“ฝ่าบาท รถเข็นน้อย เปลโยกน้อย ป๋องแป๋งน้อย…สิ่งที่ต้องเตรียมมีมากมายนักนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เซี่ยงจิ้นสอดแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“หากเป็นท่านอ๋องน้อยขึ้นมาละก็ยังจะต้องเตรียมม้าโยกน้อย กระบี่น้อย คันธนูน้อย เหล่านี้ล้วนแต่ขาดมิได้เลยสักอย่าง ทรงลองคิดดูนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องน้อยจะต้องสืบทอดความเก่งกาจของบิดามารดาเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ เฉลียวฉลาดเกินใคร!”
“ใช่ๆ!”
โดนเซี่ยงจิ้น ‘ริเริ่มนำทาง’ เช่นนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ่งคิดขึ้นมาได้อีกหลายสิ่งหลายอย่าง!
“เพื่อนเล่น เพื่อนเรียนหนังสือก็ขาดไม่ได้! รอจนอายุได้สามขวบก็ให้เริ่มศึกษาเล่าเรียน ข้าจะต้องเชิญท่านปราชญ์แห่งขงจื้อที่มีชื่อเสียงที่สุดมาเป็นอาจารย์ให้กับหลานชายข้า ถ่ายทอดคุณธรรมในการปกครองแผ่นดินให้กับเขา!”
เพราะซย่าโหวจวินอวี่รู้สึก ‘ผิดหวัง’ กับซย่าโหวฉิงเทียนเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าเขามีความคิดว่าตั้งใจจะยกต้าโจวให้กับซย่าโหวฉิงเทียน แต่ก็ยังมิใช่ตอนนี้
นิสัยชื่นชอบตีรันฟันแทง เอะอะก็ใช้กำลังแก้ไขปัญหาของบุตรชายนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ไร้ซึ่งหนทางแก้ไข
หากจะบอกว่าตอนนี้เป็นกลียุค ซึ่งกลียุคก่อเกิดวีรบุรุษละก็ ซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องเป็นจอมยุทธที่สำเร็จการใหญ่แห่งยุคอย่างแน่นอน
บัดนี้ ซีเย่ว์ถูกบุตรชายเขาเล่นงานเสียจนราบคาบ ฉินจื้อก็กลายเป็นสมบัติในกำมือลูกสะใภ้ ทำให้ต้าโจวกลายเป็นแคว้นที่มีอาณาเขตมากที่สุดบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้
รักษาไว้ซึ่งความสงบร่มเย็น เพิ่มพูนอำนาจต่างจึงจะเป็นทิศทางในภายภาคหน้าของต้าโจว
หากว่ามอบต้าโจวให้กับซย่าโหวฉิงเทียนในตอนนี้ ซย่าโหวจวินอวี่คงมิอาจวางใจได้ ด้วยเกรงว่าแคว้นที่สมบูรณ์พูนพร้อม จะถูกซย่าโหวฉิงเทียนละเลงจนย่อยยับ
เพราะอย่างไรเสียนิสัยของซย่าโหวฉิงเทียนก็แข็งกระด้างเกินไป ไม่รู้จักโอนอ่อนผ่อนตามเสียบ้าง
เป็นฮ่องเต้ที่ดี จะใช้เพียงวรยุทธ์ที่สูงส่งมันไม่เพียงพอหรอก…
ในขณะที่ซย่าโหวจวินอวี่กำลังกังวลนั่นเอง เซี่ยงจิ้นก็กล่าวคำพูดไม่เหมาะสมแก่เวลาขึ้นมา
“หากวเป็นองค์หญิงน้อยขึ้นมาละพ่ะย่ะค่ะ”
คราวนี้ทำเอาซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับเต้นเร่าๆ ราวกับแมวที่ขนลุกขนพอง เถียงหน้าดำหน้าแดงคอเป็นเอ็น
“จะต้องเป็นลูกชายอย่างแน่นอน! ท้องแรกจะต้องเป็นผู้ชาย!”
