ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 35 เจ้ายังจะพูดคำเดิมอยู่หรือไม่

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 35 เจ้ายังจะพูดคำเดิมอยู่หรือไม่ โดย Ink Stone_Fantasy

“คิกๆ”

หลังจากที่พวกเขาเดินมาได้ไกลพอควรแล้ว เยวี่ยซินเหยาก็ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป

“ศิษย์พี่ ท่านนี่ร้ายจัง เหตุใดจึงกล้าใช้เล่ห์กลเช่นนั้นจัดการกับศิษย์พี่จูฉินได้”

เมื่อครู่ตอนที่ได้ชมการแสดงแสนขบขันของหวังลู่ เยวี่ยซินเหยาก็รู้สึกชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดศิษย์พี่หวังลู่จึงอยากให้นางมาพบจูฉินด้วยกัน

ศิษย์พี่หวังลู่เพียงต้องการใช้นางปิดปากจูฉิน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นตรรกะที่บิดเบี้ยว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านาง ก็ทำให้จูฉินอับจนคำพูดได้ ทักษะพลิกขาวเป็นดำเช่นนี้บีบให้ผู้คนไม่อาจทำสิ่งที่ใจต้องการได้

“ฮ่าๆ ข้าเองก็ต้องขอบใจการแสดงของศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากไม่น้อยที่ข้าต้องแสดงท่าทีกระดากอายต่อหน้าจูฉินจอมโง่เง่านั่น”

เยวี่ยซินเหยามิอาจกลั้นหัวเราะได้อีกครั้ง จากนั้นนางก็ถามขึ้น “มันจะได้ผลจริงหรือ แล้วที่ท่านปรากฏตัวให้เห็นแบบนี้จะไม่ถือว่าเสี่ยงไปหรือศิษย์พี่”

หวังลู่ถอนหายใจ “เช่นนั้นจะให้ข้าทำอย่างไร นอกจากตัวข้าเองแล้วข้าจะหวังพึ่งใครให้กำราบจูฉินได้ เหวินเป่าผู้รู้ตื่นน่ะหรือ เจ้าอ้วนนั่นอาจทำให้จูฉินรู้สึกหงอได้ก็จริง แต่มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะทำให้เจ้านั่นเงียบปากได้”

“อืม” เยวี่ยซินเหยาพยักหน้าเข้าใจ “แต่ศิษย์พี่จูฉินไม่ปิดปากเงียบไปตลอดกาลแน่ เขาย่อมไม่ยอมรับว่าถูกท่านปั่นหัวเข้าให้แล้ว”

หวังลู่ยิ้ม “ใช่ อย่างน้อยสองสามวันหลังจากนี้ตอนที่เขาสงบลง เขาย่อมหาเหตุผลมาสนับสนุนให้ตัวเองส่งจดหมายไปหาผู้อาวุโสเพื่อเปิดโปงข้าแน่ ทว่าข้าเองก็ต้องการเวลาเพียงสองสามวันนี้แหละ”

ศิษย์น้องเยวี่ยกะพริบดวงตางดงามของนางขณะมองมายังหวังลู่อย่างงงงวย

ในความคิดของเยวี่ยซินเหยา ปัญหาของหวังลู่ไม่อาจแก้ได้ในเวลาสองสามวัน ด้วยผู้ติดตามเกินล้านคน ทันทีที่ผู้อาวุโสได้รับรายงานและลงจากเขามาเพื่อสืบสวนเรื่องนี้ หวังลู่ในฐานะจำเลยหลักที่อยู่เบื้องหลังย่อมต้องถูกเปิดโปงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้น สำนักคงต้องลงโทษอย่างเข้มงวดจนแม้กระทั่งอาวุโสห้าก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้

มาถึงตอนนี้ เยวี่ยซินเหยายังไม่ตระหนักถึงบทบาทที่นางเพิ่งแสดงไป นางเพียงเป็นกังวลเรื่องหวังลู่เท่านั้น

