” ข้าคิดว่าเจ้าเป็นเด็กเหลือขอในตอนที่เห็นเจ้าเมื่อกลางวัน แต่ แต่เจ้าบอกว่าข้าผิดที่เรียกเจ้าว่าอันธพาล ? เจ้านั้นสิ้นหวังอย่างแท้จริง ! ก่อนหน้านี้เจ้าเซื้องซึมอย่างมาก แต่เจ้ากลับตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อข้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ … ”
ตงฟางเหวินชิงคำรามทางจมูก และลูบเครา จากนั้นเข้าเอ่ยด้วยท่าทีครุ่นคิด
” น่าปวดหัว … หากว่า … แต่น่าเสียดาย … หากเจ้าเหลือขอผู้นี้ … มันคือปัญหา …ปัญหานี่ … มันไม่ …”
ตงฟางเหวินเจี้ยน และ ตงฟางเหวินต้า เย้ยหยันเช่นกัน พวกเขากรอกตา ราวกับสองผู้อาวุโสกำลังแข่งขันกัน สองบุรุษเริ่มแส้งโง่ และกระทำตัวสูงส่งและดีงาม พวกเขาปกปิดความตั้งใจอย่างมีเลศนัย ปากของพวกเขาเอ่ยวาจาที่ควรเป็นไป หากแต่มิใช่สิ่งที่คิด
” เรื่องนี้ .. พวกเราจักต้องถกกันยาวนาน ”
ตงฟางเหวินชิง สรุปและถอนใจ จากนั้น เขาเอ่ยอีกครั้งหลังเงียบมาเป็นเวลานาน ลุงดุเจ้าเนื่องด้วยข่าวลื่อทำให้เขาเชื่อว่าเจ้านั้นเหลวไหล
” โม่เซี่ย อย่างไรก็ตามใท้ายที่สุดแล้วข้าได้เห็นว่าเจ้านั้น สง่าและกล้าหาญ เด็กหนุ่มตาเป็นประกาย และสำคัญที่สุดในวัยเดียวกัน ย่าของเจ้าจะพึงพอใจหากได้เห็นสิ่งนี้ และ แม่ของเจ้าจักมีความสุข .. หากเพียงแค่นางได้ลืมตาและมองเห็น ! ”
สามพี่น้องก้มหัวต่ำขณะที่เขาเอ่ยจบ พวกเขารู้สึกหม่นหมองขณะนึกถึงน้องสาวที่ไร้สติมานับสิบปี
“เล่าเรื่องแม่ให้ข้าฟัง”
จวินโม่เซี่ยรู้สึกโศกเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าหัวใจของเขารู้สึกเจ็บปวดเล็กๆขณะที่เขาได้เอ่ยคำว่า แม่ เขาตัวสั่นเบาๆ ยิ่งกว่านั้น เขาพบว่า การเอ่ยว่าแม่นั้นยากเย็นสำหรับเขา ในความจริงความรู้สึกนั้นถูกต้อง เหมือนว่ามาจากเลือดและวิญญาณของเขา ดูเหมือนว่าเขายอมรับมา ราวกับเขาได้สวมกอดท่านปู่และลุงสามของเขา ..