เรื่องนี้เซี่ยงจิ้นก็แสดงท่าทีสงสัยต้องการคำชี้แจงออกมาอย่างชัดเจน
“ฝ่าบาท เหตุไฉนจะต้องเป็นท่านอ๋องน้อยละพ่ะย่ะค่ะ ชาวบ้านว่า มีลูกสาวก่อนค่อยมีลูกชาย คล้องกับอักษรที่แปลว่า ‘ดี’ พอดิบพอดี นี่ต่างหากจึงจะถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุด!”
“เหลวไหล! ข้ารอถึงตอนนั้นไม่ไหวหรอก!”
ซย่าโหวจวินอวี่ คาดคะเนตนเอง
โบราณว่าไว้สันดานของคนเปลี่ยนยากเสียยิ่งกว่าเปลี่ยนแผ่นดินเสียอีก
หากนิสัยโหดเ**้ยมมุทะลุของบุตรชายเขาถลำไปไกลจนกู่ไม่กลับ เขาก็ทำได้เพียงแต่ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่หลานชายแล้ว
หล่อหลอมหลานปู่ที่สมบูรณ์แบบสักคนต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงสิบห้าปี!
เมื่อมานั่งนับอายุอานามของตนเอง ซย่าโหวจวินอวี่ก็รู้สึกว่าเขาอาจจะรอไม่ได้นานขนาดนั้น
เดิมทีแล้ววรยุทธ์ของเขาก็มีเท่าหางอึ่ง บวกกับหลายปีมานี้ใช้ชีวิตกินดีอยู่ดีอยู่อย่างสุขสบายมากไปเสียหน่อย จนขาดการออกกำลังกาย ร่างกายอวบอ้วน จึงมีภาวะอาการหอบหายใจ แน่นหน้าอกอะไรพวกนี้มาตั้งนานนมแล้ว
เมื่อก่อน ซย่าโหวจวินอวี่มักจะคิดว่า ลูกหลานล้วนมีบุญวาสนาเป็นของพวกเขาเอง แต่เรื่องนี้คงใช้ได้แต่กับลูกๆ คนอื่นเท่านั้น!
ซย่าโหวฉิงเทียนคือเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของเขากับมู่หรงเยียน เขาจะไม่ช่วยเหลือได้อย่างไรกัน!
และลูกคนนี้ต้องลำบากยากเข็ญมาหลายปี ทั้งขาดมารดา เขาผู้ซึ่งเป็นบิดาซย่าโหวฉิงเทียน จึงมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบบุตรชายของเขา! นี่คือลูกชายแท้ๆ ของเขาเชียวนะ!
“ไม่มีคำว่าสมมติ! ข้าดูโหงวเฮ้งหน้าตาอวี้เฟยเยียน นางจะต้องตั้งครรภ์ลูกชายได้ในครั้งแรกอย่างแน่นอน! เพราะร่างกายสมบูรณ์พร้อม!”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งแล้ว!”
เซี่ยงจิ้นเคารพบูชาในซย่าโหวจวินอวี่ยิ่งนัก
“ฝ่าบาททรงดูโหงวเฮ้งให้กระหม่อมสักหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เหลือบสายตามองไปที่เซี่ยงจิ้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่ง
“อย่างเจ้าที่เก่งกาจเรื่องประจบสอพลอน่ะหรือ จะต้องมีอายุยืนยาวเป็นแน่! วางใจเถอะ เจ้าเป็นผู้มีวาสนาคนหนึ่ง!”
ใครๆ ต่างก็บอกว่า ‘วาจาของฮ่องเต้หนักแน่นดั่งทอง’ เซี่ยงจิ้นได้ยินคำพยากรณ์เช่นนั้นถึงกับนั่งลงคุกเข่าเอ่ยว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
มีวาสนาได้ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายที่ใหญ่ที่สุดในต้าโจว มิเท่ากับมีวาสนาอีกหรือ!
เมื่อคิดว่า ตนเองจะได้เป็นเสด็จปู่ในภายหน้าไม่ช้านี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ้มจนตาหยีมือก็ลูบที่ท้องของตนเองแผ่วเบา ข้าก็รอเพียงจะได้อุ้มหลานเท่านั้นเอง!
