” 

 

 

“งั้นขอฉันดูหน้าค่าตาของท่านคนดัง ผู้มีชื่อเสียงดังกระฉ่อน ณ ตอนนี้หน่อยสิ เอ้า ทำอะไรอยู่เล่า ไม่ได้ยินหรือไง” 

 

 

ตอนนั้นเองผมได้ยินน้ำเสียงมั่นใจในตอนเองซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและพลังเวทไม่คุ้นเคยซึ่งไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้แผ่ซ่านปกคลุมจิตวิญญาณของผม 

 

 

 

 

 

[การค้นหาความสามารถเฉพาะของผู้เล่นอีฮโยอึล – ยืนยันดวงตาแห่งการหยั่งรู้ (Discerning Eye, Rank : S) เริ่มทำงาน] 

 

 

[ตอบสนองดวงตาที่สาม (Rank : S) อันเป็นความสามารถเฉพาะ อยู่ในลำดับ (rank) เดียวกัน ไม่สามารถเทียบกับคุณสมบัติของดวงตาที่สามได้ การค้นหา – สามารถมองเห็นดวงตาแห่งการหยั่งรู้ (Discerning Eye, Rank : S) ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง!] 

 

 

 

 

 

“อะ อะไรกัน มองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง? ความสามารถที่มิอาจล่วงรู้ได้งั้นหรือ?”  

 

 

อีฮโยอึลพูดตะกุกตะกักออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายกับเสียงหวีดร้องในชั่วพริบตา น้ำเสียงอันแสนมั่นอกมั่นใจเมื่อครู่ก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว ผมเดาะลิ้นอย่างชอบใจ แล้วในที่สุดจึงเข้ามาอยู่ในศาลาได้สำเร็จ 

 

 

แสงสว่างไสวจากจันทราเข้ามากระทบกับผิวขาวนวลละออราวกับน้ำนมอาบพรมทั่วร่าง ยิ่งแสงจันทร์ตกกระทบมากเพียงใด ผิวขาวๆ นั่นก็ยิ่งเปล่งปลั่ง ส่องประกายมากยิ่งขึ้น 

 

 

หญิงสาวในศาลากำลังใช้แววตาที่ย้อมไปด้วยแสงจันทราสีน้ำเงินเรืองรองจ้องมาทางผม ผมเองก็มองตรงไปที่หล่อนเช่นกัน หลังจากนั้นชั้นตาอันแสนงดงามของหล่อนก็ค่อยๆ กะพริบขึ้นลงอย่างรวดเร็วประมาณสามสี่ครั้งได้  

 

 

ต่างคนต่างจ้องมองกันอยู่เช่นนั้น จนความเงียบเข้ามาปกคลุมในที่สุด หลังจากนั้นผมจึงนั่งลงตรงหน้าหญิงสาวผู้นั้นอย่างใจเย็น  

 

 

อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด หญิงสาวผู้นี้คือ อีฮโยอึลนั่นเอง หล่อนกำลังแสดงสีหน้าสับสน งุนงง ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเย็นชาลิบลับ ผมได้แต่จ้องดวงหน้าของหล่อนอย่างเงียบๆ เช่นนั้น ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบไปกับรัศมีอันแสนน่ากลัวบางอย่าง ผมแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ ไม่แสดงอาการออกมาแต่อย่างใด ทว่าแววตาของผมนั้นกลับเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งเกาะติดอยู่ก็ไม่ปาน 

 

 

‘สนุกดีนี่ จะเป็นไปอย่างที่ฉันคิดไหมนะ’ 

 

 

จริงๆ แล้ว หากเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือล่ะก็ อย่างไรก็ต้องเป็นผู้เล่นที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนแล้วแน่นอน 

 

 

 

 

 

ข้อมูลผู้เล่น (Player Status) 

 

 

1.ชื่อ (Name) : อีฮโยอึล (ปีที่ 8) 

 

 

2.คลาส (Class) :  

 

 

① ผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือ (Guardian of the Northern Continent) : เปิดใช้งาน 

 

 

② จอมเวททั่วไป (Normal, Mage, Master) : ไม่เปิดใช้งาน 

 

 

3.ถิ่นกำเนิด(Nation) : บาร์บาร่า  

 

 

4.ชนเผ่า(Clan) : แฮมิล (Clan Rank : B Plus) 

 

 

5.นามแท้ · สัญชาติ : ผู้นำพาแห่งแสง · สาธารณรัฐเกาหลีใต้ 

 

 

6.เพศ (Sex) : หญิง (27) 

 

 

7.ส่วนสูง · น้ำหนัก : 168.7 ซม. · 49.3 กก.  

 

 

8.อุปนิสัย : เสมอภาค · เป็นกลาง (True · Neutral) 

 

 

[พละกำลัง 35(-12)] [ความทนทาน 50(-13)] [ความคล่องแคล่ว 58(-11)] [ความแข็งแกร่ง 28(-11)] [พลังเวท 92(-7)(+3)] [โชค 99] 

 

 

(คะแนนพลังเหลือ 0 พอยต์) 

 

 

 

 

 

‘ฟื้นมาแล้วนิดหน่อยนี่นา’ 

 

 

ผมหวนระลึกถึงข้อมูลผู้เล่นของอีฮโยอึล พลางควบคุมสติอารมณ์ไม่ให้ประมาท 

 

 

“มะ ไม่น่าเชื่อ จริงๆ แล้ว นายคือ…” 

 

 

อีฮโยอึลยังคงพูดตะกุกตะกัก กอปรกับสีหน้าสับสนงุนงงที่ยังไม่เสื่อมคลาย 

 

 

“อื้ม ได้ยินว่าอยากคุยด้วยนี่นา ว่าแต่ลูกกระจ๊อกของเหล่าฑูตสวรรค์อย่างเธอ มีธุระอะไรกับฉันล่ะ” 

 

 

ทันใดนั้นอารมณ์สับสนงุนงงที่เข้าปกคลุมดวงหน้าของหล่อนจนกระทั่งเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ จึงได้มลายหายไป  

 

 

อีฮโยอึลอมยิ้มเล็กน้อย ดวงตาของหล่อนวาดเป็นเส้นโค้งอันแสนอ่อนโยน อีกทั้งริมฝีปากสวยสดอมชมพูเองก็ยังยกยิ้มขึ้นมา 

 

 

“เรื่องนั้นน่ะ หมายความว่าอะไรล่ะ” 

 

 

อีฮโยอึลพูดงึมงำด้วยน้ำเสียงโทนสูง น้ำเสียงของหล่อนกลับมาเข้าที่เข้าทางมากกว่าคราวก่อน และไม่พูดตะกุกตะกักอีกต่อไปแล้ว ผมกำลังสันนิษฐานถึงสาเหตุที่ทำให้หล่อนมาหาผม ต่างคนต่างอยากขจัดความเหนื่อยล้าที่สะสมมา ดังนั้นผมจึงตั้งใจเปิดประเด็นคำถามไปตั้งแต่แรกเริ่ม 

 

 

“ไม่เห็นจะต้องมาแกล้งทำเป็นตกใจ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้เลยนี่นา ยัยลูกกระจ๊อก” 

 

 

“โฮะๆ กลัวไม่ได้เป็นน้องของคิมยูฮยอนเลยต้องพูดเย็นชาใส่กันขนาดนี้เลยหรือเนี่ย แล้วก็ที่พูดว่าลูกกระจ๊อกหรืออะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้น่ะ ช่วยเลิกพูดแบบนั้นสักทีจะได้ไหม ได้ยินคำว่าลูกกระจ๊อกแล้วอารมณ์เสีย” 

 

 

ผมยิ้มแห้งๆ ให้กับคำตอบที่เต็มไปด้วยไหวพริบของอีฮโยอึล หล่อนใช้มือทั้งสองข้างรวบผมไปด้านหลัง หลังจากนั้นจึงถูท้ายทอยอย่างแรงจนบังเกิดเสียง พร้อมพูดออกมาว่า 

 

 

“ทำไมในหัวมันวุ่นวายไปหมดแบบนี้เนี่ย เฮ้อ ยังไงก็แล้วแต่ ก่อนอื่นฉันคงต้องขอบคุณนายที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้สักหน่อย ขอบใจนะ แต่การที่นายพูดไม่เพราะ แล้วเรียกฉันว่าลูกกระจ๊อกแบบนั้นน่ะ ฉันไม่พอใจแน่นอนอยู่แล้วแหละ แต่ยังไงก็จะมองข้ามไปก็แล้วกัน เพราะนายเป็นผู้มีพระคุณต่อฉันนี่เนอะ” 

 

 

“เรื่องพูดไม่เพราะน่ะ เธอเริ่มก่อนนะ ส่วนไอ้คำว่าลูกกระจ๊อกน่ะมันก็เรื่องจริงไม่ใช่หรือไง” 

 

 

หากจะให้ว่าโดยละเอียดแล้ว สามารถบอกได้ว่าเหล่าผู้เล่นทุกคน รวมทั้งอีฮโยอึลต่างเป็นลูกกระจ๊อกกันทั้งนั้น ทว่ามีความแตกต่างในเรื่องของระดับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรความจริงในข้อนี้ก็จะไม่มีทางหลุดออกจากปากผมไปได้อย่างแน่นอน ผมอยากจะเก็บคำพูดที่เกี่ยวกับในส่วนนี้เอาไว้ ผมเองก็รู้จักผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือในระดับหนึ่ง แต่ทว่าไม่รู้ขอบเขตอำนาจของหล่อนก็เท่านั้น 

 

 

“…นายพูดจาน่าเกลียดมาก” 

 

 

“ยังไงก็เถอะ เลิกคุยเรื่องไร้สาระพวกนี้สักที เข้าประเด็นสำคัญเลยดีกว่าไหมล่ะ ตอนนี้น่ะ”