หลังจากยึดอำนาจดินแดนทางเหนือในวันนั้นได้สำเร็จ ฉินเฟิงก็เริ่มจัดการสิ่งต่างๆอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าผู้ปกครองที่แท้จริงของทั้งดินแดนทางเหนือก็คือฉินอวี้โม่ และสถานะของฉินเฟิงในดินแดนนี้ก็เป็นรองเพียงฉินอวี้โม่คนเดียวเท่านั้น
สำหรับตำแหน่งรองจากเขา ฉินเฟิงได้แต่งตั้งผู้อาวุโสใหญ่สี่คนและผู้อาวุโสอีกหลายคนเพื่อจัดการดูแลเรื่องต่างๆ
ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นอู่หลิวเฟิง ฮั่วชิงซาน ซวงเสวี่ยและเหมาซาน ในขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆก็คือผู้นำของขุมกำลังต่างๆในดินแดนทางเหนือที่ถือว่ามีความแข็งแกร่งพอสมควร
หลังจากผนึกกำลังขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายในดินแดนทางเหนือได้สำเร็จและให้คำมั่นว่าดินแดนนี้จะแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด ฉินเฟิงก็ได้สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปจัดการขุมกำลังของตนเอง
ในเมื่อเมืองฉางอานเป็นเมืองศูนย์กลางของดินแดนทางเหนือ ฉินเฟิง ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็อยู่ต่อในเมืองฉางอานและจัดตั้งให้เมืองฉางอานเป็นสำนักงานใหญ่สำหรับนัดพบกันของดินแดนทางเหนือ
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก ตอนนี้นางอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและพูดคุยกับเสี่ยวโร่วเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆในปัจจุบัน
ท้ายที่สุดเสี่ยวโร่วก็อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวนานถึงสิบวันก่อนกลับไปที่ตระกูลของตนเองเพื่อจัดการเรื่องบางอย่าง ส่วนฉินอวี้โม่ก็ออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวเช่นกัน เวลานี้ยังมีเรื่องอีกมากมายที่รอให้นางสะสาง
ในวันนี้ นางก็กำลังสนทนากับฉินเฟิงอยู่ในห้องโถงเมื่อจู่ๆซวงเสวี่ยก็ปรี่เข้ามาจากข้างนอก
เมื่อเห็นท่าทางเร่งรีบของซวงเสวี่ย ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็ขมวดคิ้วมุ่น
“ผู้อาวุโสซวงเสวี่ย มีเรื่องอะไรงั้นรึ?”
ฉินเฟิงกล่าวขณะรินน้ำแก้วหนึ่งยื่นให้ซวงเสวี่ยและรอฟังคำตอบของเขา
ซวงเสวี่ยรับน้ำและดื่มอย่างรวดเร็วก่อนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ท่านผู้นำ ข้าได้รับข่าวมาว่ามีสระกายสิทธิ์ปรากฏขึ้นมาในภูเขากายสิทธิ์ซึ่งอยู่ใกล้ภูมิภาคกลาง”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เคยได้ยินชื่อ ‘ภูเขากายสิทธิ์’ มาก่อน
บริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนทางเหนือและภูมิภาคกลางมีภูเขาลึกลับแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ภูเขากายสิทธิ์’ บนภูเขาแห่งนั้นเต็มไปด้วยอสูรมายาทุกประเภทซึ่งล้วนแต่ทรงพลังอย่างยิ่ง
ยิ่งขึ้นไปสูงเพียงใด อสูรมายาบนภูเขาก็ทรงพลังมากขึ้นเพียงนั้น ดังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดขึ้นไปถึงยอดสูงสุดมาก่อน
นอกจากอสูรมายานับไม่ถ้วน บนภูเขากายสิทธิ์ก็ยังมีวัสดุและวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถที่ล้ำค่าหายากอีกมากมาย นั่นเป็นสาเหตุที่ภูเขาแห่งนั้นเป็นสถานที่โปรดปรานสำหรับจอมยุทธ์ที่แกร่งกล้าจำนวนมาก
“สระกายสิทธิ์งั้นรึ? มันคืออะไรกัน?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้เมื่อได้ยินคำว่า ‘สระกายสิทธิ์’ ในเมื่อมันมีชื่อเรียกเช่นนี้และทำให้ซวงเสวี่ยมีปฏิกิริยาที่ตื่นเต้นอย่างชัดเจน มันต้องไม่ใช่สระธรรมดาๆอย่างแน่นอน
“ท่านผู้นำ สระกายสิทธิ์คือสระขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครทราบได้ว่ามันจะปรากฏขึ้นบนภูเขากายสิทธิ์เมื่อใด และมีข่าวลือหนาหูว่าหากจอมยุทธ์ฝึกฝนอยู่ที่นั่นเป็นระยะหนึ่ง มันจะช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้า มันจะช่วยให้ทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียนได้โดยตรง”
ซวงเสวี่ยเล่าข้อมูลที่มีให้กับฉินอวี้โม่และฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้พลังของฉินอวี้โม่อยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดและติดชะงักอยู่ในระดับนี้มานานพอสมควร ซวงเสวี่ยทราบดีว่าฉินอวี้โม่ต้องการทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียนยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ทว่าด้วยเหตุผลบางประการทำให้นางยังไม่มีโอกาสทะลวงพลังได้
หลังจากได้ยินข่าวเรื่องสระกายสิทธิ์ เขาจึงรีบมุ่งหน้ากลับมาแจ้งข่าวกับฉินอวี้โม่โดยเร็ว
ฉินอวี้โม่ก็ตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้ยินว่านางจะสามารถทะลวงพลังจากขอบเขตเซียนขั้นเก้าไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียนได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม หลังจากความตื่นเต้นชั่วขณะ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ว่ามันมิใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
“ในเมื่อสระกายสิทธิ์ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เหตุใดเราถึงเพิ่งได้ยินข่าวเกี่ยวกับมันล่ะ?”