โดยที่ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนมิได้ล่วงรู้เลยว่า ความสามารถในการคิดละเมอเพ้อฝันของฝ่าบาทจะก้าวรุดหน้าไปไกลแสนไกลเสียแล้ว
พวกเขายิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซย่าโหวจวินอวี่เป็นพวกลงมือกระทำจริง
หลังจากที่คิดว่ากำลังจะมีหลาน ซย่าโหวจวินอวี่ก็เริ่มที่จะตระเตรียมหลายสิ่งหลายอย่าง
เมื่อฤดูร้อนกำลังจะสิ้นสุด อวี้เฟยเยียนและคณะจึงเตรียมตัวออกเดินทางกลับมาตุภูมิ
หลายสิ่งหลายอย่างที่คงเหลือจากฉินจื้อก็ถูกเชียนเยี่ยเสวี่ยใช้วิธีการบังคับขู่เข็ญจัดการไปจนเรียบร้อย
ยกตัวอย่างเช่นหูจื้อเหนิง ที่เขาลักลอบสนับสนุนให้ราชนิกุลเก่าเดิมของฉินจื้อตั้งตัวเป็นศัตรูกับซย่าโหวจวินอวี่ ผลลัพธ์ก็คือ เชียนเยี่ยเสวี่ยฆ่าเขาทิ้งเสียเลย
เมื่อมีหูจื้อเหนิงให้เห็นเป็นตัวอย่าง คนอื่นๆ ก็มิกล้าเหิมเกริมขึ้นอีก
เมื่อไม่ต้องสวมหัวโขนฐานะเยี่ยนอ๋องอีกต่อไป เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ และนางจึงค่อยๆ ละวางความเจ็บปวดจากเรื่องราวในอดีตของฉู่ฮองเฮาได้ในที่สุด เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเดินทางกลับต้าโจว เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงตัดสินใจเดินทางกลับมาพร้อมกับพวกเขา โดยมีตี้อู่เฮ่ออีและหนานกงจื่อ หลิงร่วมทางมาด้วย
คนทั้งสองกว่าจะแอบย่องออกจากเมืองอู๋โยวมานั้นไม่ง่าย จึงคิดว่าจะอยู่เที่ยวเล่นต่ออีกสักหน่อย
ซึ่งกว่าที่คนทั้งห้าจะเดินทางถึงต้าโจว เวลาก็ล่วงเลยไปถึงปลายเดือนเก้า
และแม้ฮ่องเต้ตัวอ้วนคาดหวังว่าจะได้พบลูกชาย ลูกสะใภ้และว่าที่หลานปู่ในเวลาอันใกล้ แต่เมื่อไตร่ตรองว่านี่เป็นครรภ์แรกของอวี้เฟยเยียน จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษแล้วก็เข้าใจ
ดังนั้น ซย่าโหวจวินอวี่จึงเขียนจดหมายถึงซย่าโหวฉิงเทียนไม่หยุดหย่อน โดยคอยย้ำเตือนผ่านจดหมายซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเดินทาง เพราะอย่างไรเสียในตอนนี้ราชสำนักก็สงบสุข ขอให้พวกเขาค่อยๆ เดินทางมาพร้อมทั้งดื่มด่ำความสวยงามของบรรยากาศโดยรอบตลอดการเดินทาง ที่สำคัญที่สุดจะต้องคอยดูแลอวี้เฟยเยียนให้ดี
ในจดหมายทุกฉบับของที่ซย่าโหวจวินอวี่เขียนถึงซย่าโหวฉิงเทียนนั้นก็จะเน้นย้ำเสมอว่าให้ดูแลอวี้เฟยเยียนให้ดี ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็คิดว่าเป็นสิ่งที่เขาสมควรทำอยู่แล้ว
มีเขาอยู่ เขาจะไม่ปล่อยให้อวี้เฟยเยียนต้องได้รับความทุกข์ร้อนใดๆ เป็นแน่
อีกทั้งซย่าโหวจวินอวี่ยังเลียบๆ เคียงๆ ถามถึงสุขภาพร่างกายอวี้เฟยเยียนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ปากท้องเป็นอย่างไรนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ตวัดพู่กันตอบกลับเพียงสองคำสั้นๆ ว่า ‘ดีมาก’
ดังนั้น ความเข้าใจผิดที่งดงามจึงเริ่มต้นขึ้น!