ตงฟางเหวินชิงถอนใจยาว เขาเริ่มสั่นกลัวเล็กน้อย ปากและหนวดของเขากำลังสั่นเทา เห็นได้ว่าเขารู้สึกโศกเศร้าอย่างมาก สามพี่น้องมองหน้ากัน พวกเขามองตากัน และรู้ได้ว่าพวกเขารู้สึกโศกเศร้าภายในใจเช่นเดียวกัน
” แม่ของเจ้า นามว่า ตงฟางเหวินซิ่น พวกเรารักน้องสาวสุดหัวใจ นางอ่อนโยน งดงาม และน่าเอ็นดู ”
น้ำเสียงของ ตงฟางเหวินชิงสั่นด้วนอารมย์ เขาดูหม่นหมอง และดวงตาของเขาเริ่มพร่ามัว ราวกับเต้นเป็นจังหวะท่ามกลางแสงเทียน จากน้ำเสียงเขาฟังดูเพ้อเจ้อ เขาเล่าเรื่องราวต่อไป และดูเหมือนว่าสภาพจิตใจของเขาจมอยู่กับเรื่องราวในอดีต
…
ในวันเหล่านั้น ทุมกคนรักน้องสาวผู้น่ารักของเรา
ตอนนี้ มิอาจคาดฝัน …
ข้ายังคงจำได้ถึงวันนี้ ทั้งสกุลต่อต้านความคิดของน้องสาวที่จักแต่งงานกับ จวินวูเห่ย แต่นางแน่วแน่ นางไม่ลังเล และยังคงยืนกราน ดังนั้น ทั้งสกุลจึงยอมให้นางแต่งอย่างไร้ทางเลือก แต่ ท่านแม่บอกนาง
” กลับมาหากเจ้าไม่ชอบที่นั่น สกุลนี้จักเป็นบ้านของเจ้าเสมอ ”
น้องเล็กหัวเราะอย่างมีสุข และเอ่ย
“เหวินชิ่นขอหัวใจของนาง และ วูเห่ยจักไม่เสียใจ ข้าถามหัวใจของข้า และมันจักไม่มีวันเสียใจ ”
นางตื่นเต้นอย่างมาก
แต่ ตั้งแต่นั้น …
ข้าจำได้ว่ารอยยิ้มแห่งความสุขในวันนั้น มันเป็นเหมือนดอกไม้ที่งดงามและเรื่องรอง มันทำให้หัวใจของทุกคนในสกุลอบอุ่น
จากนั้น ข้าจำได้ว่าวันที่นางกลับมาที่บ้าน .. นางกลับมาบ้านด้วยความซูบผอม ราวกับหัวใจของนางได้ตายไปด้วยความหดหู่ นางหลับไหลตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลาสิบปี .. ไม่ได้เป็นเหวินชิงอีกแล้ว …
ข้ายังคงจำได้ว่านางเบิกตาโพลงเมื่อกลับบ้าน แต่ดวงตาของนางว่างเปล่า และไม่เอ่ยสิ่งใด ท่านแม่ และทุกคนอยู่ข้างๆนางสามวันหลังจากนั้น … นั่นคือตอนที่นางรวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย และพึมพัม …
” ชีวิตนี้ข้าไม่เคยเสียใจ ข้าไม่เคยเสียใจที่ได้เกิดมา จวินของข้าไม่เสียใจ เช่นนั้นข้าก็ไม่เสียใจ ข้าถามถึงสิ่งที่หัวใจข้าต้องการ .. มันเป็นของจิวนวูเฮ่ย โลกกับวูเฮ่ย อยู่และตายกับวูเฮ่ย ! ”
น้ำตาหยดลงหมนจากดวงตาที่แห้งผากของนาง หลังจากพูดจบ จากนั้นนางหลับตาลงช้าๆ และไม่เคยลืมมันขึ้นมาอีกเลย
น้องเล็กไร้ความเสียใจหรือเกลียดชังในตอนที่นางสิ้นสติ
” ข้าจักตามเขาไปตอนมีชีวิต และติดตามไปในตอนที่ตายจาก ! ข้าไม่เสียใจทั้งมีชีวิตหรือความตาย !
สกุลของเราพยายามทุกวิธีเพื่อให้นางมีชีวิตอยู่ตอลดสิบปีที่ผ่านมา และพวกเราไม่ละความพยายามที่จักทำให้นางฟื้นขึ้นมา แต่ พวกเราก็มิอาจทำให้นางลืมตาขึ้นมาได้
นางมี วูเห่ย ในหัวใจของนาง และนางจากไป …
ท่านแม่มีโทสะมิอาจคุมได้ นางฝึกฝนขุนสึกมากมายตลดเวลาหลายปี นางส่งพวกเขาออกไป ร้อยเก้าสิบหก ปฐพีเชวียน และ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมายเพื่อไปทำการสังหารอย่างไร้ปราณีทั่วโลก ชื่อเสียงสกุล ตงฟาง สั่นคลลอนโลกในเวลาไม่กี่ปี และ นครพายุหิมะสีเงิน ก็ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ทั่วทั้งโลกรู้สึกมีภัย และทุกคนหวาดกลัว
อย่างไรก็ตาม พลังอำนาจสกุลตงฟางของเรานั้นมิได้สำคัญ เป็นการยากที่จักทำให้ทั้งโลกสั่นกลัว
ในที่สุด สามยอดปรมาจารย์มาถึง และบังคับให้หยุดลง ลีจื้อเทียน และ ฮั่นเฟิงฉือ ออกมาและสกัดกั้น นักรบตกฟางมากมายที่ หมู่บ้านล้มมังกร แม้แต่ยอดปรมาจารย์ จุ้นเป้ยเฉิน ก็ปรากฏตัวขึ้น
ทุกฝ่ายต่างตกลงที่จักหยุดสงครามไว้ที่การต่อสู้เพียงครั้งเดียว
ท่านแม้ คือนักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดของเรา นางต่อสู้กับ เซี่ยวเซียงหยุน และ เซี่ยวปู้หยูแห่งนครพายุหิมะสีเงินด้วยตัวเอง พวกเขาตกลงกันว่า ชะตากรรมาของ เซี่ยวเซียงหยุน และ เซี่ยวปู้หยู จักตกอยู่ในมือของเรา หากสกุลเซี่ยวพ่ายแพ้ แต่ความเกลียดชัง และความเป็นศัตรูจักถูกลบล้างไป แต่ หากท่านแม่พ่ายแพ้ในการต่อสู้ สกุลตงฟางจักต้องหลบหลีกไปจากสังคม และหลบซ่อน
การต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวนั้น เรียกได้ว่า เป็นการเขย่าโลก !
ท้ายที่สุดท่านแม่เริ่มเหนื่อยอ่อน และสูญเสียกำลังในขณะที่ต่อสู้กับ ยอดฝีมือเทพเชวียนขั้นสี่ นางพ่ายแพ้ และถูกบังคับให้ทำตามข้อตกลง สกุลตงฟางปฎิญาณว่าพวกเราจักออกมาสู่สังคมก็ต่อเมื่อ หิมะบนยอดเขาถล่มลงมา และสัตว์เชวียนออกมาจากป่าเถียรฟา มิเช่นนั้น … ยอดปรมาจารย์ทั้งแปดจักลงโทษพวกเราอย่างรุนแรง
แปดยอดปรมาจารย์ในเวลานั้นไม่เหมือนตอนนี้ ยอดปรมาจารย์ เมิงฮ้งเฉินผู้เป็นเลิศ และ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวยังมิได้เป็นหนึ่งในแปดยอดปรมาจารย์ในเวลานั้น พวกเขาก้าวขึ้นมาหลังจากสองยอดปรมาจารย์หายไป
ท่านแม่ พ่ายแพ้การต่อสู้นั้นอย่างมิน่าพอใจ แต่นางทิ้งร่องรอยไว้เบื้องหลัง เซี่ยวเซียงหยุน และ เซี่ยวปู้หยูไม่เคยก้าวผ่านเทพเชวียนขั้นสี่ได้ วรยุทธของพวกเขาหยุดอยู่ในขั้นนั้น ดังนั้น พวกเขาก็มิอาจไปได้ถึงยอดปรมาจารย์
อย่างไรก็ตาม สกุลตงฟางอ่อนแอลงอย่างมากจากผลในการต่อสู้นั้น
สกุลตงฟาง มิอาจออกมาจากที่หลบซ่อนได้นับสิบปี … นอกเสียจากมาแก้แค้นให้กับความตายของ โมโย่ และโม่ฉือ “
…. ….
ตงฟางเหวินชิงพูดจบ จวินโม่เซี่ยรู้สึกราวกับมีหุบเขาหนักอึ่งทับลงบนตัวเขาหลังจากได้ยินสิ่งเหล่านี้ อีกสามผู้นั้นก็รู้สึกเช่นเดียวกัน คุณชายน้อยจวินเพ่งมองไปยังแสงตะเกียง ใบหน้าเขาไร้อารมณ์ แต่มีโทสะอยู่ภายใน
ความรักมิอาจจืดจางของพ่อแม่ในหัวใจ ผู้เป็นปมอยู่ในท้องของเขา
จิตวิญญาณของเขาถูกส่งไปยังการต่อสู้ในอดีตชั่วขณะ เขาเกือบเห็นขุนศึกสกุลตงฟางแพร่กระจายออกไป พวกเขาทำการนองเลือดขณะที่เอาชีวิตผู้คน การประท้วงของพวกเขาไม่เคยว่างเปล่า ดังนั้น เกียรติศักดิ์ศรีของพวกเขาเพิ่มขึ้นในสังคม
ความคิดของเขาพุ่งไปยัง หมู่บ้านล้มมังกรอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นพยานในการต่อสู้ของอย่างสิ้นหวังของสกุลตงฟาง การต่อสู้ที่ แม่หญิงแห่งสกุลตงฟางสามารถเอาชนะได้ แต่มิได้สามารถ นางมิอาจพ่านแพ้แต่พ่ายแพ้ การต่อสู้ที่นางมิอาจชนะได้แม้นนางมั่นใจ …
บางครั้ง ชัยชนะนำพาความทุกข์ยากเกินกว่าความพ่ายแพ้ !
จุ้นเป้ยเฉิน ลีจื้อเทียน และ ฮั่นเฟิงฉือ สามยอดปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งปรากฏตัวเพื่อเฝ้าดู การเป็นปฏิปักษ์ จักจบลงได้อย่างไรหากสกุลตงฟางได้รับชัยชนะ ?
ลบล้างความเป็น ปฏิปักษ์ ? เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งที่ได้ยินถึงแนวคิดนี้ อย่างไรก็ตาม สกุลเซี่ยวก้ไม่เคยยอมที่จักแก้ไขความเป็นศัตรูนี้ แม้นสกุล ตงฟางจักทำตามสัญญา พวกเขาจักไม่ล้างแค้นให้แก่สองผู้อาวุโสในการต่อสู้นี้ได้อย่างไร ?
ยิ่งกว่านั้น สามยอดปรมาจารย์จักยอมให้ข้อพิพาทใหม่นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ดังนั้น เรื่องนี้จึงจบลงด้วยโศกนาฏกรรมของสกุลตงฟาง พวกเขาเป็นผู้เคราะห์ร้ายในตอนที่พวกเขาถูกขัดขวาง แม่หญิงแห่งสกุลตองฟางไร้ทางเลือกอื่น เพียงแต่ยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อปกป้องสกุล
นางสามารถเอาชนะได้ แต่นางถูกบังคับให้แพ้ มันเป็นภาพที่น่าสลดใจ …
จวินโม่เซี่ยเชื่อว่าผู้ที่อยู่ตรงนั้น รู้ว่าแม่หญิงตงฟางไม่อาจพ่ายแพ้ในการต่อสู้ เป็นไปได้อย่างไร ที่นางแพ้การต่อสู้ แต่แอบสกัดวรยุทธ์เซี่ยวเซียงหยุน และ เซี่ยวปู้หยูไว้เพียงแค่เทพเชวียนอันดับที่สี่ ?
ผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นภายใต้ความกดดันของ สามยอดปรมาจารย์ และ สกุลตกฟาง ไม่มีทางเลือกนอกจากยินยอม
จวินโม่เซี่ยรู้สึกรังเกียจขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจในทันที เขาไม่ชอบการจัดการของสามยอดปรมาจารย์
หิมะบนยอดเขากล่มลง และสัตว์เชวียนออกมาจากป่าเถียรฟา … ! ข้อตกลงที่หยาบคายอันใดกัน ?
เป็นข้อตกลงที่งี่เง่าที่สุด !
แม่เจ้าเอ๋ย ! เหตุใดพวกเขาไม่บอกว่า สกุลตงฟางจักออกมาได้ ก็ต่อเมื่อ สวรรค์ถลม และโลกทลาย ?
หากข้าเป็นผู้ตั้งเงื่อนไข .. ข้าจักบอกว่า .. เห็นอินทรีย์โบยบินในนาวา และหนูทะยานสู่ท้องนภา หรืออาจจะ เมื่อปลาวิ่งอยู่บนปฐพี .. !
แม่เจ้า !
