เสียงการเดินทัพอย่างเป็นระเบียบดังกึกก้อง เสียงสะท้อนที่ทรงอำนาจของพวกเขาสั่นสะเทือนโลกา ฝุ่นควันลอยล่องสูงเสียดฟ้า สิ่งต่างๆนี้แสดงถึงการมาของกองทัพอันยิ่งใหญ่ ฝุ่นควันจะเกิดเป็นรูปดอกเห็ดเนื่องจากความอลม่านหากเป็นเพียงกองกำลังธรรมดา นั้นเป็นเพราะการเดินทัพที่เป็นระเบียบจักไม่ก่อให้เกิดฝุ่นควันที่สับสนเหล่านั้น
เสียงอันยิ่งใหญ่ของการเดินทัพทำให้เกิดความรู้สึกถึงความสั่นสะเทือน เสียงเคลื่อนทัพน่าเกรงขามราวกับไม่มีกองกำลังใดในโลกที่สามารถหยุดพวกเขาจากการเดินไปข้างหน้าได้
” จวินวูอี้คู่ควรกับชื่อเสียงสกุลจวินอย่างแท้จริง เขาเคลื่อนไวด้วยความมั่นคง ผู้คนทำได้เพียงยอมรับสิ่งที่เขาทำของเขาหลังจากได้เห็น ”
ตงฟางเหวินชิงยืนบนยอดไม้ เขามองไปไกลและถอนใจ
” เจ้าเด็กผู้นั้นน่าทึ่งจริงๆ ”
ตงฟางเหวินเจี้ยนและ ตงฟางเหวินต้ายืนอยู่ข้างๆเขา พวกเขามิอาจกลั้นไม่ถอนใจได้
สามารถเห็นกองทหารม้าจำนวนหนึ่งนำหน้าจวินวูอี้ได้ หากมองออกไป หน่วยเหล่านี้พุ่งไปข้างหน้าราวกระแสน้ำเชี่ยว แม้แต่ม้า ก็ดูเหมือนจักยกและวางกีบเท้าอย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจักมองจากด้านใด … ข้างหน้า ข้างหลัง หรือด้านข้าง … ทุกสิ่งเคลื่อนที่ตรงไปข้างหน้า และสม่ำเสมอ ความสม่ำเสมอของพวกเขาดูราวกับการใช้มีดหั่น
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงผลของวินัยที่มั่นคง สม่ำเสมอ นอกจากนี้ ใบหน้าของทหารแต่ละคนเต็มไปด้วยความภาคภูมิ นี่คือลักษณะของกองทัพ กองทหารที่ขาดจิตวิญญาณและความสามัคคี้จักไม่มีสีหน้าเช่นนี้
แม้แต่คุณชายน้อยจวินยังต้องสะดุ้งเมื่อได้เห็นกองทัพอันยิ่งใหญ่เช่นนี้
ต้องรู้ว่ามีเพียงกองทหารที่อยู่ภายใต้การนำของจวินวูอี้เท่านั้น ที่จักได้รับโทษทางวินัยอย่างเหมาะสมในช่วงที่จวินโม่เซี่ยออกจากทัพหลักไป อย่างไรก็ตาม กองกำลังส่วนตัวของสกุลต่างๆก็ได้เข้าร่วมทัพนี้ด้วย กองกำลังส่วนตัวเหล่านี้ได้รับมอบหมายให้เป็นองคลรักษ์สำหรับเหล่านายน้อยที่เข้าร่วมทัพ แต่กระนั้น เหล่ากองกำลังส่วนตัวนั้นมิได้มีวินัยดั่งเช่นทหารอื่นๆ ความจริง พวกเขาเป็นดั่งม้าพยศ เช่นนั้นจึงเป็นสิ่งน่าประหลาดใจที่พวกเขาได้รับการลงโทษทางวินัยและปฏิบัติตามภายในเวลาหนึ่งเดือน
ราวกับลุงสามจวินมีฝีมือการควบคุมกองทหารที่เป็นเลิศ