ทว่าหวังลู่ยังคงมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม “วางใจเถอะ ศิษย์น้องหญิง ในเมื่อนักผจญภัยมืออาชีพเช่นข้าออกหน้ารับผิดชอบเอง เจ้าก็แค่ยืนเฉยๆ ดูเรื่องนี้คลี่คลายเถอะ”

“จริงหรือ เช่นนั้นก็ดี งั้นข้าจะรอชมการแสดงของท่านก็แล้วกัน…”

“ฮ่าๆๆ อย่ารอชมการแสดงของข้าเลย เจ้ารอชมเหวินเป่าศิษย์ร่วมสำนักของเราดีกว่า บทบาทของเขาในการแสดงครั้งนี้สำคัญไม่น้อย” ————

ขณะที่หวังลู่และเยวี่ยซินเหยากำลังรับมือกับจูฉิน เหวินเป่าและผู้ช่วยทั้งสองก็อยู่ในวิหารประทีปเป็นที่เรียบร้อย

“เช่นนั้น นอกจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้แล้ว อาวุโสเหวินอยากจะเพิ่มเติมสิ่งใดอีกหรือไม่”

ในห้องโถงหลัก หลี่น่าน่านั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน ในมือถือถ้วยชาส่งกลิ่นหอม นางยกถ้วยขึ้นมาจิบด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจปกปิดท่าทีอดกลั้นของนางไม่ได้

ที่นั่งข้างๆ หลี่น่าน่าคือเหวินเป่าที่เหงื่อเย็นๆ พรั่งพรูทั่วทั้งร่างราวฝนตก เขาค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากย่ามสีเหลืองหม่นด้วยมืออันสั่นเทา จากนั้นก็ซับเหงื่อของตบเบาๆ แล้วค่อยๆ เค้นรอยยิ้มแฝงความนัยออกมาโดยที่ไม่ได้กล่าวอะไร

แม้แต่ผู้ช่วยทั้งสองคนซึ่งนั่งอยู่ทางขวาของหวังลู่ ซึ่งก่อนหน้านี้กระตือรือร้นไม่เบา พอมาตอนนี้พวกเขากลับนั่งตัวลีบอยู่บนเก้าอี้อย่างไม่ไหวติง ทำให้บรรยากาศยิ่งเย็นยะเยือกเข้าไปใหญ่

คนทั้งสามต่างวิตกกังวล นั่นเพราะรัศมีของเชียนฮู่แห่งวิหารประทีปนั้นรุนแรงเกินไป แม้ตบะของนางจะอยู่เพียงขั้นสร้างฐาน และแม้นางจะเป็นเพียงหญิงสาวบอบบางร่างสูง ทว่าคำพูดและกิริยาแผ่ความอาจหาญหนักแน่นซึ่งไม่น้อยหน้าชายฉกรรจ์แม้แต่น้อย ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามรู้สึกละอายในความบกพร่องของตน

หลังจากเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากทิ้ง รอยยิ้มของเหวินเป่าก็ค่อยๆ แข็งทื่อขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเชียนฮู่ที่ดูจะหมดความอดทนเข้าไปทุกที

เมื่อวาน ศิษย์พี่ของเขาได้กล่าววาจาหวานหูเอาไว้ บอกว่าการเจรจาเช่นนี้มักไม่จบลงในวันสองวัน เขาเพียงต้องเล่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของสำนักภูมิปัญญาให้อีกฝ่ายหนึ่งฟังก็พอ… แต่มันจะง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร! เขาพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้มาหลายนาทีแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับดูอดรนทนไม่ได้ อยากจะข้ามประเด็นไร้แก่นสารนี่เพื่อเข้าสู่ประเด็นหลักเสียที

“เจ้าสำนักของเจ้าคือใคร แม้เจ้าจะอวดอ้างต่อเหล่าผู้ติดตามว่าเจ้าสำนักของเจ้าเป็นเซียนจริงๆ แต่มากสุดเขาคงแค่ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นพิสุทธิ์กระมัง”

