” แน่นอนพวกเราถูกว่าจ้าง ! เมื่อใหร่กันที่สกุลตงฟางทำสิ่งต่างๆโดยไม่ได้รับการตอบแทน ? “
ตงฟางเหวินชิงถามขณะที่เขาเพิ่งมองไปยังเด็กน้อย
” นี่คือหลักการของสกุลเรา ! ”
” โอ้ว …ฮ่า .. ฮ่า …”
จวินโม่เซี่ยตกตะลึงชั่วครู่ แต่จากนั้นเขาระเบิดหัวเราะออกมา
ช่างเป็น นิสัยที่หลากหลายอย่างแท้จริง
ข้าดำเนินตามวิถีนี้เช่นเดียวกัน
” เจ้ายิ้มอันใด ? “
บุรุษทั้งสามเพ่งมองไปยังจวินโม่เซี่ย
” ปู่ของเจ้า ขูดเลือดขูดเนื้อเรา ในวันเก่าเหล่านั้น อย่าบอกข้า ว่าเจ้าก็ด้วย … หึ่ม!”
” ข้ามิได้ยิ้มอันใด นี่คือสิ่งที่ควรทำ ผู้คนควรหาเงินและหลีกเลี่ยงหายนะ เป็นปกติที่เจ้าจักได้รับค่าจ้างหากเจ้าทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นการขูเลือดขูดเนื้อได้อย่างไร ? ข้าต้องทำทุกอย่างโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้ดูมีเกียรติอย่างนั้นหรือ ? นั่นก็มากเกินไป … ”
จวินโม่เซี่ยหัวเราะมีความสุข
” ราคาสำหรับสิ่งนี้คืออะไร ? “
” เงินหนึ่งแสนตำลึงเงิน แน่นอน … หนึ่งแสนตำลึงเงินต่อคน ดังนั้นพวกเราจึงได้ทั้งหมด สามแสนตำลึงเงิน ! ”
ตงฟางเหวินต้าเอ่ยปกทะนง เขาถูนิ้วเพื่อแสดงถึงมูลค่า
” มันช่างยอดเยี่ยมใช่ไหม ? “
จวืนโม่เซี่ยตกตะลึงไร้วาจา
” พวกเราจักเอาเงินสามแสนตำลึงเงินกลับไปหาสกุล และมันจักใช้เพื่อซื้อเสบียงสำหรับสกุลของเราได้เป็นเวลานาน ”
ตงฟางเหวินชิงเอ่ยรายละเอียด เขาลูบเครา และหรี่ตา ราวกับได้ทำบางสิ่งสำเร็จ
“ปั้ง!”
ทันใดนั้นจวินโม่เซี่ยล้มลง หัวของเขาโขกกับโต๊ะที่มีตะเกียงวาอยู่ ทำให้ตะเกียงนั้นแตก ตะเกียงดวงน้อยร่วงหล่น และใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนน้ำมัน
“นี่ … อะไรกัน ? “
สามพี่น้องตงฟางร้องตกตะลึง และประคองคุณชายน้อยจวินอย่างรวดเร็ว
ได้ยินค่าตอบแทนสูงส่งสำหรับภารกิจของเราทำให้เขาตกตะลึงได้เช่นนี้เลยหรือ ?
