บทที่****152: ร่างกายที่น่าเกรงขาม

เจ้าอ้วนคิดที่จะทำลายสมบัติวิเศษเหล่านั้น แต่หลังจากที่เขาโยนสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีออกไปนับสิบลูก มันไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาจึงคิดว่ามันคือสมบัติที่ล้ำค่ามาก แม้ว่ามันไม่อาจปลดปล่อยพลังของตนเองได้ในตอนนี้เพียงเพราะเจ้านายของมันระดับน้อยเกินไป แต่ความแข็งแกร่งของมันไม่เปลี่ยนแปลงเลย ถ้าหากคิดที่จะทำลายมันเจ้าอ้วนอาจจะต้องใช้งานสมบัติวิญญาณ

เจ้าอ้วนยังคงไม่ย่อท้อกับความคิดของตน เขาโจมตีสมบัติวิเศษนั้นไปเรื่อย ๆ แต่สมบัติวิเศษก็คือสมบัติวิเศษ แม้ว่าสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ระดับเซียนเทียนของเจ้าอ้วนจะดูมหัศจรรย์และระดับของพวกเขาทั้งสองคนเท่ากัน แต่มันก็ไม่อาจเทียบกับสมบัติวิเศษได้ ดังนั้นแล้ว การโจมตีของเจ้าอ้วนจึงทำได้เพียงแค่ถ่วงเวลาการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม และลดทอนความกดดันให้กับดาบของเขาเอง

แต่สำหรับเจ้าอ้วนเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แม้ว่าเขาจะต้องใช้ปราณจิตวิญญาณมากมายเพื่อซ่อมแซมดาบ แต่เมื่อเขาดื่มน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าเข้าไปแล้วทุกอย่างฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ตอนนี้ทำให้ฝ่ายศัตรูทั้งเก้าคนหดหู่อย่างมาก หลังเปิดฉากการต่อสู้มายาวนานถึงสี่ชั่วโมงจนตะวันคล้อยต่ำแล้ว พวกเขาทั้งหมดยังไม่สามารถทำลายดาบได้ อีกทั้งยังไม่สามารถหลีกหนีความจริงที่ว่าทั้งคณะเริ่มอ่อนแรงกันแล้ว

ขณะนั้นเอง ผู้ฝึกตนปีศาจอีกสามคนเดินเข้ามาบริเวณประตูเคลื่อนย้าย ทั้งหมดตอนนี้กลายเป็นสิบสองคน เมื่อจำนวนเพิ่มมากขึ้น ความมั่นใจของพวกเขาก็ยิ่งมากขึ้น ทั้งหมดระงับการโจมตีขณะเข้าสู่สมาธิรวบรวมปราณจิตวิญญาณอีกครั้ง

หลังได้พักหายใจสักครู่ การโจมตีเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ณ ตอนนี้จำนวนของผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมบุกโจมตีกลายเป็นแปดคน อีกสามอยู่ในตำแหน่งป้องกัน คนสุดท้ายยังคงอยู่ในห้วงสมาธิ เขาไม่โจมตี ไม่ป้องกัน แต่เลือกทำหน้าที่ผู้นำ

แต่เจ้าอ้วนกลับรู้สึกถึงอันตรายจากบุคคลผู้นั้น เขาจึงให้ความสนใจกับการป้องกันบุคคลดังกล่าวเป็นพิเศษ

แม้ที่จริงแล้วตั้งแต่เจ้าอ้วนได้แลกเปลี่ยนการฝึกกับฉุ่ยจิ้ง เขามีลางสังหรณ์ลึกลับ ในขณะที่เขากำลังปรับแต่งดาบและจัดการกับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เขารู้สึกถึงความผิดปกติที่ใต้ดิน โดยไม่ต้องคิดสิ่งใดต่อ เจ้าอ้วนกระโดดหลบทันที อึดใจถัดมา ปรากฏอสูรกายสีเหลืองพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน ถ้าหากไม่ใช่การตอบสนองที่รวดเร็วของเขา ชัดเจนว่าร่างกายคงถูกกัดขาดเป็นสิบท่อน

เจ้าอ้วนตกใจกับความรวดเร็วของอสูรกายตนนี้ ร่างกายของมันเต็มไปด้วยเกราะและสูงใหญ่กว่ายี่สิบฟุต มันมีกรงเล็บทั้งห้าที่แหลมคม อีกทั้งฟันของมันยังมีพลังทำลายล้างสูง สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความร้ายกาจของมัน

เมื่อเห็นลักษณะของอสูรกายอย่างชัดเจนแล้ว เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างตกใจ “อสูรปฐพี!”