แค่คำถามแรก เหวินเป่าก็ต้องสังเวยอาวุธวิเศษที่เขามี นั่นคือ รอยยิ้มแฝงความนัยเสียแล้ว ทว่าปฏิกิริยาต่อรอยยิ้มนั้นก็คือ เชียนฮู่วางถ้วยชาลงและถามเสียงเย็น “หา? นี่เจ้าบอกไม่ได้หรือ น่าสนใจดีนี่ หรือตัวตนของเขาจะเปิดเผยไม่ได้กันแน่”

เหวินเป่ายังคงยิ้มเป็นนัยต่อไป

“เป็นเจ้าเองที่เสนอการร่วมมือกันระหว่างเจ้ากับวิหารประทีป แต่นี่แค่จะเปิดเผยตัวตนของเจ้าสำนักยังทำไม่ได้ แล้วจะสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้อื่นได้อย่างไร!?”

เมื่อได้เห็นสีหน้าที่ดุดันและได้ฟังคำพูดที่เกี้ยวกราด ใจของเหวินเป่าก็เต้นระรัว เขาจึงรีบหันศีรษะมองหาความช่วยเหลือจากผู้ช่วย แต่ใครจะรู้ว่าผู้ช่วยทั้งสองนั้นกลับหวาดผวายิ่งกว่าจนเอาแต่ก้มหน้าลง!

เคราะห์ดีที่เชียนฮู่ทำเพียงส่ายศีรษะและเปลี่ยนเรื่อง “ช่างเรื่องตัวตนของเจ้าสำนักเจ้าไปก่อนมาพูดเรื่องเจ้ากันดีกว่า แรกเริ่มเดิมทีเจ้ามาจากสำนักกระบี่วิญญาณสินะ ที่เจ้ามาร่วมกับสำนักภูมิปัญญาเช่นนี้สำนักของเจ้ามีท่าทีเช่นไร พวกเขายินยอมหรือ”

เหวินเป่าเหมือนได้ยินเสียงหนักๆ ฟาดเข้าที่หน้าอก เขาจะกล้าพูดความจริงได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากฉีกยิ้มต่อ

เชียนฮู่ขมวดคิ้วแน่น “เรื่องนี้ก็พูดไม่ได้หรือ ดี งั้นข้าถามเรื่องอื่น…”

ทว่าหลังจากไถ่ถามไปอีกหลายข้อ นางก็ยังคงได้รับคำตอบเดิม นั่นคือรอยยิ้มแฝงความนัย ปัญหาก็คือศิษย์พี่เชียนฮู่ผู้นี้ฉลาดเฉลียวเกินไป คำถามแต่ละข้อของนางล้วนแล้วแต่เป็นความลับของสำนัก อีกทั้งนางยังเป็นคนตรงไปตรงมา จนทำให้อีกฝ่ายไม่อาจทำเพียงตอบส่งๆ ได้ สำหรับเหวินเป่า เมื่อได้ยินคำถามของนางก็เหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น ทั้งสองสิ่งนี้ล้วนทำให้ตะคริวขึ้นหน้าทั้งสิ้น

ในตอนนั้นเอง ความอดทนของเชียนฮู่ก็ใกล้จะหมดลง นางวางถ้วยชาลง เคาะนิ้วกับพนักเก้าอี้ หลังจากนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง นางจึงถามขึ้น “ลือกันว่าสำนักภูมิปัญญาของเจ้าสอนวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาให้เหล่าผู้ติดตาม เป็นความจริงหรือไม่”

เหวินเป่าเกือบจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ ทว่าเขายังต้องรักษารอยยิ้มเอาไว้ เขาต้องอดทนให้ได้ไม่ว่าจะรู้สึกอัดอั้นตันใจเพียงไรก็ตาม

สายตาของเชียนฮู่เป็นประกายขึ้น ไอรังสีของนางวูบไหวขณะที่นางโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “ไม่อยากตอบหรือ ในเมื่อเจ้าไม่ปฏิเสธ เช่นนั้นคงเป็นเรื่องจริงสินะ”

เหวินเป่ารู้สึกเหมือนปวดปัสสาวะจนแทบกลั้นไม่ได้ เขาสบถคำด่าใส่หวังลู่อยู่ในใจ แม้หวังลู่จะหลอกเขาอยู่บ่อยครั้ง ทว่าครั้งนี้ความอับอายที่เขาได้รับต่อหน้าหญิงสาวแสนเย็นชาผู้นี้ทำให้เกิดคลื่นแห่งความอัปยศไหลท่วมจิตใจของเขา

เหวินเป่าคิดในใจ ‘ระยำเถอะ! เหตุใดข้าจึงต้องแบกหน้ารับผิดชอบอะไรเช่นนี้ด้วย!? ข้าเป็นเพียงแค่หัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐานเล็กๆ ที่เก่งกาจเพียงเรื่องขนอิฐขนปูน ข้าไม่ได้รับผิดชอบหน้าที่นี้ แล้วทำไมต้องมาทนทุกข์เพราะมันด้วยเล่า!? หนำซ้ำต้องมาเกิดต่อหน้านางด้วย’

จิตใจของเด็กหนุ่มร่างอ้วนเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก เขาจึงไม่ทันสังเกตว่าท่าทีของหญิงสาวตรงหน้าแปลกไป

อึดใจถัดมา เหวินเป่าก็ได้เห็นความผิดหวังปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในสายตาของเชียนฮู่ มันไม่ใช่ความผิดหวังที่มีต่อความเชื่อใจของสำนักภูมิปัญญา แต่…เป็นความผิดหวังในตัวเหวินเป่า

เหวินเป่าครุ่นคิดอย่างสงสัย ‘ทำไมกัน นางย่อมต้องคาดหวังก่อนจึงจะผิดหวังได้ มีสิ่งใดในตัวข้าที่คู่ควรให้คาดหวังกัน ข้าก็แค่…’

ทันใดนั้น แรงกระตุ้นระลอกใหญ่ก็ไหลบ่าไปทั่วร่างของเหวินเป่า ทำให้จิตใจของเขาฮึกเหิมขึ้นมา

ครู่ถัดมา หลี่น่าน่าก็มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเหวินเป่าค่อยๆ ยืดตัวตรงแล้วเปิดปากพูด “ข่าวลือเรื่องวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระโดยแท้”

หลี่น่าน่านิ่งอึ้งไปพักใหญ่เมื่อเห็นว่าท่าทางงอตัวด้วยความกลัวของเหวินเป่ามลายหายไปราวกับหิมะในทะเลทรายและแทนที่ด้วยท่าทางสุขุม นิ่งเฉยและมั่นใจ

หญิงสาวยิ้ม “เหลวไหลไร้สาระ?”

“ถูกต้อง สำนักภูมิปัญญาของเราได้รับแนวทางจากสวรรค์ที่สามารถช่วยเร่งความเร็วในการบำเพ็ญเซียน แน่นอนว่าเป็นวิธีที่เที่ยงธรรม ไม่ใช่วิธีที่ชั่วช้า ข้าเกรงว่าข่าวลือดังกล่าวน่าจะมาจากบุคคลที่คิดมุ่งร้ายซึ่งมีใจริษยาความก้าวหน้าของสำนักเรา ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจทำลายชื่อเสียงที่ดีงามของสำนักภูมิปัญญา”

รอยยิ้มของหลี่น่าน่ากว้างขึ้น “หากเป็นเช่นนั้นก็ดี มิเช่นนั้นแม้เจ้าจะเสนอเงื่อนไขที่เลิศเลอเพียงใด วิหารประทีปของเราก็ไม่อาจปลงใจกับสำนักมารได้”

เหวินเป่าตระหนก เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของศิษย์พี่เชียนฮู่ เขาก็รู้ทันทีว่าปัญหายุ่งยากได้ตกมาสู่ตัวของเขาแล้ว

หลี่น่าน่าไม่ได้ต้องการความจริงเพียงแต่ต้องการคำอธิบายที่พอฟังขึ้น ก่อนหน้านี้เขายังไม่กระจ่างในเรื่องนี้ทำให้เอาแต่อึกอักล่าช้า ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะแสดงท่าทีผิดหวัง