หลังจากกล่าวข้อสงสัยที่มี ฉินอวี้โม่ก็มองซวงเสวี่ยพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
“ท่านผู้นำ สระกายสิทธิ์นั่นปรากฏขึ้นมาในภูเขากายสิทธิ์อย่างกะทันหัน ยิ่งไปกว่านั้น มีอสูรมายาทรงพลังจำนวนมากที่คุ้มกันอยู่ที่นั่นและยังมีผนึกพิเศษป้องกันไว้ แม้หลายคนทราบถึงผลลัพธ์ที่วิเศษของสระกายสิทธิ์ ทว่าก็ไม่มีใครที่สามารถเข้าไปได้”
แน่นอนว่าซวงเสวี่ยสืบข่าวมาแล้วและบอกกับฉินอวี้โม่อย่างไม่ปิดบัง
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนไตร่ตรองและเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย “ในเมื่อไม่มีใครที่สามารถเข้าไปได้ แล้วท่านทราบผลลัพธ์ที่วิเศษของสระกายสิทธิ์ที่ว่านี้ได้อย่างไรกัน?”
“ท่านผู้นำอาจจะยังไม่ทราบเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครที่สามารถเข้าไปได้ ทว่านี่ก็มิใช่ครั้งแรกที่สระกายสิทธิ์ปรากฏขึ้นมา”
ซวงเสวี่ยทราบว่าฉินอวี้โม่จะต้องถามเช่นนี้ เขาจึงยิ้มและกล่าวอธิบายอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้เมื่อนับร้อยปีก่อน สระกายสิทธิ์ก็เคยปรากฏขึ้นมาแล้ว ครานั้นจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากบุกเข้าไปในภูเขากายสิทธิ์ ทว่าสุดท้ายก็มีผู้แกร่งกล้าเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าไปในสระกายสิทธิ์ได้โดยบังเอิญ
ในตอนนั้นความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นอยู่เพียงขอบเขตเซียนขั้นเก้า ทว่าหลังจากใช้เวลาอยู่ในสระกายสิทธิ์นานเจ็ดวัน เขาก็ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้นได้โดยตรง
ด้วยเหตุการณ์ครานั้น ผลลัพธ์ที่แสนวิเศษของสระกายสิทธิ์จึงแพร่งพรายออกไปและกระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ของผู้คนมากมาย
เมื่อได้ยินคำอธิบายของซวงเสวี่ย แม้ว่าจะยังฉงนสงสัยไม่น้อย ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจที่จะเดินทางไปที่นั่นและสำรวจมันด้วยตัวเอง
พลังของนางติดชะงักอยู่ที่ขอบเขตเซียนขั้นเก้ามานานเกินไปแล้ว หากไม่สามารถทะลวงพลังไปสู่ขั้นต่อไป ความแข็งแกร่งของนางก็จะไม่พัฒนาไปมากกว่านี้ ซึ่งยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่รอให้นางสะสางและนางจะติดอยู่ที่ขอบเขตนี้ไปตลอดไม่ได้
ในเมื่อซวงเสวี่ยกล่าวว่าสระกายสิทธิ์มี ‘โอกาส’ ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้ ฉินอวี้โม่ก็จะเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง
“และสิ่งที่ทำให้ข้าตื่นเต้นยิ่งมิใช่เพียงเรื่องสระกายสิทธิ์นี้เท่านั้น ทว่าข้าได้ยินข่าวมาว่ามีโอกาสที่ยิ่งใหญ่อยู่ใต้สระกายสิทธิ์นั้น มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะคว้ามันไปได้และมันก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ การที่เราผนึกกำลังดินแดนทางเหนือได้เพียงไม่นาน หากเราได้โอกาสนั้นมาครอง มันจะทำให้ชื่อเสียงของเราแพร่สะพัดไปทั่วทั้งดินแดนและทำให้คนในดินแดนทางเหนือปรองดองกันมากขึ้น ฉะนั้นข้าจึงรีบกลับมาเพื่อรายงานเรื่องนี้ให้ท่านผู้นำได้ทราบ”
ซวงเสวี่ยกล่าวความคิดของตนออกไปและมันเป็นการพิจารณาถึงผลประโยชน์ของดินแดนทางเหนืออย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น จากข้อมูลที่เขาได้รับมา ครานี้ก็มีหลายขุมกำลังที่ส่งตัวแทนไปที่ภูเขากายสิทธิ์ลูกนั้น หากฉินอวี้โม่และพวกเขาสามารถแสดงฝีมือที่เหนือชั้นกว่าหลายขุมกำลังเหล่านั้นและได้โอกาสนั้นมาครอง พวกเขาจะสร้างชื่อในดินแดนทางเหนือได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น มันจะดึงดูดยอดฝีมืออีกมากมายมาเข้าร่วมกับดินแดนเหนือและทำให้ความแข็งแกร่งของทั้งดินแดนทางเหนือพัฒนาขึ้นต่อไป
ฉินอวี้โม่เข้าใจความคิดของซวงเสวี่ยและหันไปสบตากับฉินเฟิงพร้อมพยักศีรษะอย่างรู้กัน
“กล่าวกันว่าผนึกรอบๆสระกายสิทธิ์จะสลายหายไปหลังจากหนึ่งเดือน เมื่อถึงตอนนั้น หลายขุมกำลังจะพยายามไขว่คว้าหาโอกาสอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น หากเราต้องการเข้าร่วมการประชันฝีมือครานี้ เรามีเวลาเหลืออีกไม่มาก”
ซวงเสวี่ยกล่าวเสริมต่อไป เขาทราบดีว่าฉินอวี้โม่และฉินเฟิงมีแผนการอยู่ในใจแล้ว
“โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและยืนขึ้นพร้อมกล่าวอย่างชัดเจน “ศิษย์พี่ ข้าจะปล่อยให้การจัดการดูแลดินแดนทางเหนือเป็นหน้าที่ของท่าน แม้นิกายหงส์มังกรจะกลับไปแล้ว พวกเขาก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่ ระหว่างช่วงที่ข้าไม่อยู่ ข้าต้องฝากท่านปกป้องคุ้มครองดินแดนทางเหนือด้วย”
ฉินเฟิงพยักศีรษะตอบตกลงอย่างไม่คัดค้าน
“ท่านผู้นำ ท่านจะไปที่ภูเขากายสิทธิ์เพียงลำพังรึ?”
ซวงเสวี่ยได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และเข้าใจความหมายของนางทันที เขาลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามออกไป
“ผู้อาวุโสซวงเสวี่ย ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดีว่านิกายหงส์มังกรจะมาหาเรื่องพวกเราที่นี่ในอีกไม่ช้า ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของดินแดนทางเหนือ หากไม่มีใครอยู่คุ้มกันที่นี่ ดินแดนทางเหนือจะต้องตกไปอยู่ในมือของคนจากนิกายหงส์มังกรแน่ สำหรับโอกาสที่อยู่ใต้สระกายสิทธิ์นั้น มันไม่ได้หมายความว่ายิ่งมีคนไปมากเพียงใด โอกาสก็จะมากขึ้นเพียงนั้น เพราะฉะนั้นข้าจึงคิดว่าการที่ข้าไปเพียงลำพังจะสะดวกมากกว่า”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและอธิบายกับซวงเสวี่ย
ความแข็งแกร่งของดินแดนทางเหนือในปัจจุบันยังไม่แกร่งกล้ามากพอ หากนิกายหงส์มังกรนำทัพกลับมา พวกเขาอาจรับมือไว้ไม่ได้ เพราะเหตุนั้น การเดินทางไปยังภูเขากายสิทธิ์ครานี้ นางจึงไม่ควรระดมพลคนไปมากเกินไป
การเดินทางไปภูเขากายสิทธิ์ของฉินอวี้โม่ครานี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อหาทางทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียน สำหรับ ‘โอกาส’ ที่ไม่ทราบว่ามีอยู่จริงหรือไม่นั้น นางไม่สนใจหรือคาดหวังกับมันมากนัก
ในเมื่อถูกเรียกว่า ‘โอกาส’ แน่นอนว่ามันต้องมิใช่สิ่งที่ได้มาครองง่ายๆ
ซวงเสวี่ยพยักศีรษะและเข้าใจดีว่าแผนการของฉินอวี้โม่นั้นสมเหตุสมผลแล้ว
“ท่านผู้นำ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องระวังตัวด้วย เราจะรอท่านกลับมาพร้อมกับข่าวดี”
ซวงเสวี่ยพยักศีรษะและกล่าวอย่างเป็นห่วง
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับอย่างสบายๆ
“อวี้โม่ เจ้าจะไปเมื่อใด?”