” และจากนั้น ท่านแม่ .. ซึ่งเป็นยายของเจ้า .. ตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับสกุลจวินเนื่องเพราะเรื่องเมื่อสิบปีก่อน นางขุ่นเคืองอย่างยิ่ง ความจริง นางรังเกียจกับวิธีที่ปู่ของเจ้ารับมือกับสิ่งต่างๆในเวลานั้น ”
ตงฟางเหวินชิงถอนใจยาว ดวงตาของเขาเป็นไปด้วยอารมณ์ที่มิอาจพรรณนา
จวินโม่เซี่ยยังคงเงียบ เขาพบว่ามันเป็นการไม่เหมาะที่จักเอ่ย เขารู้ถึงนิสัยของปู่เขาเสมอ ราชวงศ์มักเกี่ยวข้อง และท่านยายคงต้องการกำจัดพวกเขา แต่ ท่านปู่ต้องต้องกล้าหาญที่จักปฏิเสธความคิดนั้น
ความไม่เห็นด้วยนี้ทำให้สองสกุลตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งหมดลง
สิ่งนี้เป็นไปได้เนื่องจากความภักดีที่โง่เขาของท่านปู่ในเวลานั้น แต่ มันอาจไม่เหมือนเดิมหลังจากผ่านเวลา และเหตุการณ์มากมาย …
” จวินจ้านเเทียน คือวีรบุรุษในรุ่นราวคราวเดียวกัน เขากล้าหาญ ซื่อสัตย์ และยุติธรรมอย่างมิอาจเปรียบ อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของนั้นยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับความดี ”
ตงฟางเหวินชิงถอนใจ
” นกตายด้วยคันศร และกระต่ายตายด้วยหมาล่าเนื้อมาตั้งแต่โปราณกาล เขาภักดีอย่างยิ่ง และ การรับใช้ของเขานั้นเป็นที่ยอมรับอย่างสูงทั่วทั้งอาณาจักร อย่างไรก็ตาม ชะตากรรมของ แม่ทัพผู้น่ายกย่องเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง เขามิได้ตายในสมรภูมิ เขาถูกตัดหัว และทรัพย์สินของเขาถูกยึด … ผู้ใดจักสั่นคลอนทวยเทพได้หากบินสูงเกินไป … ”
ตงฟางเหวินชิงมองไปยังจวินโม่เซี่ย ด้วยท่าทีล้ำลึก จากนั้นเขาร้องออกมาเสียงดัง
” ตำแหน่งสูงส่ง ทรัพย์สมบัติมากมาย และ มีชื่อเสียงไร้สิ้นสุด หายวับได้ราวสายหมอก สิ่งเหล่านี้เทียบได้กับความหวังที่จักเดินทางได้อย่างอิสระในโลกนี้ …. ”
” ฮ่าฮ่า … ท่านมิต้องกังวลข้าในเรื่องนั้น ข้าดูเหมือนซื่อสัตว์อย่างโง่เขลาอย่างนั้นหรือ ? “
จวินโม่เซี่ยหัวเราะ เขาตั้งใจจักหัวเราะเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีขี้น เนื่องจากบรรยากาศเริ่มหนักขึ้นในท่ามกลางสี่คนนี้
เจ้าดูไม่เป็นเช่นนั้นเจ้าเหลือขอ ! เจ้านั้นตรงข้าม เป็นคนเจ้าเล่ห์! ไม่ควรเจ้าเลห์ขนาดนี้ ! ”
ตงฟางเหวินชิงหัวเราะ
” แต่สกุลตองฟางก็ยังมิอาจเผยตัวได้ .. เช่นนั้น ท่านออกมาได้อย่างไร ? “
จวินโม่เซี่ยถามด้วยความอยากรู้
” สกุลตงฟางมิอาจเผยตัว แต่ พวกเราจักมิสามารถออกมาได้เลยหรือ หากเรามิได้ใช้ชื่อสกุลตกฟาง และทำงานอย่างเป็นความลับ ? นอกจากนั้น พวกเราทั้งหมดจักไม่อดตายหรือ หากทุกคนในสกุลถอนตัวออกจากโลก ? “
ตงฟางเหวินต้าแสดงสีหน้า “เจ้าโง่หรืออย่างไร ” ใส่จวินโม่เซี่ย
จวินโม่เซี่ยตกตะลึง
“นอกจากนี้ การลุกฮือของสัตว์เชวียนเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันส่งผลให้เกิดการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่ง กองกำลังที่แข็งแกร่ง รวมตัวกัน และพวกเขามาที่นี่เนื่องจากพวกเราถูกว่าจ้างด้วย มณฑลฉือฮั่น”
ตงฟางเหวินชิงหัวเราะเพื่อบรรเทาความอับอายของจวินโม่เซี่ย
” เจ้าถูกว่าจ้าง ? “
จวินโม่เซี่ยเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง