ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 475 ทำลายสันหลังของพวกมันอีกครั้งเถอะ!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ซ่งอู๋เลี่ยงห่วงว่าเยี่ยนตี๋จะทนไม่ได้นาน ไม่มีแรงพอสู้ต่อ

แต่อย่างน้อยในตอนนี้ อานุภาพดาบของเยี่ยนตี๋ก็ยังคงสยบใต้หล้าไปทั่วทุกสารทิศ

ถึงแม้ว่ามหาราชันปีศาจอัคคีจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ก็ถูกเยี่ยนตี๋กดดันจนเงยศีรษะไม่ขึ้นอยู่ชั่วขณะ

อีกด้านหนึ่ง พวกหวงกวงเลี่ย ผู้อาวุโสม่อ และซ่งอู๋เลี่ยงต่างได้รับบาดเจ็บเพราะมหาราชันปีศาจอัคคี ทั้งยังสูญเสียการคุ้มครองจากค่ายกลทะเลมรกตไร้ขีดจำกัด

เดิมทีก็ติดอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบด้านจำนวนอยู่แล้ว ครั้นตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างดุดันจากยอดฝีมือที่เป็นราชันปีศาจอัคคี ยอดฝีมือเผ่ามนุษย์จึงไม่ได้เปรียบนัก

มาตรว่าในตอนนี้เยี่ยนตี๋จะหยุดมหาราชันปีศาจอัคคีเอาไว้ได้ แต่พวกซ่งอู่เลี่ยงก็ไม่ได้ผ่อนคลายแม้แต่น้อย

ผู้อาวุโสม่อกล่าาวเสียงทุ้ม “วิกฤติการณ์ไม่ได้รับการแก้ไข เหตุผลที่มหาราชันปีศาจอัคคีเป็นมหาราชันปีศาจอัคคี ทุกคนย่อมทราบอยู่แล้วว่าเป็นเพราะเหตุผลพิเศษ”

พวกหวงกวางเลี่ยที่เป็นยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ได้ยินดังนั้น คิ้วพลันขมวดมุ่นขึ้น

แค่วิกฤติการณ์ก่อนหน้าก็ทำให้พวกเขาป้องกันไม่ไหวแล้ว

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาลืมวิกฤติการณ์อื่น

มหาราชันปีศาจอัคคีตัวแรกที่โลกแปดพิภพได้เจอในการรุกรานครั้งแรกจากปีศาจอัคคีในอดีต มีพลังเทียบเท่ากับยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สาม

แต่ที่ต้องแยกมหาราชันปีศาจอัคคีตัวนี้กับมหาราชันปีศาจอัคคีตัวอื่น เป็นเพราะว่ามันสามารถทำให้เพลิงไร้ขอบเขตของโลกปีศาจอัคคีไหลย้อนสู่โลกแปดพิภพที่ทางเชื่อมเขตแดนเพื่อกัดกร่อนฟ้าดินได้!

ในตอนนั้น เพลิงไร้ขอบเขตกลืนกินท้องฟ้า กัดกินผืนดิน ท้องทะเลที่ทะเลชั้นนอกทะเลตะวันออกสลาย หินโสโครกใต้ทะเลถูกทำลาย ฟ้าดินเองก็สูญสลาย

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลายเป็นเปลวไฟ คล้ายกับกลายเป็นโลกปีศาจอัคคี

การหมุนเวียนของปราณวิญญาณและการเคลื่อนไหวของชีพจรดินบริเวณทะเลชั้นนอกของทะเลตะวันออก ในโลกแปดพิภพแทบจะพัง่ทลายลงโดยสิ้นเชิง

จากการโน้มนำของมหาราชันปีศาจอัคคีตัวนั้น โลกปีศาจอัคคีคล้ายมีชีวิตเป็นของตัวเอง ประตูทางเชื่อมเขตแดนกลายเป็นปากขนาดยักษ์ของสัตว์ประหลาด คิดกลืนกินทั้งแปดพิภพ

สุดท้าย ภายใต้การนำของผู้สะเทือนสวรรค์ จ่านตงเก๋อ ยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ต้องใช้พลังทั้งหมด ถึงจะโจมตีปีศาจอัคคีให้ถอยร่น และหยุดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพราะโลกปีศาจอัคคีได้

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น อาณาเขตของทะเลตะวันออกก็ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะฟื้นคืนสภาพมาได้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่นานก็ถูกทำลายเพราะการเปลี่ยนแปลงชนิดเพลิงเผาทะเล ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติของแกนไฟใต้ดินอีกครั้ง

แต่การเปลี่ยนแปลงของทะเลตะวันออกที่ถูกไฟเผาก่อนหน้านี้ เทียบกับการทำลายที่โลกปีศาจอัคคีก่อให้เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

พูดจากอีกมุมมองหนึ่งก็คือ นั่นเป็นการรุกรานจากโลกใบหนึ่งสู่โลกอีกใบอย่างแท้จริง

และเพื่อขับไล่การกัดกร่อนจากโลกปีศาจอัคคีกลับไป สุดท้ายผู้สะเทือนสวรรค์จ่านตงเก๋อก็ต้องกลายเป็นตะเกียงดับแสง เสียชีวิตไปตั้งแต่วัยเยาว์ ในขณะเดียวกันยอดฝีมือจำนวนมากของโลกแปดพิภพก็ต้องสังเวยชีวิตของตัวเองด้วย

ผู้อาวุโสม่อที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาด้วยตัวเอง กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “มหาราชันปีศาจอัคคีตัวนี้น่าจะเพิ่งเลื่อนระดับได้ไม่นาน พลังของมันยังสู้ตัวในอดีตไม่ได้ แต่ก็เกรงว่าจะมีพลังในการโน้มนำเปลวไฟจากโลกปีศาจอัคคีมาโจมตี”

“เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมของโลกปีศาจอัคคี ปีศาจอัคคีจะมีพลังเพิ่มขึ้นมาก!”

ชายชรามีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาดูเหม่อลอยเล็กน้อย เหมือนกำลังคิดถึงเรื่องราวในอดีต

นั่นเป็นสงครามที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่ผู้อาวุโสม่อเกิดขึ้นมา ขณะนั้นเหมือนกับฟ้าดินถล่มทลาย และภัยพิบัติวันสิ้นโลกอย่างแท้จริง

ภาพมากมายที่ซ่อนไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ แต่มิอาจขจัดออกไปได้ตลอดกาล ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า

ในสงครามที่ตัดสินชะตากรรมของโลกแปดพิภพในครั้งนั้น ชายหนุ่มผู้สยบใต้หล้าที่มาจากเขากว่างเฉิงคนหนึ่ง เข่นฆ่ามหาราชันปีศาจอัคคีที่เหมือนกับเทพปีศาจ และให้ราชันปีศาจอัคคีขั้นที่สองอีกสี่ตัวพิการอย่างเหี้ยมหาญ ด้วยจำนวนหนึ่งต่อห้าบนทะเลตะวันออกที่กลายเป็นโลกแห่งเพลิง

ประกายกระบี่ที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าได้แยกโลกแห่งไฟ ไฟปีศาจไร้ขอบเขตถูกกดดันให้กลับไปยังทางเชื่อมเขตแดน

“จ่านสะเทือนสวรรค์ จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สอง ผู้สยบใต้หล้า ท่านสมกับเป็นอันดับหนึ่งในโลกแปดพิภพหลังมหาภัยพิบัติจริงๆ” ผู้อาวุโสม่อถอนใจ “แม้จางอาทิตย์ม่วงจะเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สาม แต่ก็ยังด้อยกว่าท่านนัก ถ้าหากท่านเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามสำเร็จ จะน่าเกรงขามถึงเพียงไหนกัน?”

“ถ้าหากท่านไม่จากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม อนาคตของท่านจะเป็นอย่างไร?”

สายตาของผู้อาวุโสม่อมองไปที่เยี่ยนตี๋ “วันนี้ผู้สืบทอดของท่านยังเป็นคลื่นลูกหลังไล่ทันคลื่นลูกหน้าแล้ว น่าเสียดาย เขาเพิ่งจะเลื่อนเป็นระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น”

“ถ้าหากคนหนุ่มผู้นี้เลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สองเหมือนกับท่าน เกรงว่าจะแข็งแกร่งกว่าท่านเสียอีก น่าเสียดายที่ฟ้าไม่ได้ให้เวลาเขามากพอ ไม่ให้เวลาพวกเรามากพอ ไม่ให้เวลาโลกแปดพิภพมากพอ!”

อันชิงหลินกัดฟันกล่าว “ถ่วงเวลาพวกมันไว้ที่นี่ก่อน อย่าให้มันมีโอกาสกลับประตูทางเชื่อมเขตแดนเด็ดขาด”

ในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะยากลำบากและมีอันตรายเกิดขึ้นมากเพียงใด แต่ถ้าหากประคับประคองไปจนกว่าหยวนเจิ้่งเฟิงกับเฉินลี่รีบตามมาสมทบ หลังจากจัดการปัญหาที่ปฐพีพิภพเสร็จแล้ว เรื่องนี้อาจจะสำเร็จ

ถ้าหากให้โลกปีศาจอัคคีจู่โจมและกลืนกินโลกแปดพิภพอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วทุกคนจะไม่มีทางทำอะไรได้อีก

ซ่งอู๋เลี่ยงแค่นเสียง “ปีศาจอัคคีมีนิสัยขี้โมโห ขอแค่กระตุ้นความโกรธของมันอย่างต่อเนื่อง พวกมันจะไม่ยอมถอยอีก”

ผู้อาวุโสม่อถอนใจส่ายหน้า “ขอแค่มหาราชันปีศาจอัคคีเข้าสู่แปดพิภพ การโจมตีจากโลกปีศาจก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว มันไม่รออยู่ที่ประตูทางเข้า อย่างมากความเร็วในการกัดกร่อนจากโลกปีศาจก็คงช้าไปบ้าง แต่ถ้ากลับไปรออยู่ที่ประตูทางเข้า ก็จะมีความเร็วมากขึ้น”

“ทางทะเลชั้นนอกของทะเลตะวันออกเกรงว่าน่าจะเละไม่เป็นท่าแล้ว”

ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างรู้สึกตึงเครียด

หวงกวงเลี่ยฟาดฝ่ามือโจมตีราชันปีศาจอัคคีจิ่งจงให้ถอย ดวงตากวาดไปทั่วบริเวณ เงียบงันไม่พูดจา

“ยังมีวิธี”

เสียงที่ดุดันและคมกริบประดุจดาบดังขึ้น

ทุกคนงงงันเล็กน้อย เสียงนี้มาจากเยี่ยนตี๋ที่กำลังสู้กับมหาราชันปีศาจอัคคีตัวนั้นอยู่

ทุกคนเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ ‘หรือเขาจะเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สองได้ทันที?’

เยี่ยนตี๋เหวี่ยงดาบหนึ่งออก ปะทะกับมหาราชันปีศาจอัคคีอีกครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกัน เขาก็ดีดนิ้วซ้ายขึ้น

ลำแสงสามสายลอยออกไป แยกกันไปหาผู้อาวุโสม่อ หวงกวงเลี่ย และซ่งอู๋เลี่ยง

เมื่อคนทั้งสามได้รับลำแสงแล้ว ก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาสาดประกายตกตะลึงออกมาตามลำดับ

“เมื่อโลกแปดพิภพเจอด่านยากในการรับมือกับศัตรูภายนอก ก็เป็นเวลาลงเรือลำเดียวกันแล้ว” เยี่ยนตี๋กล่าว

“เมื่อครู่ข้าถามทุกท่านว่ายังมีแรงเหลือไหมใช่หรือไม่? ในเมื่อมี เช่นนั้นก็สู้เถอะ”

ขณะที่พูด ที่เหนือศีรษะของเยี่ยนตี๋ก็ปรากฏลำแสงหลายสายพุ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นลวดลายอาคมสายแล้วสายเล่า ก่อนจะรวมกลุ่มกันกลายเป็นค่ายกลขนาดยักษ์

พวกหวงกวงเลี่ยสามคนมองหน้ากันเอง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่องช้า

ทุกคนขับเคลื่อนลมปราณอย่างเงียบเชียบพร้อมกัน บนศีรษะมีแสงวิญญาณพุ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นลวดลายอาคม จับตัวกันกลายเป็นค่ายกลที่แตกต่าง แต่เชื่อมต่อกันอย่างแน่นหนา

เยี่ยนตี๋ยกมือขึ้น ลำแสงหลายสายลอยออกมาอีกครั้ง ก่อนจะกลับกลายเป็นอาวุธที่มีแสงวิญญาณแวววาว และส่งกลิ่นอายไม่ธรรมดาหลายชิ้น

อาวุธเหล่านี้ลอยอยู่กลางอากาศ เชื่อมต่อกันเป็นกระบวนทัพ ครอบคลุมเยี่ยนตี๋ ผู้อาวุโสม่อ หวงกวงเลี่ย และซ่งอู๋เลี่ยงเอาไว้

ค่ายกลของแต่ละคนที่อยู่เหนือศีรษะพลันขยายตัวและเชื่อมต่อกัน กลายเป็นค่ายกลขนาดยักษ์

อาวุธที่ใช้แกนศิลาวิญญาณชั้นยอดสร้างขึ้นหลอมกับค่ายกลนี้

ฉับพลันนั้น อานุภาพสะเทือนฟ้าดินก็เกิดขึ้นในพริบตา

ยอดฝีมือฝ่ายปีศาจอัคคีทุกตัวที่มีมหาราชันปีศาจอัคคีเป็นผู้นำ ต่างเกิดความรู้สึกสั่นกลัวเพียงแค่มองดูอยู่ชั่วขณะ

เสียงของเยี่ยนตี๋สะท้อนกลางอากาศ “ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลที่จ้าวเกอบุตรของข้าได้มา จากการขุดค้นอารยธรรมโบราณก่อนมหาภัยพิบัติ มีอานุภาพไร้เทียมทาน”

“พวกเราไม่มีเวลาซักซ้อมกัน ต้องเร่งตั้งขึ้นมา จึงไม่อาจแสดงอำนาจทั้งหมดออกมาได้ แต่ก็มากพอจะใช้สู้กับปีศาจอัคคีได้”

“พวกมันความจำไม่ดีนัก วันนี้ทำลายสันหลังของพวกมันอีกครั้งเถอะ!”