คุณชายน้อยจวิน มิได้คุ้นเคยกับกิจการทหารแม้แต่น้อย แต่ เข้ารู้ว่าไม่ง่ายที่จักทำเช่นนั้น เช่นนั้น คุณชายน้อยจวินรู้ว่าเขาจักพบปัญหาอย่างมากหากตำแหน่งของเขาและลุงสามสลับกัน
จวินโม่เซี่ยนำคน สองร้อยห้าสิบของเขามาจัดพิธีต้อนรับ อย่างไรก็ตาม เขาได้พบกับใบหน้าเย็นชา จวินโม่เซี่ยเป็นสัตว์ร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขายิ้มให้กับใบหน้าเยือกเย็นนี้เนื่องเพราะมันเป็นของลุงสามของเขา จวินวูอี้
จวินวูอี้มองไปยังหลานของเขาด้วยสีหน้าจริงจัง อย่างไรก็ตาม หัวใจของเขาไม่รู้ว่าจักหัวเราะหรือร้องไห้ดี .กองหน้าทำตัวเช่นนี้หรือ ? ปล่อยคนของเจ้าไม่ต่างจากการปล่อยแกะเข้าป่า พวกมันจักหายไปอย่างไร้ร่อยรอยเป็นปกติ และ ไม่มีการแจ้งข่าวความก้าวหน้าให้เราในแนวหลังรู้ ข้าไม่เคยได้ยินแนวหน้าที่ทำภารกิจเช่นนี้มาก่อน ความจริง เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดมาก่อน
คุณชายน้อยจวิน ทำได้ดีในการจัดการเส้นทางข้างหน้า กองทหารไม่ประสบกับปัญหายุ่งยากใดๆ วิธีการของคุณชายน้อยจวินอาจไม่เหมาะสมและชัดเจน แต่เขาได้ทำงานสำเร็จแล้ว ดังนั้น กองทหารจึงไม่เผชิญกับปัญหาใด จวินวูอี้พอใจกับเรื่องนี้มาก เบื้องบนก็พึงพอใจกับเรื่องนี้เนื่องจากพวกเขาได้รับแจ้งถึงความพยายามนี้ …อย่างน้อยก็ไม่มีผู้ใดพยายามแก้ปัญหา
มีเพียงปัญหาเดียวคือเขาไม่พยายามติดต่อกับทัพหลัก
แล้ว คนที่ไม่รู้ถึงความพยายามของเขา ? เขาเชื่อว่าเจ้าเด็กเหลือขอของสกุลจวินนั้นไร้ความรับผิดชอบ และ พวกเขายกความดีความชอบให้แก่ ขุนพลจวินในความจริงที่ว่า กองทัพมิได้เจอกับปัญหาใดๆระหว่าการเดินทาง แม้แต่ผู้อาวุโสจวิน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังในนครเทียนเชียง ได้มารับความดีความชอบนี้ด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามปัญหาที่ดูเหมือนจักร้ายแรงกว่านั้นคือ มีคนจำนวนมากที่ไม่รู้ถึงความพยายามอย่างมากของจวินโม่เซี่ย ยกตัวอย่างเช่น ..หากมีทหารอยู่หนึ่งร้อยนาย .. เก้าสิบเก้านายจักบอกว่ามันเป็นเพระการทำงานหนักของคุณชายสามจวินหรือผู้เฒ่าจวิน
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นปัญหาในการโน้มน้าวใจผู้คนจำนวนมาก การกระทำของคุณชายน้อยจวินหากมองเผินๆนั้นดูเหมือนจักไร้ระเบียบวินัย เช่นนั้น การรักษาคำสั่งของเขาจักได้รับการละเว้นได้อย่างไรเว้นเสีแต่เขาจักต้องโดนลงโทษ ?
ดังนั้น ผู้บัญชาการจวินจำต้องตำหนิจวินโม่เซี่ยอย่างมาก คุณชายน้อยเล่นตามเกมส์ได้อย่างดี เขาเลิกคิ้วด้วยความอับอายและมองต่ำ เขาทำตัวดั่งผู้ที่ ประจบประแจงด้วยท่าทางงุนงง คุณชายน้อยจวินแสร้งว่าน้าสามกำลังยกย่องความพยายามของเขาอยู่ อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยมิได้ฟังสิ่งที่น้าสามาของเขาตำหนิ และเกือบหลับในตอนที่มันจบลง
คุณชายสามจวินง่วนอยู่กับการระบายโทสะของเขาใส่หลานชายเมื่อเขาสัมผัสถึงสายตาที่หดหู่ที่จับจ้องมา เช่นนั้น ผู้บัญชาการจวินจึงจำต้องอธิบายการเตรียมค่ายให้กองทหารด้วยประโยคสั้นๆ จากนั้น เขาจึงสิ่งให้เหล่าทหารถอยไป
” อืม ! ขุนพลจวินมีจิตสังหารและอำนาจที่ยอดเยี่ยม ! อำนาจองเจ้าเพิ่มขึ้นมากจากเมื่อสิบปีที่ข้าได้เห็นเจ้า เจ้าส่งหลานชายเพื่อเป็นกองหน้า และเจ้ากลับดุด่าเขาอย่างมากแม้ว่าเขาจักทำงานได้สำเร็จอย่างน่างพึงพอใจ แต่ เข้ามิได้ยินคำชมจากปากเจ้าแม้แต่คำเดียว นั่นเป็นวิธีการฝึกฝนที่ไร้ปราณีอย่างแท้จริง เจ้าเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ! ”
น้ำเสียเย้ยหยันดังมาจากที่ใหนสักแห่ง
แสงเยือกเย็นเปล่งประหายในดวงตาจวินวูอี้ ขณะที่คิ้วคมราวกระบี่ของเขายกขึ้น
” ผู้ใด ? ออกมา ! ”
” พวกเราออกมาแล้ว พวกเราออกมาแล้ว อย่าบอกข้าว่าท่านขุนพลหวาดกลัว ? “
มีเสียงฉึบดังขึ้นขณะที่บุรุษสามคนเดินออกมาจากกระโจมพวกเขา
” พี่ใหญ่ตงฟาง ? “
จวินวูอี้อุทานด้วยความยินดีก่อนเขามองไปอีกทาง
” พี่สองตงฟาง และพี่สาม ! เป็นท่านจริงๆ ! ”
ดวงตาของจวินวูอี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหลังจากอุทานประหลาดใจ สีหน้าของเขาไม่พอใจอย่างมาก
” อืม ! แน่นอนเป็นพวกเรา ! เจ้ามุ่งหน้าไปเทียนฟาได้รวดเร็วยิ่ง จวินวูอี้ เจ้าอยากตายหรือ ? เจ้าเบื่อชีวิตแล้วหรือ ? “
วาจาที่ออกมาจากปากของ ตงฟางเหวินชิงนั้นฟังดูห้าวและเหน็บแนม แต่สีหน้าของเขามิได้เคร่งเครียด คนจักไม่มีปัญหาในการแยกแยะความเอาใจใส่ในว่าจาเหล่านั้นหากพวกเขาสามารถแยกแยะได้
ความแค้นของพี่น้องทั้งสามที่มีต่อสกุลจวินมิได้รุนแรงมากมาย พวกเขาเพียงระบายโทสะเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น จิตใจของพวกเขานั้นอุบอุ่นเมื่อพวกเขาได้เห็นว่าหลานชายในข่าวลือของพวกเขานั้นมีแนวโน้มที่ดี เช่นนั้น พวกเขาจึงรู้สึกไม่พอใจต่อสกุลจวินน้อยลง
สิบปีผ่านไปนับแต่โศกอนาฏกรรมนั้น และแน่นอนว่าจวินวูอี้เป็นเหตุของเรื่องทั้งหมด … แต่เขาก็เป็นเหยื่อของมันเช่นกันมิใช่หรือ ? ความจริง เขาเป็นผู้ที่เคราะห์ร้ายที่สุด ! เขาใช้ชีวิตเป็นคนพิการมาสิบปี และเขาใช้ชีวิตด้วยความสำนึกผิดมาสิบปี คนผู้นั้นได้ถูกบังคับให้รบโทษจากความทุกข์ยากของเหล่าผู้คน ที่แก่ว่านั้น … จวินวูอี้ไม่รู้แม้แต่เหตุการณ์ในตอนเริ่ม และ สิ่งต่างๆ นั้นยากเกินรับมือแล้ว ในตอนที่จวินวูอี้ได้มารู้สถานะของ ฮั่นหยานโย่ว
พวกเขามองไปยังจวินวูอี้ และรู้ว่าสิบปีที่แบกรับความผิดนั้นทำให้เขาเหน็ดเหนื่อย ทันใดนนั้นพวกเขาก็รู้สึกผิดและอับอายเนื่องด้วยรู้ว่าจวินวูอี้ได้ใช้ชีวิตอย่างโศกเศร้าและยากลำบากมาจลอดสิบปี
พวกเขารู้สึกล้ำลึกกับน้องสาว แต่พวกเขาได้ปลดปล่อยความโกรธไปเมื่อสิบปีที่แล้วโดยการสังหารหมู่มากมาย เมื่อเวลาผ่านไป และเวลานี้ความโกรธก็เหมดไปนานแล้ว มันมิได้ตราตรึงหัวใจเขาดั่งเช่นที่เคยเป็น …
อย่างไรก็ตาม กับจวินวูอี้นั้นต่างไป เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะเขา และความจริงนั้นยังคงเป็นเช่นนั้นแม้นว่าไม่ใช่ความตั้งใจ …
จวินวูอี้ไม่ได้ตังใจ แต่เขายังรู้สึกผิด เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น แต่มันได้กลายเป็นภาระอันหนักอึ้งในชีวิตของเขา …
ขุนพลจวินรู้สึกราวกับหัวใจของเขาถูกกัดกินด้วยมากมายทุกค่ำคืน ความเจ็บปวดนี้เขาต้องประสบมาตลอดสิบปี .พวกเรายังคงดื่ม และใช่ร่างตัวเองเพื่อต่อสู้ที่บ้าคลั่งเพื่อปลดเปลื้องความเจ็บปวดในหัวใจเมื่อทนไม่ไหม แต่ ขาของจวินวูอี้งพิการมาตลอดหลายปี ดังนั้นเขาจำต้องอดทนกับความเจ็บปวดอย่างเงียบๆ …
บุรุษทั้งสี่มองหนากัน และรู้สึกถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาด ราวกับพวกเขากลับไปอยู่ในเวลาสิบปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม พวกเขาพบว่ามันอึดอัดเนื่องจากความทรงจำเก่าแก่ฉายขึ้นมาในหัวของพวกเขา
ขอบดวงตาของจวินวูอี้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงและเจิ่งนองอย่างช้าๆ จากนั้นเขาอ้าแขนและยิ้ม
” หลายปีมานี้ข้าคิดถึงท่าน พี่ใหญ่ตงฟาง ! พวกเรามิได้พบเจอมานับสิบปี สองเดือนและเจ็ดวัน …”
จากนั้นเขามองขึ้นไปยังท้องฟ้าเพื่อคิดถึงวันเวลา และเอ่ยเศร้าหมอง
” และสองชั่วโมง … ข้าส่งข่าวการตายของพี่ใหญ่ในสองชั่วโมงของวันนั้นจากตอนนี้ …”
ดวงตาของจวินวูอี้แดงก่ำขึ้นทันใด
ชายสี่คนที่อยู่ฝั่งเดียวกับเขาตัวสั่น
เขาจำวันเวลาได้แม่นยำนัก !
สิบปีสองเดือน เจ็ดวันและสองชั่วโมง ! จวินวูอี้จดจำเวลาได้อย่างแม่นยำเสมอ ! สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร ?
นั่นแสดงให้เห็นว่าจวินวูอี้มิเคยลืมการนองเลือดในวันนั้นเลยแม้แต่วันเดียว แต่เขาทำได้เพียงแค่อดทน เขารู้อย่างชัดเจนว่าศัตรูคือผู้ใด อย่างไรด็ตาม เขาจำต้องอดทนอย่างไร้ทางเลือก ยิ่งกว่านั้น เขาพิการ และเจ็บปวดจากการถูกแย่งความรัก
ตงฟางเหวินชิงและอีกสองรู้ว่าจวินวูอี้มีชีวิตอย่างเลวร้ายมาตลอดสิบปีนั้น
ประโยคสั้นๆนี้เพียงพอจักอธิบายเรื่องนั้นได้ …
” เจ้าทุกข์ทรมาณอย่างมาก น้องสาม ”
ตงฟางเหวินชิงก้าวขึ้นหน้า และกอดจวินวูอี้เบาๆ ทั้งสองกอดกันอย่างเงียบๆ จวินวูอี้หลับตาเนื่องจากเขากำลังรู้สึกดีขึ้น แต่กระนั้นเขายังคงร้องไห้อย่างรุนแรงอยู่ในใจ ใบหน้าของเขากระตุก และกรามของเขาขบ แต่มิได้ส่งเสียงอันใด
วาจาเหล่านี้ทีข้าต้องการ … วาจาที่เข้าใจและห่วงใยจากสกุลตงฟาง… ได้เกิดขึ้นหลังจากผ่านไปสิบปี ! สิบปีที่ยาวนาน ! แม้นมันจักสายไปสักหน่อย …แม้นสายไปสักหน่อย … ท้ายที่สุดพวกเขาก็มา ! สวรรค์ล่วงรู้ว่าข้าล้มลุกคลุกคลานมาตลอดหลายปี … หลายปีเหล่านั้น !
ใบหน้าของจวินวูอี้ไร้อารมณ์ แต่ความเจ็บปวดและขมขื่นหลั่งไหลดั่งกระแสนน้ำในใจของเขา
ตงฟางเหวินเจี้ยนและเหวินต้าคิดถึงความทุกข์ทรมาณที่จวินวูอี้พบเจอนับสิบปี จากนั้นเขาได้เห็นฉากสะเทือนใจนี้ พวกเขามิอาจห้ามมิให้ดวงตาแดงก่ำ ขอบจมูกบิดเบี้ยว และน้ำตาไหลได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือกระแอมออกมาเบาๆ เนื่องจากกลัวว่าจะร้องไห้ออกมาไม่หยุดหากพวกเขาไม่พยายามฝืนตัวเอง พวกเขาพยายามอย่างมากเพื่อที่จักไอเพื่อปกปิด อย่างไรก็ตาม แม้แต่การไอก็ยังปะปนด้วยการสั่น
ข้าไม่รู้ว่าจวินวูอี้ต้องอดทนเพียงไรในสิบปีนี้ ! ข้าคิงฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้ความผิดไปแล้วหากข้าเป็นเขา แต่เขายังคงอดทนกับความทรมาณมาตลอดสิบปี …
อารมณ์ของทุกคนกลับมาเป็นปกติหลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน
” ไม่รู้ว่าการไปยังเถียรฟานั้นจักมีอันตรายหรือไม่ ? ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากสัตว์เชวียนที่น่ากลัวศัตรูของสกุลเราก็มารวมตัวกันด้วย ! ข้าขอให้ท่านพี่ทั้งสามมั่นใจว่าจวินโม่เซี่ยจักกลับไปยัง นครเทียนเชียง ได้อย่างปลอดภัยหากข้ามิสามารถเอาชีวิตรอดกลับไปได้ ! ข้าขอท่านอย่างจริงใน ! ”
จวินวูอี้เปลี่ยนเรื่องหลังจากอารมณ์กลับมาเป็นปกติ และร้องขอเรื่องเร่งด่วนนี้