ฉินเฟิงเอ่ยถามอย่างไม่ได้เป็นกังวล เขาทราบถึงความแข็งแกร่งและไพ่ตายของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของนางมากนัก
“ตอนนี้..”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ในเมื่อนางตัดสินใจแล้ว นางก็จะไม่ลังเลอีกต่อไป
ฉินเฟิงมิได้คัดค้านและเพียงกล่าวย้ำเตือนให้นางระวังตัว
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับก่อนถามหาแผนที่ระบุทิศทางของที่หมายและขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวมุ่งหน้าไปในทิศทางของภูเขากายสิทธิ์ทันที
นางเกิดความรู้สึกอยู่ในใจว่าจะมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายเกิดขึ้นในการเดินทางไปสู่ภูเขากายสิทธิ์ในครานี้
ในขณะเดียวกัน ขุมกำลังอื่นๆในดินแดนเทพมายาก็ได้รับข่าวนี้มาเช่นกัน
ภายในนครล่าฝัน มู่อวิ๋นเรียกพบโอวหยางชิงเฟิง ปิงเสวียน ฉีอวี้ ลั่วเฉินและเยว่ชิงเฉิงมาพบกันพร้อมหน้า
“ครานี้ข้าจะส่งพวกเจ้าทั้งห้าไปที่ภูเขากายสิทธิ์”
ทั้งห้าคนนี้มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเก้าและขาดโอกาสทะลวงพลังเช่นเดียวกับฉินอวี้โม่ หากสามารถทะลวงพลังโดยที่พึ่งพาสระกายสิทธิ์ได้ มันก็ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง
“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอธิการ”
ทั้งห้าพยักศีรษะตอบตกลงในทันที
“การเดินทางไปสระกายสิทธิ์ครานี้ พวกเจ้าอาจได้พบจอมยุทธ์เก่งกาจมากมาย ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของพวกเจ้าก็ไม่น่าจะมีปัญหาขัดข้องใดๆ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับการเก็บเกี่ยวที่คาดไม่ถึงกลับมาอย่างแน่นอน”
มู่อวิ๋นมองหนุ่มสาวทั้งห้าคนตรงหน้าและกล่าวแนะนำอย่างสบายๆ
เขาไม่กังวลเกี่ยวกับการเดินทางของทั้งห้าคนแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะพวกเขาเหล่านี้มีทั้งความแข็งแกร่งที่ถือว่าไม่อ่อนแอและมีกลยุทธ์ไพ่ตายซ่อนไว้พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเยว่ชิงเฉิงที่ถือเป็นผู้ทรงพลังของนครล่าฝัน
“ท่านอธิการวางใจได้เลย พวกเราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอน”
ทั้งห้าคนพยักศีรษะด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“อีกอย่าง.. ครานี้พวกเจ้าอาจได้พบกับอวี้โม่ก็เป็นได้”
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ มู่อวิ๋นก็กล่าวย้ำเตือนทุกคน เขาคำนวณเวลาที่ผ่านมาและเชื่อว่าฉินอวี้โม่น่าจะมาถึงดินแดนเทพมายาแห่งนี้แล้ว
เวลานี้ อู่ซิงก็ยังไม่ได้ส่งข่าวมาถึงนครล่าฝัน เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงยังไม่ได้รับข้อมูลยืนยันที่แน่ชัด
เมื่อได้ยินว่าอาจได้พบกับสหายที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่นๆก็คาดหวังและตั้งตารอ มิอาจทราบได้เลยว่าตอนนี้ฉินอวี้โม่เป็นอย่างไรบ้าง…
ภายในป่าลึกทางตะวันออก บุรุษรูปงามผู้หนึ่งก็ได้ยินข่าวเรื่องสระกายสิทธิ์เช่นกัน
รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของเขา และภายในชั่วพริบตา ร่างของเขาก็กะพริบหายไปโดยมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว…