ณ เมืองปี้เซียวแห่งดินแดนทางใต้ ภายในจวนเจ้าเมืองมีคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังรวมตัวกันเพื่อหารือถึงเรื่องบางอย่าง
“เป็นอย่างไร มีข่าวจากเสี่ยวโม่เอ๋อร์บ้างรึไม่?”
บุรุษวัยกลางคนรูปงามผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์หลักกล่าวด้วยสีหน้าแววตาเป็นกังวล
บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินเทียน—บิดาบังเกิดเกล้าของฉินอวี้โม่นั่นเอง เขาและคนอื่นๆเป็นกลุ่มคนที่เดินทางมาจากดินแดนอ้างว้างและเข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ในดินแดนเทพมายาแห่งนี้
“ท่านพ่อบุญธรรม เสี่ยวโม่เอ๋อร์คงจะยังมาไม่ถึงดินแดนเทพมายาแห่งนี้ หากนางมาถึงนานแล้ว มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ได้รับข่าวคราวของนางเลย”
ฉินจ้านกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเชิงปลอบประโลมฉินเทียนเพื่อมิให้เขากังวลมากจนเกินไป
ด้วยพรสวรรค์และฝีมือเก่งกาจของฉินอวี้โม่ หากนางมาถึงดินแดนเทพมายาแล้วจริงก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีข่าวคราวใดๆมาถึง พวกเขาพยายามสืบข่าวอยู่อย่างต่อเนื่องและไม่เคยได้ข่าวความคืบหน้าใดตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความได้เพียงว่าฉินอวี้โม่ยังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาในดินแดนเทพมายาแห่งนี้
“เฮ้ออ..มันก็คงเป็นดั่งที่เจ้าว่า มิฉะนั้นเราก็คงจะได้ข่าวจากนางบ้างแล้ว”
ฉินเทียนพยักศีรษะเบาๆและสีหน้าที่ตึงเครียดเริ่มคลายกังวลอย่างช้าๆ
“เจ้าติดต่อไปที่นครล่าฝันรึยัง?”
ฉินเทียนกล่าวขึ้นอีกครั้งขณะมองหน้าบุตรบุญธรรม
ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเขาเดินทางมาที่ดินแดนเทพมายาจากดินแดนอ้างว้าง พวกเขาก็ค้นพบว่าตนเองปรากฏอยู่ในอาณาเขตที่เป็นเขตอิทธิพลของดินแดนทางใต้
แม้เคยเป็นจอมยุทธ์มากฝีมือในดินแดนอ้างว้าง ทว่าเมื่อมาถึงดินแดนกว้างใหญ่แห่งนี้ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าตนยังขาดความแข็งแกร่งอีกมาก
เพราะเหตุนั้น เมื่อมาถึงที่นี่ ฉินเทียนจึงนำทุกคนไปซ่อนตัวในที่ปลอดภัยและฝึกยุทธ์พัฒนาฝีมือด้วยความตั้งมั่นแน่วแน่
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีก่อน เมื่อความแข็งแกร่งของพวกเขาพัฒนาขึ้นกว่าเดิมมาก ฉินเทียนก็ได้ตัดสินใจนำทุกคนออกมาเปิดเผยตัวและเริ่มขยายอำนาจอยู่ในเขตดินแดนทางใต้
พวกเขาเริ่มต้นจากการยึดอำนาจเมืองปี้เซียวแห่งนี้และทำการก่อตั้งขุมกำลังของตน ในระหว่างช่วงนี้ พวกเขาก็ค่อยๆพัฒนาพลังความแข็งแกร่งอย่างเงียบๆโดยไม่ทำตัวโดดเด่นนักจนในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นขุมกำลังระดับหนึ่งในดินแดนทางใต้
เมื่อคำนวณตามเวลาที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ก็น่าจะใกล้เข้ามาในดินแดนเทพมายาเต็มที เพราะเหตุนั้นฉินเทียนจึงส่งคนออกไปสืบข่าวและหาเบาะแสเกี่ยวกับนางอย่างต่อเนื่อง
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ค้นพบว่านครล่าฝันเป็นขุมกำลังใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มคนจากดินแดนหวนหลิง และตอนนี้บิดาและญาติหลายคนของเขาก็อยู่ในนครล่าฝันเช่นกัน
เพราะเหตุนั้น ฉินเทียนจึงสั่งให้ฉินจ้านหาทางติดต่อกับคนจากนครล่าฝัน การได้ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของนครล่าฝันจะเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว
“ท่านพ่อบุญธรรมขอรับ คนของเราเข้าไปที่นครล่าฝันและส่งสาส์นเชิญที่ท่านเขียนด้วยตัวเองไปถึงที่นั่นแล้ว ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะได้ยินข่าวตอบกลับมา”
ฉินจ้านกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เมืองปี้เซียวของพวกเขาตั้งอยู่ห่างไกลจากนครล่าฝันเป็นอย่างมาก แม้แต่การเดินทางโดยอสูรมายาที่บินได้รวดเร็วที่สุดในดินแดนนี้ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีกว่าที่จะไปถึงนครล่าฝันได้
ต้องกล่าวเลยว่าดินแดนเทพมายาแห่งนี้กว้างใหญ่กว่าดินแดนอ้างว้างมากยิ่งนัก
ทว่าขณะพูดคุยกันอยู่นั้น ใครบางคนที่มีลักษณะเหมือนเด็กรับใช้ก็วิ่งเข้ามาและกล่าว “ท่านผู้นำ มีแขกมาขอพบขอรับ”
“ใครรึ?”
เมื่อได้ยินว่ามีคนแขกมาพบ ฉินเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างมิอาจบรรยายและเอ่ยถามเด็กรับใช้ในทันที
“พวกเขากล่าวอ้างว่าเป็นสมาชิกของนครล่าฝันขอรับ”
บุรุษหนุ่มกล่าวตอบอย่างสุภาพ เขาเป็นเพียงเด็กรับใช้หน้าประตูของจวนเจ้าเมืองและเขามิอาจทราบได้เลยว่าฉินเทียนกำลังคิดสิ่งใด
เมื่อได้ยินว่าแขกที่มาพบคือคนของนครล่าฝัน ฉินเทียนและฉินจ้านก็มองหน้ากันด้วยแววตาตื่นเต้นทันที
ก่อนที่บุรุษหนุ่มจะกล่าวตอบ ทั้งสองก็พรวดออกไปด้วยความต้องการพบแขกที่ว่า
ทันทีที่มาถึงหน้าประตู ฉินเทียนก็พบกับกลุ่มคนหลายคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดียืนอยู่ไม่ไกล
“ท่านพ่อ น้องรอง!”
เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย แม้แต่บุรุษผู้แกร่งกล้าอย่างฉินเทียนก็เริ่มมีน้ำตารื้นในขอบตา เขาจ้ำอ้าวตรงเข้าไปและคุกเข่าลงบนพื้นทันที
“ฉินเทียนลูกอกตัญญูผู้นี้ขอคารวะท่านพ่อขอรับ”
ฉินเฟินฝึกยุทธ์อยู่ในนครล่าฝันตลอดหลายปีที่ผ่านมาและแทบไม่ออกมาข้างนอกให้ผู้ใดพบเห็น ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ จู่ๆเขาก็ได้รับจดหมายจากฉินเทียน
เขาจะลืมลายมือและสำนวนวาจาของฉินเทียนได้อย่างไร? เมื่อทราบว่าบุตรชายที่พลัดพรากอยู่ที่เมืองปี้เซียง พวกเขาก็รีบมุ่งหน้ามาที่นี่โดยเร็ว
เนื่องจากไม่ได้พบกับบุตรชายมานานเหลือเกิน แน่นอนว่าเขาก็ตื่นเต้นอย่างที่สุด