มือสังหารจวินยอมรับว่าเขาตกตะลึงอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตกใจนั้น …
” หนึ่งแสนต่อคน .. และสามแสนต่อพวกท่านสามคน ….? ราคาต่ำยิ่งนัก ! ข้าดื่มสุรายังมีมูลค่าสูงกว่านั้นอีก ! เมื่อใดกันที่ค่าจ้าง เทพเชวียนลดลงได้มากยิ่งดั่งคาจ้างรายวันกัน ? “
วาจาอันน่าตกใจของจวินโม่เซี่ยทำให้ลุงเทพเชวียนทั้งสามของเขารู้สึกอับอาย
วาจาของจวินโม่เซี่ยนั้นมิได้โป้ปด …
เขาประมูลสุราชั้นยอดของเขาที่ หอชนชั้นสูง ในราคาที่สูงส่งนัก อย่างไรก็ตาม สุราชั้นเลิศราคาสูงส่งนั้นมีชื่อว่า สุราสวรรค์ ทุกคนที่มีชีวิตและได้ลิ้มรสจักต้องเสียสติ ยิ่งกว่านั้น ราคาสูงส่งเสียดฟ้าเนื่องจากจำนวนของมันมีจำกัด และมีเพียงชนชั้นสูงในอาณาจักรเทียนเชียง ชนชั้นสูง เท่านั้นที่จักได้ลิ้มรส เช่นนั้น ราคาจึงสูงขึ้นเนื่องด้วยหาได้ยาก หลากหลายผู้ที่อยู่นอกอาณาจักรเทียนชิงที่โชคดีได้ลิ้มรสสุรา และพวกเขาก็ยอมรับถึงความเป็นเลิศนี้
ราคาที่สูงส่งของสุรานี้มิได้ลดลงเลย เสียงเลื่องลือเกี่ยวกับสุรา หนึ่งในล้านนี้ยังมิได้จางหายไปหลังจากที่ หอชนชั้นสูง ประกาศทว่ามันจักมิถูกขายอีกต่อไป เช่นนั้น ไม่นานพวกมันจำนวนหนึ่งจึงปรากฏขึ้นในตลาดมืด ผู้มีอิทธิพลจำนวนไม่น้อยที่ซึ้อมันในการประมูลและน้ำไปขายต่อในตลาดมืด และจวินโม่เซี่ยได้รู้ผ่าน เจ้าอ้วนถัง ไฮ่เฉินเฟิง และคนอื่นๆว่าราคาของมันพุ่งทะยานอย่างมาก ราคาต่อเหยือกพุ่งสูงถึงสามแสนตำลึงเงิน
” เจ้าโง่ สุราที่เจ้าดื่มนั้นทำจากทองและหยกหรือ ? สุราของเจ้ามีราคาเกินกว่าเสนตำลึงเงินหรือ ? สกุลของเจ้าจ่ายค่าแรงให้คนงานวันละแสนหรือไม่ ?! “
ตงฟางเหวินต้าตอบอย่างอับเฉา อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าวิถีชีวิตของชนชั้นสูงในนครเทียนเชียงนั้นฟุ่มเฟือยยิ่ง ผู้ที่ร่ำรวยและมั่งคั่งนั้นสูงส่งยิ่งกว่าที่อื่นในดินแดนนี้ ยิ่งกว่านั้น เขารู้ว่าวาจานี้ออกมาจากปากของคุณชายน้อยผู้น่าอับอายแห่งสกุลจวิน ดังนั้น เขาจึงกลัวว่าวาจาเหล่านั้นมิได้เกินจริงเลย
เมื่อพูดถึงสกุลตงฟาง … เคยถือได้ว่าเป็นสกุลชั้นสูงเช่นกัน และทรงอำนาจแม้นมิได้แข็งแร่งเท่า นครพายุหิมะสีเงิน และ มณฑลฉือฮั่น เพื่อยงแค่ทำสิ่งต่างๆอย่างเงียบๆและรอบคอบเพื่อมิให้เป็นที่สนใจ แต่ พวกเขายังคงน่ายกย่องในเรื่องของการจัดการ
อย่างไรก็ตาม สกุลถูกตัดขาดจากโลกนับสิบปี เนื่องจากคำปฏิญาณ ! ดูเหมือนว่าทั้งสกุลตงฟางได้หายไป ทุกคนจากสกุลนี้ถอนตัวออกจากสังคมเพื่อเฝ้ารออย่างลับๆ และพวกเขาหลุดพ้นจากความสัมพันธ์กับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
ยอดปรมาจารย์มากมายเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นไม่กี่ปีแรกเนื่องจากพวกเขากลัวว่าสกุลตกฟางจักไม่รักษาสัญญา สกุลตองฟางไร้ทางเลือกภายใต้แรงกดดันมหาศาล ดังนั้น พวกเขาจึงแยกตัวออกจากโลกอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ทั้งสกุลมีจำนวนคนมากมาย และจำเป็นต้องใช้เสื้อผ้าและอาการจำนวนมาก พวกเขามีผู้สนับสนุนลับๆ แต่ไม่นานก็หยุดการพบเจอกันไป หลายปีผ่านไป และดูเหมือนว่าพวกเขาจักเริ่มต้องกินลมและอากาศ ไม่นาน กองกำลังต่างๆเริ่มติดต่อสกุลตงฝาง และแสดงความปรารถนาว่าพวกเขาต้องการว่าจ้างต่อ