ฮ่องเต้ทรงปีติยินดีเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ตนคาดเดานั้นเป็นความจริง จึงยิ่งตระเตรียมทุกอย่างให้กับหลานชายไว้พร้อมสรรพ
โดยที่เขาหารู้ไม่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพียงจินตนาการของเขาเองทั้งนั้น!
ขณะเดียวกันในเวลานี้ ตระกูลหนานกง ณ เมืองอู่โยวที่แสนไกลก็ได้ทำการต้อนรับแขกเผ่าตานผู้หนึ่ง
“น้องสะใภ้ตายแล้ว!”
เมื่อได้ฟังคำพูดผู้อาวุโสฝ่ายตานขวาตี้อู่เฉิน ก็ทำให้หนานกงเอ๋าและซย่าจื่ออวี้ตระหนกเป็นอย่างมาก
หนานกงเอ๋ายังเล่าเรื่องที่ตนเองได้เชื้อเชิญตี้อู่หงเยี่ยให้สะกดรอยตามหนานกงจื่อหลิง จะได้เข้าถึงตัวเจ้าปีศาจน้อยผ่านทางหนานกงจื่อหลิง จุดประสงค์เพื่อนำหัวใจมาเปลี่ยนให้กับหนานกงเช่อนั้นให้กับตี้อู่เฉินได้ฟังโดยละเอียด
“อู่เม่ยเป็นถึงวีรชนอาวุโส ซึ่งแผ่นดินหลัวอวี่มีกฎแห่งฟ้าดินจำกัดเอาไว้ แต่เขาก็ยังอยู่ในขั้นปรมาจารย์อยู่ดี ซึ่งแผ่นดินหลัวอวี่ไม่เคยมีปรมาจารย์มาก่อน จึงน่าจะอยู่ได้อย่างราบรื่นสงบสุขนี่นา!”
หนานกงเอ๋าขมวดคิ้ว แล้วสั่งการให้คนไปตรวจสอบหยกสถิตวิญญาณของอู่เม่ยทันที
เวลาผ่านไปชั่วครู่ คนผู้นั้นก็กลับมารายงานบอกว่าหยกวิญญาณของอู่เม่ยแหลกเหลวกลายเป็นผุยผง
“ใช่ เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
ตี้อู่เฉินถึงกับผุดลุกขึ้น “หยกสถิตวิญญาณหงเยี่ยก็แหลกเหลวเป็นผุยผงเช่นกัน!”
เหตุการณ์นี้ทำให้คนทั้งสามเงียบนิ่งลงไป
คนอยู่ หยกอยู่ คนตาย หยกแหลกเหลว
ระดับความแหลกเหลวของหยกสถิตวิญญาณจะแสดงถึงสภาพการตายเจ้าของหยกเอาไว้อย่างชัดเจน
หากเจ้าของแก่ตาย หยกจะหักเป็นสองท่อน หากถูกสังหาร หยกจะสูญสลายเป็นชิ้นเล็กๆ ตามแต่ระดับความหนักหนาสาหัสขณะที่ตาย
แต่หยกสถิตวิญญาณแหลกเป็นผุยผงเช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!
หรือว่าขณะที่ตายคนทั้งสองถูกกระทำให้แหลกเหลวอย่างนั้นหรือ
ตี้อู่หงเยี่ยคือปรมาจารย์ อู่เม่ยอยู่บนแผ่นดินหลัวอวี่ก็เป็นถึงปรมาจารย์ ด้วยวรยุทธ์ของคนทั้งสองแล้วอยู่บนแผ่นดินหลัวอวี่แทบจะนอนกินด้วยซ้ำไป ไม่น่าจะมีสิ่งใต่อกรกับพวกเขาเอาไว้ได้นี่นา!
หรือพวกเขาพบเจอกับใครเข้ากันแน่ แล้วพบเจอกับอะไรมาบ้าง