หลังจากข้ามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายหลายจุด ใช้เงินลงทุนไปอย่างมากมายและผ่านเวลาไปหลายเดือน ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัวในจวนเจ้าเมืองของเมืองปี้เซียง เมื่อได้พบฉินเทียน ความตื่นเต้นก็ฉายชัดในแววตาของพวกเขา
“ลุกขึ้นเถอะ”
ดวงตาของฉินเฟินแดงก่ำด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นและเขาตรงเข้าไปพยุงฉินเทียนลุกขึ้น
“พี่ใหญ่ ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง”
ฉินหยางเดินเข้าไปทักทายฉินเทียนอย่างมีความสุขเช่นกัน ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ
“น้องรอง”
ฉินเทียนโผเข้ากอดน้องชายอย่างอบอุ่นและตบไหล่เขาปุๆด้วยความดีใจไม่ต่างกัน
“ท่านพ่อบุญธรรม เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะขอรับ”
ฉินจ้านมองดูสีหน้าแห่งความสุขของบิดาบุญธรรมและพลอยยิ้มกว้างไปด้วย เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มและบอกให้ฉินเทียนพาคนอื่นๆเข้าไปข้างในเพื่อพูดคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะ
ฉินเทียนพยักศีรษะและกล่าวบอกให้บิดาของตนและคนอื่นๆเข้าไปข้างในจวนด้วยกัน
ภายในโถงกว้าง ทุกคนปลีกตัวออกไปแล้วโดยเหลือเพียงฉินเทียนและฉินจ้านที่ต้อนรับกลุ่มของแขกผู้มาเยือนเหล่านี้
“ท่านพ่อ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าปล่อยให้ท่านเป็นห่วงและเป็นกังวลมาตลอด ข้าเป็นลูกที่อกตัญญูจริงๆ”
หลังจากผายมือเชื้อเชิญให้ฉินเฟินนั่งลงบนบัลลังก์หลัก ฉินเทียนก็โค้งคำนับอีกหลายครั้งเพื่อแสดงถึงความรู้สึกผิดที่กัดกินใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เขาไม่มีโอกาสเติมเต็มหน้าที่รับผิดชอบในฐานะบุตรชายและไม่ได้แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อผู้เป็นบิดาแม้แต่น้อย เขารู้สึกว่านั่นเป็นความอกตัญญูอย่างที่สุดและรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้
“เจ้าโง่เอ๋ย ลุกขึ้นเถอะ ในที่สุดเราก็ได้พบกันแล้ว เจ้าจะเอ่ยวาจาเช่นนั้นเพื่ออะไรกันเล่า?”
ฉินเฟินกล่าวในขณะที่ฉินหยางเดินเข้ามาพยุงพี่ชายลุกขึ้นโดยเร็ว
ทุกคนยิ้มอย่างมีความสุขและนั่งลงทีละคน
“เด็กสองคนนี้คงจะเป็นบุตรชายและบุตรสาวของน้องรอง.. ฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ย”
เมื่อเห็นคนหนุ่มสาวที่ใบหน้าดูคล้ายคลึงกับฉินหยาง ฉินเทียนก็เข้าใจได้ในทันทีขณะหยิบกล่องสองใบออกจากแหวนมิติและยื่นให้กับคนทั้งสองพร้อมรอยยิ้ม “ลุงผู้นี้เพิ่งได้พบพวกเจ้าเป็นครั้งแรก ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะโตขนาดนี้แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พ่อและปู่ของพวกเจ้าโชคดีจริงๆที่มีเจ้าทั้งสองอยู่ข้างกาย พวกเจ้าคงจะผ่านความยากลำบากมามากมาย”
ฉินอี้เพ่ยและฉินอี้เฉียงไม่ลังเลและรับกล่องจากฉินเทียนทันทีก่อนโค้งคำนับด้วยความเคารพ
“ท่านลุง นั่นเป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้ว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องสุภาพเกินไปหรอกขอรับ”
แท้จริงแล้วฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ยก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับลุงใหญ่ผู้ลึกลับไม่น้อย
ฉินเทียนพยักศีรษะด้วยความพึงพอใจ บุตรทั้งสองของฉินหยางเป็นดังที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด หนุ่มสาวทั้งสองมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเลย รวมถึงยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตนที่พบได้ยาก
“จ้านเอ๋อร์ เจ้าก็เป็นลูกบุญธรรมของข้า แสดงความเคารพต่อท่านปู่และอารองของเจ้าเถอะ”
ฉินเทียนหันไปหาฉินจ้านซึ่งอยู่ด้านข้างพร้อมรอยยิ้มและบอกให้เขาคำนับทำความเคารพต่อฉินเฟินและฉินหยาง
แน่นอนว่าฉินจ้านไม่รอช้าและโค้งคำนับทันที “คารวะท่านปู่และอารองขอรับ”
“พ่อหนุ่ม ลุกขึ้นเถอะ”
ฉินเฟินยิ้มอบอุ่นขณะฉินอี้เฉียงเดินเข้ามาใกล้และทักทายฉินจ้านเช่นกัน
“พ่อของเจ้ากล่าวถึงเจ้าในจดหมายแล้ว แม้ว่าเป็นลูกบุญธรรม เจ้าก็ไม่ต่างจากพวกเราทั้งหมด เจ้าถือเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลฉินแล้วและเป็นหลานของข้าฉินเฟินผู้นี้ หากไม่ขัดข้อง เมื่อกลับไปครานี้ ข้าจะเพิ่มชื่อของเจ้าลงในพงศาวลีของตระกูลฉิน”
ในจดหมายจากฉินเทียนก่อนหน้านี้ เขาได้แนะนำฉินจ้านอย่างคร่าวๆแล้ว เมื่อได้พบกัน ฉินเฟินและคนอื่นๆต่างก็ชื่นชอบในพรสวรรค์อันโดดเด่นและความซื่อตรงของฉินจ้านอย่างยิ่ง
“ขอบคุณขอรับ ท่านปู่”
ฉินจ้านยิ้มและพยักศีรษะขอบคุณ จากวาจาท่าทางของคนตระกูลฉิน เขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจโดยที่ไม่มีความมุ่งร้ายใดๆแอบแฝง เป็นดังที่คาดคิดไว้จริงๆ ตระกูลฉินเป็นกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญกับความรักและความถูกต้อง
“เทียนเอ๋อร์ แล้วเสี่ยวโม่เอ๋อร์ล่ะ?”
ก่อนหน้าฉินเฟินและคนอื่นๆเดินทางมาที่เมืองปี้เซียว พวกเขาไม่เคยได้รับข่าวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และคิดมาเสมอว่านางน่าจะอยู่กับฉินเทียนนับตั้งแต่เดินทางไปตามหาเขาที่ดินแดนอ้างว้าง บัดนี้เมื่อไม่เห็นหลานสาว เขาจึงแปลกใจเป็นธรรมดา
“ท่านพ่อ เสี่ยวโม่เอ๋อร์ไม่ได้อยู่กับพวกเราขอรับ…”
เมื่อได้ยินคำถามของบิดา ฉินเทียนก็ขมวดคิ้วอย่างจนปัญญา
จากนั้นฉินจ้านก็ได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดนอ้างว้างให้ฉินเฟินและคนอื่นๆได้ทราบอย่างคร่าวๆ
“อะไรนะ? เป็นเพราะเจ้าหนุ่มตระกูลหานปกป้องเสี่ยวโม่เอ๋อร์ไว้ ตอนนี้จึงยังไม่แน่ชัดว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรรึ?!”
เมื่อได้ยินเรื่องราวที่หานโม่ฉือหายตัวไปเพราะปกป้องฉินอวี้โม่ไว้ ฉินเฟินและคนอื่นๆก็ทั้งตกใจ ซาบซึ้งใจและกังวลในเวลาเดียวกัน
พวกเขาทราบความสัมพันธ์และความรู้สึกระหว่างฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเป็นอย่างดี บัดนี้เมื่อมิอาจทราบได้ว่าหานโม่ฉือเป็นตายร้ายดีอย่างไร พวกเขาก็คาดเดาได้ว่าฉินอวี้โม่คงต้องเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก
น่าเสียดายเหลือเกินที่พวกเขามิอาจช่วยฉินอวี้โม่ได้เลย
“ขอรับ ข้าส่งคนออกไปตามหาและสืบข่าวเรื่องหานโม่ฉือมาตลอดทว่าไม่เคยได้เบาะแสใดๆกลับมา ในตอนนั้น หานโม่ฉือกล่าวว่าหากฉินอวี้โม่ตามหาเขาไม่พบ เขาจะมารอที่ดินแดนเทพมายาแห่งนี้ น่าเสียดายที่แม้พยายามสืบข่าวมานาน ข้ายังไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับหานโม่ฉือเลยสักนิด”
ฉินเทียนขมวดคิ้วมุ่น นี่เป็นสิ่งที่เขากังวลใจอย่างที่สุด แม้ว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่มากความสามารถและแกร่งกล้า หากเกิดเรื่องร้ายกับหานโม่ฉือ เขาก็ไม่มั่นใจว่านางจะทนรับได้
สีหน้าของฉินเฟินและคนอื่นๆบูดบึ้งเล็กน้อยด้วยความกังวลเช่นเดียวกัน
เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่เดินทางไปที่โลกมายา พวกเขาก็กังวลขึ้นมาเช่นกัน พวกเขาต่างก็ทราบว่าดีนางต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังเพียงใด
“ไม่ต้องห่วง จะไม่เกิดอะไรขึ้นกับหานโม่ฉือง่ายๆหรอก ข้าเชื่อว่าจะมีข่าวจากเขาในอีกไม่นาน”
ฉินหยางกล่าวเพื่อปลอบใจฉินเฟินรวมถึงปลอบใจตัวเองไปพร้อมกัน
ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงและเชื่อมั่นในความคิดนั้นเช่นกัน
“ท่านพ่อ แล้วเฟยเอ๋อร์ล่ะ?”
ฉินเทียนคิดมาเสมอว่าฉินเฟินและคนอื่นๆน่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับฉินอี้เฟยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าฉินอี้เฟยจะไม่ปรากฏตัวพร้อมกับพวกเขาในครานี้และอดกังวลในใจไม่ได้
“ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เฟยเอ๋อร์อยู่กับเรือนกระจกน้ำแข็งและยังเป็นถึงหัวหน้าผู้หลอมโอสถของที่นั่น เขายังมีหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองที่ต้องจัดการอยู่ เขาจึงมากับเราไม่ได้และมิอาจเปิดเผยความใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเราด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของเฟยเอ๋อร์ เขาจะดูแลตัวเองได้อย่างแน่นอน”
ฉินเฟินกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน ก่อนเดินทางมาที่เมืองปี้เซียว พวกเขาก็ได้ยินข่าวจากฉินอี้เฟยแล้ว เพราะเหตุนั้นตอนนี้เขาจึงไม่กังวลมากนัก
“ส่วนเด็กน้อยเสี่ยวโร่วนั่น เราก็ทราบแล้วว่านางอยู่ที่ใด”
เขากล่าวต่ออีกประโยคเมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ได้พบกับเสี่ยวโร่วครั้งล่าสุด ตัวตนของนางทำให้พวกเขาตกใจไม่น้อยเลย
“เสี่ยวโร่วรึ?”
ใบหน้าของเด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่งปรากฏในความคิดของฉินเทียนทันทีและเขาอดยิ้มอย่างพึงพอใจไม่ได้เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฉินอวี้โม่เคยบอกกับตน
ภายในเมืองปี้เซียว บิดาและบุตรชายได้พบกันอีกครั้งอย่างมีความสุข
ทว่าในดินแดนทางเหนือ ณ เมืองฉางอาน ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆได้รับข่าวที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
.