อีฮโยอึลปรายตามองผมด้วยหางตาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า คงเห็นด้วยกับการให้เริ่มเข้าประเด็นหลักสักที
“งั้นขอถามอีกครั้งนะ ทำไมถึงบอกว่าอยากมาเจอฉันล่ะ”
“เรื่องนั้นน่ะง่ายมาก ฉันสงสัยเลยเรียกหาไง ช่วงนี้ฉันได้ยินเรื่องของนายเยอะมาก ฉันก็เลยสงสัยจริง จริ๊ง ว่าเป็นใคร ไม่สิ ฉันคิดว่ามันแปลกๆ ตั้งแต่ได้เห็นข้อความประชาสัมพันธ์ของมิวล์ตั้งแต่แรกเริ่มแล้วล่ะ ก็เลยเรียกนายมา แล้วก็อยากรู้ว่าจะพิจารณาถึงเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้าง…”
“…”
“อย่าดูอะไรให้มันมากนักนะ นายน่ะดูเหมือนจะรู้อะไรเกี่ยวกับฉันประมาณหนึ่งนี่นา แล้วมันจะเป็นไปได้หรือ ที่นายจะไม่มาสงสัยเรื่องของฉันบ้าง ขุดซากโบราณสถานแทบจะทุกเดือน, สมาชิกเผ่ามีแต่คลาสลับกับคลาสหายาก, รู้ว่าฉันเป็นถึงผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือ, ไม่เห็นจะมีความสามารถอะไรที่จะไม่สมกับเป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์เลย ลองถามฑูตสวรรค์ ว่า Tanay เป็นอะไรยังไง ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์ถึงขนาดนั้น ไม่ได้สนิทกับฉันแต่กลับมาช่วยเหลือกันขนาดนี้ สถานการณ์เป็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้ฉันสงสัยเลยเหรอ”
ที่เธอพูดออกมามันถูกต้องทั้งหมด ชัดเจนแล้วว่ามีการสอบสวนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวผม อาจจะเนื่องด้วยความสามารถหรือไหวพริบของตัวผมที่เคยมีเมื่อก่อนหน้า
“ขนาดฑูตสวรรค์ยังไม่บอกเลย แล้วคิดว่าฉันจะบอกเธอเหรอ”
“ฉันคิดกลวิธีไว้หลายแบบเลยแหละ อย่างแรกก็วิเคราะห์เกี่ยวกับนายด้วยความสามารถเฉพาะตัว และค่อยเปิดเผยความจริงว่าเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือ หลังจากนั้นจึงค่อยแกล้งเฉไฉว่าเห็นอะไรบางอย่างที่แปลกหูแปลกตาไปก็เท่านั้น และฉันตั้งใจว่าจะร้องเรียนด้วย… แต่ฉันกลับเห็นความสามารถเฉพาะตัวนั่นของนาย การมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง อันเป็นความสามารถที่มิอาจล่วงรู้ได้ของนาย แล้วก็นายรู้แล้วสินะว่าความจริงแล้วฉันเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือน่ะ? ถ้างั้นความสามารถของนายน่ะ จริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ ป้องกันความสามารถพิเศษของผู้พิทักษ์ได้อย่างไรกัน”
ช่างเป็นคุณผู้หญิงที่มีเรื่องสงสัยอยากรู้อยากเห็นมากมายเสียเหลือเกิน แน่นอนว่าความสงสัยใคร่รู้ที่อีฮโยอึลมีต่อผมนั้น เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาที่ผู้เล่นทั่วไปจะสงสัยกัน แต่เรื่องเหล่านั้นน่ะ มันเป็นข้อมูลในส่วนของหล่อน ดังนั้นผมจึงตอบกลับด้วยการหัวเราะเจื่อนๆ อีฮโยอึลจึงเบ้ปากในทันทีหลังจากนั้น
“เฮ้อ งั้นช่วยบอกแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหน่อยเถอะ จริงๆ แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือน่ะ เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญมากๆ เลยนะ ตอบหน่อยจะเป็นพระคุณมากเลย”
“นั่นสิน้า”
“ขอร้องล่ะ ถ้าหากนายให้คำตอบฉัน ฉันเองก็จะตอบในสิ่งที่นายต้องการถามเหมือนกัน”
เป็นข้อเสนอที่ฟังดูแล้วน่าสนใจไม่น้อย ผมจมอยู่กับความคิดตัวเองเงียบๆ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับไป
“ก็แค่รู้อยู่แล้วเท่านั้นแหละ แล้วก็เธอกลับมาจากการไปพบฑูตสวรรค์ที่ดูแลฉันแล้วไม่ใช่เหรอ หากมีปัญหาอะไร พวกฑูตสวรรค์ก็ต้องออกมาตรการมาสนับสนุนสิ พอดูแล้วอาจจะไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เขาเลยข้ามผ่านไปก็ได้ อาจจะเป็นงั้นก็ได้นี่”
“…กาเบรียลเองก็ฝากขอร้องมา ว่าให้เก็บเป็นความลับ และบอกว่ากำลังรออยู่ด้วยอีกต่างหาก แล้วนี่มันหมายความว่าอะไรกันแน่เนี่ย”
“ตอนนี้ถึงตาฉันถามแล้วนะ”
“โอ้ย จะบ้าตาย”
อีฮโยอึลมีสีหน้าบูดเบี้ยวในช่วงแรก หลังจากนั้นหล่อนจึงเริ่มขบริมฝีปากตัวเอง ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จึงได้ถามออกไปด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“เธอมีความสัมพันธ์อะไรกับพี่ชายฉัน”
อีฮโยอึลไม่เคยแสดงสีหน้าราวกับเห็นความหายนะอะไรมาก่อนเลย แต่คราวนี้หล่อนจ้องมองมาทางผมด้วยท่าทีเหม่อลอยอยู่สักพัก
หลังจากจึงค่อยระเบิดเสียงหัวเราะคิกคักออกมา ผมทราบดีว่าทำไมหล่อนถึงหัวเราะ แต่ทว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดสำหรับผมในตอนนี้คือเรื่องนี้นี่แหละ ผมได้ช่วยชีวิตหล่อนเอาไว้ก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังต้องตัดสินใจว่าจะลงโทษหล่อนอย่างไรดี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าอีฮโยอึลคิดกับพี่ชายอย่างไรกันแน่ อย่างแรกเลยคือ จะช่วยหล่อนไว้ดีไหม, หรือจะรอโอกาสแล้วค่อยฆ่าเสีย ถ้าไม่อย่างนั้นก็ร่วมมือกันไปเลยเสียให้สิ้นเรื่อง
“เฮ้อ ใครพี่ใครน้องกันแน่เนี่ย ยังไงก็เถอะ ถ้าจะให้ตอบคำถามข้อนี้ล่ะก็นะ…ปีนี้ฉันเป็นผู้พิทักษ์ปีที่เจ็ดแล้วนะ แล้วคนที่ผู้เล่นเลือกให้ขึ้นมาเป็นผู้นำเมื่อล่าสุดมานี้ ก็คือพี่ชายของนาย แต่ล่าสุดที่ฉันว่าน่ะ หมายถึงเมื่อสองปีก่อน”
“…?”
“เดิมทีแล้ว การที่ผู้พิทักษ์อยู่อาศัย ณ ที่แห่งหนึ่งเป็นระยะเวลาถึงสองปีเนี่ย นับว่าหาได้ยากแล้วนะ ถ้าจะนานจริงๆ ก็สักหนึ่งปีก็พอแล้วมั้ง? สำหรับคิมยูฮยอนแล้วยังไงก็ยังคงมีค่าอยู่เหมือนเดิม จึงทำให้ดูเหมือนว่าพวกฑูตสวรรค์ไม่ได้พูดอะไรถึงเป็นพิเศษน่ะ แต่…ตอนนี้มันจบไปแล้วเนอะ ยังไงก็ตามแต่ ความปราถนาส่วนตัวของฉันยังมีเหลืออยู่เยอะมาก แต่ฉันเองก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่อยู่บนสวรรค์คนหนึ่งนี่นา”
“นั่นน่ะสิ”
‘ตอนนี้มันจบไปแล้ว’ ผมค่อนข้างติดใจประโยคนี้อยู่นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ตอบกลับไปด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“หากตอนนี้สามารถล้มเลิกอะไรไปได้ ฉันเองก็อยากจะเลิกมันทันทีเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่ปัญหาคือทำแบบนั้นไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ผู้สืบทอดก็ไม่มี เอ่อ ฉันหมายถึงทายาทน่ะ เฮ้อ ช่างเป็นยัยแก่ผู้น่าสังเวชจริงๆ”
อีฮโยอึลกอดอก ถอนหายใจออกมาเต็มที่และพยักหน้าหงึกๆ ไปพลาง แต่ทว่าหลังจากนั้นหล่อนก็เริ่มส่งสายตาอันแสนแปลกประหลาดมาให้
“นั่นไง มีอยู่นี่นา ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสามีเป็นยังไง งั้นฉันขอถามอีกคำถามหนึ่งหน่อยจะได้ไหม แม้แต่นายก็ต้องชอบแน่นอน”
“ประโยคแรกฉันทำใจยอมรับไม่ได้หรอกนะ แต่ประโยคถัดมาน่ะได้แน่นอนอยู่แล้ว”
“โอเค ดูเหมือนนายจะไม่ชอบพูดยืดเยื้อเท่าไหร่ งั้นตอบแค่ ใช่ ไม่ใช่ ก็แล้วกันนะ นายใช่ผู้พิทักษ์คนใหม่หรือเปล่า”
“ไม่ใช่”
ผมตอบกลับไปในทันที อีฮโยอึลเบ้ปาก มีสีหน้าที่ดูผิดหวังอย่างรุนแรง ดูท่าแล้วหล่อนคงจะคาดหวังสิ่งนู้นสิ่งนี้ไว้อย่างแน่นอน
“งั้นตาฉันอีกรอบ ฉันได้ยินมาว่าเธอจะเปิดคำสั่งเกณฑ์พลครั้งใหญ่”
“เอ๋? อื้ม แต่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรขนาดนั้นหรอก ฉันจะเรียกมาเฉพาะคนที่รู้จักฉันน่ะ”
“ก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้วสิ งั้นขอถามหน่อยเถอะ จริงๆ แล้ว การเจรจาของพวกเธอจะมีต่อไปจนถึงไหนกันแน่ แล้วอะไรคือวัตถุประสงค์”
“…?”
อีฮโยอึลเอียงคอสงสัยในคำถามของผม ดูเหมือนคำถามจะกว้างไปเสียหน่อย เห็นทีผมจะต้องสรุปสั้นๆ สักหน่อยเสียแล้ว
“ก่อนหน้านี้เผ่าแสงแห่งดาวเข้ามาในโมนิก้า ซึ่งเดิมทีแล้ว เผ่านี้เคยปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ฮาโลมาก่อน แต่หลังจากนั้นเห็นว่าได้รับการเชิญชวนจากอีสตันเทลลอว์น่ะ”
“เฮ้อ เรื่องบ้าอะไรกันล่ะเนี่ย เรื่องนี้คุณโซยองเป็นคนทำพลาดเองนี่นา ไม่สิ ไม่ใช่ๆ จริงๆ ก็คือไปทำงานเขาพังกระเจิงเสียหมด เลยตั้งใจว่าจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรอีกล่ะสินะ”
หล่อนเบิกตาโพลงราวกับเป็นกระต่าย แต่หลังจากนั้นจึงรีบเผยรอยยิ้มออกมาในทันที คงเป็นเพราะควบคุมอารมณ์ให้เข้าที่ได้แล้ว พร้อมกับพูดรัวเป็นต่อยหอยออกมาจนฟังไม่รู้ความ ไม่สิ ไม่ได้พูดออกมาจนฟังไม่ได้ความหรอก เพราะมีคีย์เวิร์ดคำว่า ‘ความผิดพลาด’ กับ ‘ตั้งใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว’ ออกมาด้วย บางทีหล่อนอาจจะรู้ทันว่าผมยิงไปสองคำถามในคราวเดียวกันก็ได้ จึงให้คำตอบอ้อมๆ เช่นนี้มา
ถ้าอย่างนั้นแล้วจึงหมายความว่า หล่อนได้ให้คำตอบมาครบแล้วทั้งสองคำถาม ผมจึงเกิดความคิดที่ว่าช่างเป็นผู้เล่นที่พูดอะไรจับใจความไม่ได้เอาเสียเลยจริงๆ
“แล้วก็วัตถุประสงค์น่ะเหรอ เรื่องนี้ดูท่าจะต้องอธิบายกันยาว แต่…เอ้อ คำพูดจากพวกฑูตสวรรค์ก็มี เห็นว่านายเป็นน้องสามีน่ะเนี่ยถึงได้บริการให้เป็นพิเศษน่ะ ว่าแต่นายรู้เรื่องยัยแก่ขึ้นคาน…อะแฮ่ม รู้เรื่องแม่ทูนหัวที่โดนฆ่าตายไปอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”
“รู้”
“หน็อย ตอบห้วนจังเลยนะ ยังไงก็เถอะ ส่วนตัวฉันคิดว่าการตายของแม่ทูนหัวเนี่ยมีข้อสงสัยหลายข้อเลย เพราะงั้นฉันเลยออกมาเพื่อคลี่คลายเรื่องนั้นยังไงล่ะ นายเองก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ว่าฉันตกอยู่ในสภาพใกล้ตาย แล้วที่ฉันรอดชีวิตกลับมาได้ก็เพราะพระคุณของนาย แต่ว่าพอฟื้นขึ้นมาแล้ว กลับบอกว่างานทุกอย่างพังเละเทะไปเสียอย่างนั้น เพราะงั้นคนที่กำลังเครียดๆ อยู่อย่างนายน่ะ จะต้องพาพวกเร่ร่อนมาแสดงตัวให้ได้ยังไงเล่า วัตถุประสงค์ของคำสั่งเกณฑ์ก็คือ พวกเร่ร่อนทั้งหลายนี่แหละ อย่างที่รู้ๆ กันนั่นแหละนะ เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจผิดไปเลย พวกเราไม่ได้จะมาช่วงชิงสิทธิอำนาจของนายอะไรหรอก พวกเราแค่ขอร้องนายก็เท่านั้น”
‘ออกมาเพื่อคลี่คลายปัญหาน่าสงสัยงั้นเหรอ’
พี่ชายผมกลับอธิบายว่าไปสำรวจซากโบราณสถานมาถึงได้เผชิญเรื่องนั้น แต่คำพูดของอีฮโยอึลนั้นกลับต่างออกไป ถ้าอย่างนั้นแล้วหมายความว่าเราสามารถแบ่งกรณีนี้ออกได้เป็นสองทาง คือ หล่อนกำลังโกหกผมอยู่หรือไม่ก็มีข้อมูลบางส่วนที่ไม่สามารถบอกให้คนอื่นทราบได้ ผมพยายามที่จะไม่แสดงความคิดเหล่านั้นออกไปให้หล่อนเห็น จึงพูดออกไปอย่างแผ่วเบาว่า
“ถ้างั้นก็หมายความว่าคนที่ฆ่าแม่ทูนหัวคือพวกเร่ร่อนงั้นเหรอ”
“ชอบจังเลยคนฉลาดเนี่ย ใช่แล้ว มีอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยอยู่ หากลองปะติดปะต่อเหตุการณ์ตอนนี้เข้าด้วยกัน มันก็มีกลิ่นแปลกๆ โชยมาอยู่พอสมควรเลยแหละ มีพวกเร่ร่อนคนหนึ่งที่เป็นชนวนสำคัญ แล้วการที่นายสามารถจับพวกเร่ร่อนระดับแพคซอยอนมาได้เนี่ย ฉันขอขอบคุณนายมากจริงๆ ยัยนั่นอยู่ในระดับเกือบๆ แกนนำเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นคงรู้อะไรต่อมิอะไรอยู่พอสมควร บางทีหากสิ่งที่ฉันคิดถูกต้องล่ะก็นะ ยัยนั่นอาจจะมีส่วนร่วมในการฆ่าแม่ทูนหัวตั้งแต่ต้นจนจบเลยก็ได้”
อีฮโยอึลสงบปากสงบคำอยู่ครู่หนึ่ง คงเป็นเพราะพูดมานานจนปากชาไปแล้วก็ได้ หลังจากนั้นหล่อนจึงค่อยๆ ประสานมือทั้งสองข้าง พร้อมพูดต่อว่า
“อ้า จริงๆ เล้ย ฉันเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว นายจะเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์พลครั้งที่สองนี้ด้วยใช่ไหม คิมยูฮยอนเองก็อยู่ในกลุ่มผู้เข้าร่วมด้วยเหมือนกันนะ ว่าไง?”
ผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรด้วย ผมจ้องอีฮโยอึลด้วยท่าทีสุขุม ความคิดของหล่อนและความคิดของผมนั้นคล้ายกัน ไม่สิ ต้องบอกว่าคล้ายกับที่ผมจำได้สิถึงจะถูกต้อง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่สามารถเชื่อได้อย่างสนิทใจ ทว่าผมสามารถได้ข้อยืนยันมาหนึ่งประการจากการสนทนาในวันนี้ และสิ่งนั้นคือ ผมคิดถูกแล้วที่ช่วยรักษาชีวิตเธอเอาไว้
เป็นเวลาครู่เดียวที่ผมจัดการกับความคิดของตัวเอง รอยยิ้มอันแสนพออกพอใจปรากฏอยู่ภายในหัวใจ แล้วจึงตัดสินใจออกมาได้ว่า
จะช่วยชีวิตเธอเอาไว้เสียก่อน
อีฮโยอึลเอาแต่พูดเชิญชวนให้ผมเข้าร่วมอยู่อย่างต่อเนื่อง คงเป็นเพราะอยากจะได้คำตอบที่แน่นอนเสียกระมัง ผมจึงแสดงความคิดของตัวเองออกไปโดยการพยักหน้าตอบรับ เราแลกเปลี่ยนบทสนทนากันมาจนถึงระดับนี้แล้ว หากยังไม่รู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของคำสั่งเกณฑ์แล้วล่ะก็รับรองได้เลยว่าพวกเราสองคนเป็นพวกโง่เขลาเบาปัญญาอย่างแน่นอน