ท้ายที่สุด โลกภายนอกยังคงต้องรักษาวิถีชีวิตต่อไปแม้นว่าสกุลตงฟางจักถูกเนรเทศ แต่ ท่าทีของสามยอดปรมาจารย์ผู้เฝ้าดูพวกเราก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา จุ้นเป้ยเฉิน หึกเหิมและหายไป ลีจื้อเทียนเริ่มออกเดินทางและหายไปในปีหลัง ไม่นาน ฮั่นเฟิงฉือคือผู้ที่ยังหลงเหลืออยู่ ดังนั้นไม่นานจากนั้นเขาจึงกลับไปยัง นครพายุหิมะสีเงิน ด้วยเหตุนี้ สามยอดปรมาจารย์จึงปลีกตัวออกจากโลก
สกุลตงฟางถูกทำให้สิ้นหนทาง เช่นนั้น พวกเขาจึงส่งกลุ่มคนเล็กๆออกไปเพื่อรักษากิจการไว้อย่างไร้ทางเลือก อย่างไรก็ตาม กิจการเก่าแก่ของพวกเขาก็เสื่อมโทรมลงไม่นาน และกิจการใหม่ก็จำต้องมีกำลังคนและทรัพยากรณ์มากมาย ชัดเจนว่ามิใช่การง่ายที่จักสร้าง
อย่างไรก็ตาม ลีจื้อเทียนได้เข้าหาสกุลตงฟางด้วยตัวเองเพื่อขอให้ช่วยในครั้งนี้ จากนั้นเขาเสนอค่าตอบแทนหนึ่งแสนตำลึงเงินต่อคน ท่าทางนี้แสดงให้เห็นแนวทางของเขาอย่างชัดเจน
” ข้ารู้ท่านเผยตัวออกมา แต่ข้ามิได้ก้าวก่าย ”
อาจบอกได้ว่าธุรกิจนี้สำคัญยิ่งต่อสกุลตกฟาง เช่นนั้น พวกเขาจึงพิจารรณางานนี้เป็นพิเศษ ความจริง ตอนนี้พวกเขาติดหนี้ มณฑลฉือฮั่น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงส่งขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดมาทำงานนี้ หรือพูดอีกอย่าง เรื่องนี้มิใช่เพราะความโลภต่อเงินหนึ่งแสนตำลึงเพียงอย่างเดียว
” ปู่ของเจ้าส่งกองทหารมายังสกุลตองฟางทุกฤดูและทุกปี พวกเขาลอบส่งเสียบให้พวกเราแม้นจักหลบเลี่ยงจากโลกก็ตาม อย่างไรก็ตาม ปู่ของเจ้าก็ยังไม่ลืมเรื่องราวในอดีต ”
ตงฟางเหวินชิงยิมเล็กน้อยและถอนใจ ผู้ใดจักคิดว่าสกุลตงฟางที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่จักตกอับเช่นนี้ …
จวินโม่เซี่ยยังคงไร้วาจา
เป็นการยากที่จักกล่าวว่าเรื่องนี้ใครถูกใครผิด
ท่านปู่จักไม่เข้าใจจิตใจของคนที่ทำงานได้อย่างไร ? เขาคงประเมินสถานการณ์มานานแล้ว .. สกุลตองฟางทรงพลังมากในตอนนี้ และพวกเขายังคงได้รับการสนับสนุนอย่างยุติธรรม แต่จักเกิดความชั่วร้ายแพร่กระจายไปทั่วดินแดนหากพวกเขาผลีผลามกำจัดราชวงศ์แห่งอาณาจักรเทียนเชียง ยิ่งกว่านั้น ยอดปรมาจารย์ยังถูกบังคับให้เข้าแทรกแซงเนื่องจากความเป็นพันธมิตร ความจริง แม้แต่แปดยอดปรมจารย์ในปัจจุบันก็จักลุกขึ้นสู้หากสถานการณ์พลิกผลันไป
ยิ่งกว่านั้น ศัตรูของพวกเขาก็คือ สกุลเซี่ยวแห่งนครพายุหิมะสีเงิน
ดังนั้น สิ่งเดียวที่ทำได้คือการทำลายสกุลตกฟางและจวินเท่านั้น
นี่จักเป็นเพียงจุดจบเดียวของเรื่องนี้
เขาเชื่อว่าทุกคนคิดเช่นเดียวกันนี้
ปู่ของข้าใช้เวลาทั้งชีวิตในสนามรบ ทั้งหมดนั่นจักสูญเปล่าหากเขามิอาจคาดการสิ่งนี้ได้ …
การให้น้ำหนักในการตัดสินใจที่ดีกว่าจักมีความสำคัญภายใต้แรงกกดดัน และ สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาไว้ซึ่งสกุลตงฟางและสกุลจวิน
ผลลัพธ์นี้ทำให้ทุกคนเจ็บปวด แต่เป็นการทำให้มั่นใจว่าชีวิตของคนจากทั้งสองสกุลจักปลอดภาย ยิ่งกว่านั้น มั่นใจได้ว่าสกุลตงฟางจักรอดพ้นจากการล้างเผ่าพันธ์ มิเช่นนั้น คนที่มีโทสะอย่าง จวินจ้านเเทียน จักยอดแพ้โดยไม่ล้างแค้นได้อย่างไร ?