ในเมื่อคำถามนี้ตอบไปแล้ว เขาย่อมต้องตอบคำถามถัดไปได้อย่างราบรื่นแน่

“เจ้ามาจากสำนักกระบี่วิญญาณ สำนักเจ้ามีทีท่าเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”

เหวินเป่าหัวเราะ “สำนักทั้งไม่ได้สนับสนุนและไม่ได้ทัดทาน นโยบายเรื่องการเรียนรู้ของสำนักส่งเสริมให้ลูกศิษย์มีอิสระอย่างแท้จริง ตราบใดที่เหล่าศิษย์ไม่ละเมิดกฎ พวกเราย่อมใช้ทุกอย่างบนเส้นทางบำเพ็ญเซียนเพื่อช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ได้”

“แม้แต่การร่วมมือกับสำนักของโลกมนุษย์น่ะหรือ”

“เส้นแบ่งระหว่างโลกเซียนกับโลกมนุษย์นั้นไร้ขอบเขต อย่างน้อยนี่ก็เป็นทัศนคติของสำนักกระบี่วิญญาณ ยกตัวอย่างเช่น บุตรสาวของเจ้าสำนักกระบี่วิญญาณยังสามารถเปิดโรงเตี๊ยมอยู่ในโลกมนุษย์ได้เลย”

เมื่อได้ฟังข้อมูลล่าสุดหลี่น่าน่าก็ถึงกับผงะไป “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ… แล้วตัวเจ้าสำนักภูมิปัญญาเล่า”

เหวินเป่าตอบ “ไม่ใช่เซียนจริงๆ แต่ดียิ่งกว่าเซียน ท่านก็เห็นความสามารถของเขาได้จากการพัฒนาของสำนักภูมิปัญญานี่ จริงไหม”

“เจ้าบอกว่าอยากร่วมมือกับเรา เจ้ามีข้อเสนออะไร”

“กำลังคนมหาศาลที่เชื่อใจได้ ทรัพยากรของโลกเซียนที่มีมหาศาล รวมถึงพันธมิตรคุณภาพสูงที่มีโอกาสไม่จำกัด”

“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด”

เหวินเป่าอึ้งไปอึดใจหนึ่ง เขากัดฟัน จากนั้นก็เดาอย่างหนักแน่น “การยอมรับอย่างเป็นทางการจากประเทศต้าหมิง” …

การเจรจาถามตอบยังคงดำเนินไป เวลาก็เคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์ภายนอกหน้าต่างลาลับไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากที่วางถ้วยชา ซึ่งถูกเติมด้วยน้ำเปล่าหลายต่อหลายครั้งลง หลี่น่าน่าก็พยักหน้าอย่างพออกพอใจ “การเจรจาวันนี้ช่างน่ายินดีนัก”

เหวินเป่าถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นจึงกล่าวว่า “เช่นกัน”

“เช่นนั้นขอข้าถามคำถามสุดท้าย”

เหวินเป่ากล่าวอย่างฮึกเหิม “เชิญท่านถามมาได้เลย”

“เมื่อวานเจ้าบอกว่าเจ้าชอบข้า เป็นความจริงไหม”

“แค่ก!” เหวินเป่าพ่นของเหลวที่อยู่ในปากออกมาใส่ถ้วยชา

เมื่อเห็นสีหน้ายุ่งยากของเหวินเป่า หลี่น่าน่าก็คลี่ยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ข้าพูดเล่น อย่าถือเป็นจริงเป็นจังไป… พรุ่งนี้เวลาเดิม โปรดเตรียมรายละเอียดการร่วมมือกันมาด้วย ข้าย่อมยินดีที่จะได้เห็นมัน”

จากนั้นหญิงสาวก็ลุกขึ้นยืน “ส่งแขก”

หลังจากนั้น บ่าวหลายคนก็เข้ามายังโถงหลักและนำทางเหวินเป่าและผู้ช่วยทั้งสองออกไป ก่อนที่จะเดินพ้นประตูทางเข้า เหวินเป่าก็หันกลับไปมองรูปร่างอรชรของหญิงสาว ทันใดนั้นในใจของเขากลับรู้สึกถึงความสูญเสียใหญ่หลวง

……………………………………