“ถูกต้อง นี่คืออสูรกายขั้นสี่ อสูรปฐพี!” ขณะนั้นเขากล่าวต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าของมันแล้ว ความแข็งแกร่งของมันนับว่าไม่เลวและยังฉลาดมาก เจ้าไขมันสารเลวเอ๋ย ในตอนนี้มีคนโจมตีเจ้ามากพอแล้วจากด้านบน ส่วนข้าจะโจมตีเจ้าจากใต้ดิน แม้ว่าเจ้าจะมีสามหัวหรือหกแขนก็ไม่สามารถหลีกหนีความตายพ้น! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

เจ้าอ้วนเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดบุคคลผู้นี้จึงทำให้เขารู้สึกว่าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เป็นเพราะว่าเขาเลี้ยงดูอสูรกายไว้ใกล้ตัวนั่นเอง อีกทั้งยังเคลื่อนย้ายจิตวิญญาณของตนเองไปยังอสูรปฐพีอย่างรอบคอบ ทุกอย่างถูกวางแผนมาอย่างดี ในตอนนี้เจ้าอ้วนตกอยู่ในอันตรายอย่างถึงที่สุด แต่แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างเลวร้าย เขาก็ไม่ได้นึกเกรงกลัวแต่อย่างใด เขากล่าวออกมาอย่างเหยียดหยัน “เจ้าสัตว์ตัวน้อยนี่คือสิ่งใดกัน? คิดหรือว่ามันจะทำอะไรข้าได้?” หลังจากที่เขากล่าวคำ เขายังคงโจมตีบุคคลบนพื้นดินต่อไปขณะเลิกสนใจอสูรปฐพีอย่างไม่มีเยื่อใย

เมื่อเห็นเจ้าอ้วนไม่สนใจแม้สักนิด ผู้ฝึกตนปีศาจโกรธจัดพร้อมคำรามออกมาทันที “ไขมันสารเลว เจ้าหาญกล้าที่เพิกเฉยต่อข้างั้นหรือ? จงตายซะ!” ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาพุ่งเข้าหาเจ้าอ้วนทันที กรงเล็บของมันพุ่งเข้ามาที่คอของเจ้าอ้วนเพื่อหวังที่จะขย้ำคอที่น่ารังเกียจให้หายไปจากโลกนี้เสีย แม้ว่าอสูรปฐพีจะมีความสามารถในการต่อสู้ที่ดีและมีความคล่องตัวอย่างมาก แต่หากอยู่บนพื้นมันหาได้ว่องไวแต่อย่างใด ความเร็วของมันถูกจำกัดด้วยขาที่แข็งกระด้าง เจ้าอ้วนสามารถหลบการโจมตีเหล่านั้นอย่างง่ายดายขณะสนใจแต่การโจมตีจากบนพื้นดินอย่างยี่หระ

ในขณะที่ผู้ฝึกตนอสูรกายเห็นฉากตรงหน้า เขาเข้าใจได้ทันทีว่าตอนนี้ตนได้กลายเป็นของเล่นให้กับเจ้าอ้วน ความเร็วเพียงเท่านี้ไม่สามารถจับกุมได้ ไม่สามารถแม้แต่จะสัมผัสเสื้อคลุมด้วยซ้ำ เรียกได้ว่ายังห่างชั้นเกินไป

ผู้ฝึกตนอสูรกายเริ่มโกรธเกรี้ยวหลังโจมตีไปสองถึงสามครั้ง แต่เจ้าอ้วนยังคงสบายอกสบายใจ สุดท้ายเขาจึงค่อยทราบว่าไม่อาจสัมผัสเนื้อหนังของชายอ้วนแต่ดูคล่องแคล่วนี้ได้เลย เขาหยุดการโจมตีเจ้าอ้วนทันทีพร้อมเปลี่ยนเป้าหมายไปที่หานปิงเอ๋อที่กำลังอยู่ในสมาธิเพื่อฟื้นฟูปราณจิตวิญญาณ

“ไขมันสารเลว แม้ข้าไม่อาจจับต้องตัวเจ้า แต่คิดหรือว่านางนั่นข้าจะไม่อาจสัมผัส? ข้าจะฉีกนางออกเป็นชิ้น ๆ ต่อหน้าเจ้า!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาพุ่งเป้าหมายไปที่หานปิงเอ๋อทันทีพร้อมเสียงคำรามที่ดังสนั่น

แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะอยู่ในสมาธิ แต่นางสามารถรับรู้เหตุการณ์ภายนอกได้เป็นอย่างดี อาการบาดเจ็บของนางหนักเกินไป อีกทั้งยังสูญเสียเลือดมาก นางไม่สามารถใช้เวลาอันสั้นเพื่อฟื้นฟูได้ ดังนั้นการทำสมาธิของนางเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ในขณะที่อสูรปฐพีเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ตน นางตื่นขึ้นโดยทันที แต่อาการของนางสาหัสนัก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเคลื่อนไหวหลบหลีกได้ทัน นางทำได้เพียงมองไปยังอสูรปฐพีที่กำลังพุ่งเข้ามา ลมหายใจที่น่ารังเกียจของอสูรปฐพีอยู่ชิดกับใบหน้าของนาง ในขณะนั้นหานปิงเอ๋อไม่คาดหวังสิ่งใดอีกต่อไป นางปิดตาลงพร้อมกับรอความตายที่กำลังจะมาถึง

แต่ในจังหวะสุดท้าย เจ้าอ้วนปรากฏตัวขึ้นอย่างอัศจรรย์ตรงหน้าของนางอีกครั้งพร้อมกับปกป้องนางจากอสูรกายขั้นที่สี่อย่างรวดเร็ว

ผู้ฝึกตนอสูรกายเห็นดังนั้น เขายิ้มออกมาอย่างยินดีพร้อมกางกรงเล็บออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความหวังที่จะฉีกร่างของเจ้าอ้วนเป็นชิ้น ๆ ด้วยพลังของอสูรกายขั้นที่สี่แน่นอนว่าสามารถฉีกร่างกายของมนุษย์ได้เป็นชิ้น ด้วยกรงเล็บที่หนาและฟันที่คมของมันเทียบเท่ากับการโจมตีด้วยอุปกรณ์วิเศษระดับต่ำเลยทีเดียว แม้ว่าเจ้าอ้วนจะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่ร่างกายของเขาก็ไม่อาจแข็งแกร่งเทียบเท่ากับอุปกรณ์วิเศษอย่างแน่นอน

หลังจากเสียงคำรามของอสูรกายปฐพี กรงเล็บที่แหลมคมปักบนหน้าอกของเจ้าอ้วนเกิดเสียงฉีกขาดดังสนั่นในอากาศ เสื้อคลุมของเจ้าอ้วนขาดออกเป็นชิ้น ๆ ในขณะนั้นเลือดของเจ้าอ้วนกระจายเต็มใบหน้าของอสูรกาย

ผู้ฝึกตนอสูรกายที่สามารถโจมตีเจ้าอ้วนได้กลับไม่ยินดี เขารู้สึกตกใจเพราะว่ากรงเล็บของอสูรกายไม่สามารถสร้างอาการบาดเจ็บสาหัสให้กับเจ้าอ้วนได้เลย ในตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังโจมตีสมบัติวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าผิวหนังของเจ้าอ้วนจะฉีกขาด แต่ก็ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่กระดูกด้านในได้

ในตอนนี้ผู้ฝึกตนอสูรกายไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีกต่อไป ร่างกายของมนุษย์สามารถแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร? แม้แต่ผู้ฝึกตนบ่มเพาะกายยังไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ บุคคลผู้นี้อยู่ในระดับเซียนเทียนเท่านั้น เขาไม่ควรจะป้องกันกรงเล็บของอสูรกายขั้นที่สี่ได้ อีกทั้งไขมันบัดซบนี้ยังเป็นผู้ฝึกตนสายฟ้าอีกด้วย แล้วเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?