จวินโม่เซี่ยคิดเสมอว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่ปู่และน้าสามของเขา สองบุรุษเหล็กผู้ล้ำเลิศ ไม่เคยพยายามล้างแค้นในเวลาที่ผ่านมา แต่ วาจาของลุงฝ่ายแม่ของเขาทำให้ทุกสิ่งชัดเจน และชี้ถึงเหตุผลที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังความนิ่งเฉยของพวกเขา
จวินจ้านเทียนมิได้กังวลนักหากสกุลของเขาจักถูกกำจัดไปในระหว่าการล้างแค้น แต่ เขาคงไม่ทนให้สกุลตงฟางเข้ามาเกี่ยวข้อง ..และโดนกำจัดไปด้วย เขาเป็นคนที่จักไม่หวัดกลัวเมื่อเลือดของสกุลตัวเองจักหลั่งไหล แต่ เขาไม่ปล่อยให้มันเกิดกับสกุลอื่น
จวินโม่เซี่ยคิดว่าการคาดเดาของเขอาจจะไม่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่มันจักต้องถูก …
” ความจริงข้าคิดว่าการปลีกตัวในเวลาสิบปีนี้มิได้เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับสกุลตงฟาง ”
ตงฟางเหวินชิงเห็นว่าจวินโม่เซี่ยดูโศกเศร้าหลังจากได้ยินเรื่องทั้งหมด เช่นนั้น เขายิ้มเพื่อปลอบประโลม
” เคล็ดลอบสังหารสกุลตงฟางของข้าโด่งดังไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เคล็ดลับนี้ก็ยังเป็นตำหนิและข้อบกพร่องใหญ่หลวงของสกุล ! ”
” ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? “
จวินโม่เซี่ยสับสน
” สกุลตงฟางของข้าสืบทอดมานานนับสามร้อยปี และ ได้สร้างยอดฝีมือมากมาย แต่ไม่เคยมียอดฝีมือเทพเชวียนเลยสักคน ”
ตงฟางเหวินชิงเอ่ยขื่นขม
” โอ้ว ? เหตุใดท่านถึงเอ่ยเช่นนั้น ? แม่หญิงของสกุลต่อสู้กับสองยอดฝีมือเทพเชวียนจากสกุลเซี่ยวด้วยตัวคนเดียว แม้นนานจักมิได้ชะ .. แต่นางก็สามารถ ความแข็งแกร่งเช่นนั้นมิใช่สิ่งที่น่าประหลาดใจหรือ ! ความแข็งแกร่งของนางังมิอาจเทียบกับยอดปรมาจารย์ได้หรือ ? “
คุณชายน้อยจวินงุนงงอย่างมาก
” ความแข็งแกร่งของท่านแม่นั้นเป็นที่ยอมรับว่าสามารถเอาชนะสองยอดฝีมือเทพเชวียนได้ และความแข็งแกร่งของนางก็เทียบได้กับยอดปรมาจารย์ อย่างไรก็ตาม นางก็มิเคยไปถึงขั้นของยอดปรมาจารย์อย่างแท้จริง ! สกุลตงฟางฝึกฝนสำหรับภารกิจลอบสังหาร พวกเรามุ่งสนใจกับเป้าหมาย … พวกเราโจมตี และหลบหนี อย่างไรก็ตาม มือสังหารก็ยังมิใช่ขุนพล
ตงฟางเหวินชิงเอ่ยต่อน้ำเสียจริงจัง
” พวกเราพยายามเพื่อให้เคล็ดลอบสังหารสมบูรณ์แบบ มาตั้งแต่สมัยโบราณ คนแต่ละรุ่นของสกุลตงฟางมุ่งเน้นฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ใไห้คล่องแคล่ว และพวกเราทำให้มันสวยงามขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ฝีมือของพวกเราเริ่มสมบรูณ์แบบขึ้น
” อย่างไรก็ตาม ผลที่ตามมาคือ … การเข้าสู่ความไร้ตัวตนและมุ่งหน้าไปสู่ถนนที่คดเคี้ยว และ เป็นการยากที่จักหันหลังกลับ ”
“เส้นทางที่คดเคี้ยว ? “
จวินโม่เซี่ยแลดูครุ่นคิด สีหน้าของเขาเริ่มวิตกกังวล
” ให้ข้าเดาได้หรือไม่ ? เจ้ามีความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชานี้อย่างมาก เช่นนั้น ข้าจึงเชื่อว่าเจ้าจักเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว ”
ตงฟางเหวินชิงถาม
จากนั้นเขาเห็นใบหน้าของจวินโม่เซี่ยและถอนใจ
” ยอดฝีมือเทพเชวียนผู้ที่ต้องการขึ้นไปอยู่ในระดับยอดปรมาจารย์นั้น มิได้มองสถาณการณ์ที่เหมาะสม ยอดฝีมือเหล่านี้สร้างระบบของพวกเขาเอง พวกเขารวบรวมปราณเชวียน และพัฒนาเชาว์อันเป็นเอกลักษณ์ และ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการสร้างขอบเขตใหม่ เขตแดนที่พวกเขาสร้างโลกขึ้นมาเอง อาจเอ่ยได้ว่า ยอดปรมาจารย์แต่ละคน เป็นดั่งผู้นำนิกาย !
” และแต่ละคนต้องสำรวจตัวเองเพื่อไปยังจุดนั้น พวกเขาต้องสำรวจฝีมือ เพื่อลับให้คม และ การสำรวจนี้เกิดขึ้นที่ใด ? มันเกิดขึ้นในการต่อสู้ในชีวิตจริง ! มันมาจากการสังหาร ! คนสามารถพบจุดอ่อนของเขาได้จากการสู้รบ และจากนั้น พวกเขาจักใช้ความพยายามเพื่อปรับปรุง หลังจากนั้น พวกเขาจักเข้าต่อสู้อีกครั้ง และจะมีการพัฒนา ในที่สุดพวกเขาจักสามารถบรรลุความความเข้าใจทางจิตวิญญาณได้ หลังจากความพยายามนับร้อยพันครั้ง นี่คือความหลงไหลอย่างแรกของยอดปรมาจารย์ทุกคน ! พวกเขาจักเป็นยอดปรมาจารย์ได้อย่างไร หากขาดความมุ่งมั่นในการพัฒนาปราณเชวียนของพวกเขา ?! พวกเขาจักเป็นยอดปรมาจารย์ได้อย่างไรหากพวกเขา ฝึกฝนเพียงร่างกายอย่างโง่เขลา ? “
คุณชายน้อยจวินพยักหน้าเงียบๆ เขานึกถึงตอนที่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเสี่ยงตางอย่างไม่ลังเลเมื่อเขาปีนเขาหิมะเพื่อต่อสู้กับเหยี่ยวและอินทรีย์เชวียน เขาไม่ลังเลที่จักลดตัวตนเมื่ออกหาเส้นทางต่อสู้
ทั้งหมดที่เขาทำเพื่อเหตุผลนี้ ?
” มือสังหารพวกเราสังหารคนมากมาย แต่ พวกเราไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ซึ่งหน้ามากพอเนื่องด้วยการเป็นนักลอบสังหาร สุดท้ายแล้ว พวกเราจักเป็นนักลอบสังหารได้อย่างไร หากพวกเราต่อสู้อย่างซึ่งหน้า ? เป็นความจริงที่มือสังหารพวกเราสังหารผู้คนมากมาย แต่พวกเรา สามารถใช้ประสบการณ์นี้เพื่อพัฒนาทักษะให้สมบูรณ์แบบเท่านั้น และ นี้ทำห้เราไม่สามารถซึมซัปประสบการณ์ในการต่อสู้ได้ เนื่องจากมือสังหารต้องสังหารโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเมื่อเขาทำภารกิจ เช่นนั้น การโจมตีครั้งเดียวนี้ต้องแม่นยำอย่างมาก แต่ความแข็งแกร่งของมือสังหารจักถูกเผยออกมาเพื่อเขาพลาดพลั้งในการสังหารเป้าหมายในการจู่โจมหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตาม มือสังหารที่เผยจุดอ่อนของตัวเองต่อหน้าคู่ต่อสู้นั้น เป็นเหมือนการฆ่าตัวตาย !
” นี่คือข้อบกพร่องที่ยิ่งใหญ่ของสกุลตงฟางของเรา ! นี่คือเหตุผลที่เรามิอาจทำอันใดได้เมื่อเผชิญหน้ากับสามยอดปรมาจารย์เมื่อแม่พลังอำนาจของเราจักสูงเสียงฟ้า และมีมือสังหารมากมาย ! ดังนั้น ท่านแม่จึงไร้ทางเลื่อกและยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม ”
ดวงตาของตงฟางเหวินชิงลุกโชยขณะเขามองไปยังจวินโม่เซี่ย
” เจ้าต้องเข้าใจเหตุผลที่ข้าบอกเรื่องทั้งหมดนี่กับเจ้า … การเคลื่อนไหวของเจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเรา ! มันคล่องแคล่วว่องไวยิ่งกว่า ! ไม่มีผู้ใดสังหารเจ้าได้เมื่อเจ้าใช้ฝีมือของเจ้า ! อย่างไรก็ตาม นี่เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่สำหรับความก้าวหน้าในการต่อสู้ของเจ้า !
” เจ้ามิต้องสนใจชีวิตขิงเจ้า เมื่อเจ้าสามารถป้องกันและนิ่งเฉยต่อความแข็งแกร่งของศัตรูได้ จากนั้น เจ้าสามารถท่องโลกไปได้อย่างอิสระ เนื่องจากเจ้าได้ค้นพบความปลอดภัยจากความรู้นั้น !
” แต่เจ้าต้องพึ่งพาทักษะเหล่านี้ ! เช่นนั้น เจ้ามิต้องกังวลถึงชีวิต เจ้าว่าเช่นนั้นใช่ไหม ? อย่างไรก็ตาม หากเจ้ามิต้องการยอมรับ .. และแม้นว่าเจ้ามิต้องการเพิกเฉย .. .แต่ .. ความจริงคือเจ้ามีฝีมือและความเชื่อเช่นนั้นเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าแตกต่างจากผู้อื่นที่ประสงค์จักเป็นยอดปรมาจารย์ “
” เจ้านั้นต่างจากผู้อื่นแล้วเนื่องจากเจ้ามิได้หวาดกลัวอย่างที่พวกเขาทำ แต่ จักสามารถก้าวหน้าครั้งใหญ่ได้ภายใต้ความกดดันถึงตายเท่านั้น ! มิเช่นนั้น เจ้าจักสามารถบรรลุไปได้เมื่อสถานการณ์ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม เจ้าจักมิได้รับผลที่มิอาจคาดจากการบรรลุอันยิ่งใหญ่ภายใต้แรงกดดัน จากนี้ไป โอกาสที่เจ้าจักได้ก้าวขึ้นสู่ระดับยอดปรมาจารย์จักกลายเป็นความพยายามอย่างสุญเปล่า ”
จวินโม่เซี่ยหวาดกลัวและสะเทือนอารมณ์
ความสามารถอันยิ่งใหญ่ของ เจดีย์หงษ์จวินนั้นรับรองได้ว่าเขาจักไม่ตาย … แม้นว่ายอดปรมาจารย์จักร่วมมือกันพยายามสังหารเขา
ข้าไม่เคยกังวลในเรื่องนี้ และ นั้นคือเหตุที่ข้ากล้าเช่นนี้ ! ข้ายังไปไม่ถึงขั้นเชวียนเงิน แต่ข้านั้นมีความกล้าที่จักเผชิญหน้ากับสวรรค์เชวียน และเทพเชวียน ! และ … ไร้ซึ่งความกดดันและกลัวตายในหัวใจข้าเวลานั้น !
แต่ หากข้าถามตัวเอง จักเป็นอย่างไรหากข้าไม่มีเจดีย์หงษ์จวิน ? กีครั้งแล้วที่ข้าจักต้องตายไปจากการกระทำของข้า ?
ข้าพอใจในตัวเองอย่างมาก ข้าคิดว่าข้าไม่มีสิ่งใดต้องกลัวเพราะข้ามีความสามารถที่ไม่สามัญ แต่ ข้าสามารถสามารถพัฒนาขึ้นไปถึงระดับนั้นได้หรือหากข้ามีทัศนะคติเช่นนี้ ?
หยดเหงื่อเยือกเย็นไหล่เอื่อยลงขณะที่จวินโม่เซี่ยคิดถึงเรื่องนี้ เหงื่อนหยดนั้นส่งเสียงดังติ๊งชัดเจนเมื่อมันกระทบกับโต๊ะ
ตงฟางเหวินชิงรู้ว่าเขาได้มอบบางสิ่งให้หลานชายได้ขบคิด เขาเห็นได้ว่า ชายหนุ่มครึ่นคิดอย่างจริงจัง และมิมีสิ่งใดสามารถทำลายได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงลอบโบกมือให้พี่น้องอีกสอง และจากนั้นพวกเขาทั้งสามจึงออกจากกระโจมไปอย่างเงียบๆ
จวินโม่เซี่ยนั่งนิ่งภายในกระโจม เพียงลำพัง เขานั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดขณะที่แสงไฟริบหรี่
หรือว่า .. ข้าควรเปลี่ยนแปลง ?
เจดีย์หงส์จวินเป็นสมบัติที่ขัดกับลิขิตสวรรค์ และความสามารถของมันนน่าเกรงขามเนื่องด้วยเหตุผลนี้ .. แต่มันมิได้ช่วยข้าให้ก้าวหน้ามากนัก
จวินโม่เซี่ย ครุ่นคิดเรื่องนี้ต่อเนื่องไปตลอดคืน .. จนถึงเช้าวันต่อมา แต่ เขาก็ยังมิอาจหาทางออกไป
คุณชายน้อยจวิน มีวงแหวนสีดำรอบๆดวงตา ขณะเขาเดินออกมาจากกระโจมและยืดเส้นสายในเช้าวันต่อมา
ตงฟางเหวินชิง มารอเขาอยู่นานแล้ว เขายืนนิ่งเงียบใต้ต้นไม้หน้าทางเข้ากระโจม ยอดฝีมือเทพเชวียนมองจวินโม่เซียและถาม
” อะไรนะ ? เจ้ายังตัดสินใจไม่ได้ ? ”
จวินโม่เซี่ยฝืนยิ้ม และมองขึ้นสู่ท้องฟ้า
” แต่ท่านได้มอบปัญหาอันยิ่งใหญ่ให้ข้า ! ข้ามีฝีมือที่น่าประหลาดใจอย่างมาก และข้ามิควรใช้มัน ? ข้าควรทุกข์ทนเมื่อข้าต่อสู้กับศัตรูที่ข้ารู้ว่าแข็งแกร่งกว่า .. แต่ข้าไม่ควรใช้ฝีมือนี้หรือ ? … ดั่งเชวียนหยก ต่อสู้กับยอดปรมาจารย์ ? มันจักมิเป็นการฆ่าตัวตายหรอกหรือ ? ”
” เจ้ามิได้นอนตลอดคืนและนี่คือสิ่งที่เจ้าคิดได้ ?! “
ตงฟางเหวินชิงถามอย่างหยาบคาย เขาเพ่งมองหลานชายครู่หนึ่ง จากนั้นเขาเริ่มสบประมาท
” โง่เง่า ! เจ้าทึ่ม ! เจ้านี่ข่างน่าอับอายยิ่ง ? เจ้ามันโง่ ! โง่มาก ! น้องสาวผู้ล้ำเลิศของข้าให้กำเนิดลูกชายที่โง่เง่าเช่นเจ้าได้อย่างไร ? เจ้าทำให้อาวุโสผู้นี้พูดไม่ออก ! เจ้ามีหญ้าอยู่ในหัวหรือ ?! หรือ ลาเตะหัวเจ้าเมื่อยังเล็ก ?! “
” หะ ? “
จวินโม่เซี่ยสับสน ..ไม่มีผู้ใดที่ไม่ยกย่องสติปัญญาของข้า ทั้งชาตก่อนและชาตินี้ แต่ เขาบอกว่าข้าโง่ ?
เขารู้สึกอยากตอบโต้ แต่ เข้ามิอาจหาคำพูดใดได้ และยังคงเงียบต่อไป
” สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้คือ ให้เจ้าพยายามให้มากเท่าที่จักทำได้เพื่อเอาชนะคนในระดับเดียวกันโดนไม่ต้องใช้ทักษะพิเศษของเจ้า ! มันยากที่เจ้าจักชนะ แต่มันดีกว่าสำหรับการเติบโตของเจ้า ! เจ้าสามารถข้ามขั้นได้บ้าง และต่อสู้กับยอดฝีมือผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า แต่ อย่าได้พยายามรับมือกับสิ่งที่เกินกว่าระดับเชวียนของเจ้า ! แต่เจ้านั้นโง่เง่า ! เมื่อไหร่กันที่ข้าบอกให้เจ้าไปต่อสู้กับสวรรค์เชวียนด้วยความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว ? หรือที่แย่กว่าคือ .. เทพเชวียน หรือยอดปรมาจารย์ ?!
” อ่อ … ”
จวินโม่เซี่ยไม่รู้ว่าจักหัวเราะหรือร้องไห้ดี
” ท่านมีได้เอ่ยให้ชัดเจน ! ”
” นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ? เจ้ายังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างคำว่า ยาก และ เป็นไปไม่ได้หรือ ? เจ้ามีฝีมือที่น่าอัศจรรย์ และความคล่องแคล่วของเจ้าสามารถทำให้เจ้าหนีไปได้อย่างปลอดภัย .. แต่เจ้ายังโง่อยู่เช่นนี้หรือ ? “
ตงฟางเหวินชิงขมวดคิ้วด้วยโทสะ
หลานชายข้าโง่าเขลาเช่นนี้ได้อย่างไร ?
สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ คนที่ฉลาดกว่าคนทั่วไป ….นั้นยากที่จักแยกแยะเมื่อพวกเขาหมดมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
” เจ้าเป็นยอดฝีมือเชวียนหยก แล้ว เจ้าจักไม่ตายก่อนหรือ ในตอนที่ยอดปรมจารย์แตะตัวเจ้า ? เจ้าจักมีฝีมือที่เหนือกว่าในเรื่องนี้ได้อย่างไร ?! เจ้าเด็กโง่เขลา ! “
ลุงตงฟางไร้วาจาจักพูด
ข้าบอกให้เจ้าใช้ธรรมชาติรอบๆตัวเพื่อต่อสู้และซึมซับประสบการณ์เท่าที่จักทำได้ ข้าไม่เคยบอกให้เจ้าไปตาย ….
” ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว … มันชัดเจนยิ่งนัก ! ”
จวินโม่เซี่ยเริ่มหัวเราะในทันที จากนั้นเขาเหาะขึ้นฟ้า และตีลังกาหลายครั้งขณะที่เขาเคลื่อนที่ไกลออกไป เขาร่อนลงพื้นทันทีที่เขาไปสุดทาง
พระเจ้ารู้ว่าลุงของข้าจักเรียกข้าว่าอันใดหากข้ายังอยู่ที่นั้น !
เขาดูสุภาพ สง่า และเมตตาเมื่อข้าเห็นเขาเมื่อวาน แต่ตอนนี้ มันดูเหมือนเป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก ! ไม่คาดว่าเขาจักโหดร้ายเมื่อเขาดุด่าข้าในตอนนี้ !
จวินโม่เซี่ยมิได้สังเกตุการเปลี่ยนแปลงนี้ในนิสัยของเขา ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ เขาได้คิดว่า ทั้งสามเป็นลุงของเขาแล้ว ความจริง เขาเริ่มยอดมรับว่าพวกเขามีฐานะเช่นเดียวกับลุงสามของเขา
… เพราะว่า ชายทั้งสามแสดงความเป็นห่วงและกังวลเขาอย่างแท้จริง !
” เจ้าเด็กเหลือขอโง่เง่า … ! ”
ตงฟางเหวินชิงยังคงโกรธที่เขามิอาจทำตามความคาดหวังได้ เช่นนั้น เขาจึงตำหนิต่ออีก อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เห็นเงาของหลานชายอีกเลย …
สามวันหลังจากนั้น ….
ฝุ่นฟุ้งกระจายจากสุดปลายถนน หุบเขาสั่นคลอน เสียงอันยิ่งใหญ่และสง่าผ่าเผยแสดงการมาถึงของทัพใหญ่ของแม่ทัพจวินวูอี้