ในขณะที่ผู้ฝึกตนอสูรกายกำลังมึนงง เจ้าอ้วนกำลังโกรธจัด ตั้งแต่ต่อสู้มานี่คือครั้งแรกที่เขาบาดเจ็บ ในครั้งที่เขาถูกโจมตีโดยผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทั้งสี่คน เขายังสามารถหลบหนีได้โดยไร้อาการบาดเจ็บ แต่ในตอนนี้เขากลับได้รับการบาดเจ็บจากสิ่งที่น่ารังเกียจตนนี้ แม้ว่าบาดแผลจะลึกเพียงไม่กี่เซนติเมตร แต่มันเจ็บ! กรงเล็บทั้งสิบพร้อมความยาวสองฟุตฝากรอยแผลไว้บนหน้าอกของเขา ทำให้ร่างกายของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อจากความโกรธ เจ้าอ้วนโกรธจัดจนลืมใช้สมบัติวิญญาณหรือแม้แต่สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เขากำหมัดแน่นพร้อมกระแทกเข้าที่ใบหน้าของอสูรกายทันที!

กำปั้นที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าพร้อมทั้งกล้ามเนื้อที่เป็นเลิศของเขาฉีกผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมกระโชกอย่างรุนแรงพร้อมทั้งเสื้อผ้าฉีกขาด! หลังจากนั้น เกิดเสียงดังสนั่นราวกับเหล็กกระแทกกับโต๊ะไม้!

กำปั้นของเจ้าอ้วนปะทะเข้าที่คางของอสูรปฐพี จากนั้นฉากที่น่าตกใจได้เกิดขึ้นต่อทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น หัวของอสูรกายถูกเป่ากระเด็นภายในกำปั้นเดียว! คอของมันหล่นสู่พื้นดินราวกับใบไม้ร่วง พร้อมกับเลือดที่พุ่งออกมาราวกับหยาดฝน ในขณะนั้นผู้ฝึกตนอสูรกายที่นั่งสมาธิอยู่ร่ำไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด เขาบ้วนเลือดออกมาก้อนใหญ่พร้อมล้มลงกับพื้นทันที เพราะว่าอสูรของเขาถูกสังหาร ส่งผลให้จิตวิญญาณของเขาบาดเจ็บอย่างหนัก

แม้ว่าเขาจะล้มลงไปแล้ว แต่เขายังคงพยายามที่จะยืนขึ้นและตะโกนออกมาอย่างสับสน “เป็นไปไม่ได้! ร่างกายของเจ้ามันคืออะไรกัน! แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิยังไม่อาจมีร่างกายเช่นนี้ได้!”

หานปิงเอ๋อรอดพ้นจากความตายอีกครั้งโดยบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนาง เกิดความรู้สึกที่ยุ่งยากขึ้นภายในจิตใจของนางอีกครั้ง แต่นางไม่ใช่คนที่แสดงออกได้ดีนัก ดังนั้นนางจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาเพียงแต่ยื่นผ้าให้เขาเพื่อซับเลือด

“ขอบคุณมากศิษย์น้อง!” เจ้าอ้วนไมได้มีพิธีรีตองมากนัก เขากล่าวขอบคุณอย่างเรียบง่าย เขาหยิบผ้าที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของหานปิงเอ๋อและเช็ดเลือดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชากับผู้ฝึกตนอสูรกาย “ข้าเพียงแค่หนังหนาและมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เจ้าคิดว่าจะทำอะไรกับข้าได้?”

เมื่อผู้ฝึกตนอสูรกายได้ยินเช่นนั้น เขาแทบจะตายตกไปเพราะโกรธจัด ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปอย่างขุ่นแค้น “ต่อให้ผิวหนังของเจ้าจะหนาเพียงใด และกล้ามเนื้อจะแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า แต่วันนี้เจ้าไม่อาจหลีกหนีความตาย!”