ตอนที่ 36 ความสำราญขั้นสุดของเจ้าอ้วนเดนตายกลับกลายมาเป็นความระทม โดย Ink Stone_Fantasy
พอก้าวเท้าออกนอกวิหารประทีป ความตั้งใจแรกของเหวินเป่าคือตรงกลับไปที่โรงเตี๊ยม แต่เขากลับสังเกตเห็นร่างของหวังลู่และเยวี่ยซินเหยาเดินเคียงข้างกันมาที่มุมหนึ่งของถนน
เหวินเป่ารีบไล่ให้ผู้ช่วยทั้งสองกลับไปก่อน จากนั้นก็สาวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้เห็นเศษเสี้ยว ‘ความสูญเสีย’ บนใบหน้าของเหวินเป่า หวังลู่ก็ส่งยิ้มเย้าแหย่มาให้พลางพูดว่า “เจ้าอ้วน แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว แต่ฤดูใบไม้ผลิก็รออีกไม่นานหรอกน่า!”
“หึ” เยวี่ยซินเหยาปิดปากหัวเราะขำ
เหวินเป่ายืนคอตกอย่างเศร้าหมอง เขาเหลือบมองใบหน้าอาบรอยยิ้มของเยวี่ยซินเหยา แล้วความรู้สึกขมขื่นที่เหลือจะพรรณนาก็เอ่อท้นจิตใจขึ้นมาอีกครั้ง
“การเจรจาเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อถูกถามถึงเรื่องสำคัญ เหวินเป่าก็ข่มอารมณ์ของตัวเองและตอบกลับอย่างกระตือรือร้น
หวังลู่ตบบ่าของเจ้าอ้วน “ไม่เลว เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
ทว่าเหวินเป่ากลับส่ายศีรษะอย่างเศร้าสร้อย “ทั้งหมดนี่เป็นเพราะรากฐานที่มั่นคงซึ่งศิษย์พี่ปูทางไว้… ความจริง อีกฝ่ายดูจะสนใจการร่วมมือกันครั้งนี้อยู่แล้ว วันนี้ข้าก็แค่ผลักเรือไปตามน้ำ ไม่มีสิ่งใดคู่ควรให้เอ่ยถึงหรอก”
“การผลักเรือให้ไปตามน้ำย่อมต้องมีทักษะ อย่างน้อยคนอื่นๆ ก็ต้องยอมให้เจ้าลงมือผลักเสียก่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเจ้าก็รู้”
เพราะอยู่กับหวังลู่มานมนาน เหวินเป่าจึงรู้ดีว่าหวังลู่ตั้งใจพูดแหย่เขา จึงอดรู้สึกขัดเขินไม่ได้ “ศิษย์พี่แหย่ข้าอีกแล้ว… ข้าไม่ได้ทำอะไรสักนิด”
“ไม่เป็นไร ไม่ช้าก็เร็วเจ้าย่อมต้องทำแน่ ในเมื่อนางนัดหมายให้ไปเจรจาต่อพรุ่งนี้ คืนนี้เจ้าก็จงเตรียมตัวให้ดี พรุ่งนี้เจ้าก็ต้องพยายามให้เต็มที่ เพื่อที่ว่าความนิยมชมชอบที่นางมีต่อเราจะได้เพิ่มมากขึ้นเหมือนชั้นของเจดีย์อย่างไรเล่า”
เหวินเป่าแปลกใจ “ศิษย์พี่ ท่านจะยืนดูเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเช่นนั้นหรือ”
“ไม่เช่นนั้น เจ้าอยากให้ข้าออกจากกรอบแห่งเซียนงั้นหรือ” หวังลู่อ้าแขนออก “ในเมื่อวันนี้เจ้าเจรจากับอีกฝ่ายได้ดี เจ้าก็สมควรต้องพยายามต่อไป ตามขั้นตอนการเจรจานั้น การเปลี่ยนตัวผู้เจรจาก็เหมือนเปลี่ยนตัวคนเขียนหนังสือ เป็นการสุ่มเสี่ยงใหญ่หลวงนัก”
“นี่ นี่ต่างจากการเจรจาขั้นแรก”
หวังลู่ตบบ่าเหวินเป่า “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเดินหน้าต่อไป”
“นี่มัน!?”
เมื่อเห็นเหวินเป่ามีมีท่าเป็นกังวลอย่างแท้จริง หวังลู่จึงอธิบายอย่างจริงจัง “จนถึงตอนนี้ เจ้าเป็นบุคคลที่ดีที่สุดที่จะเจรจากับเชียนฮู่ เพราะเมื่อดูจากผลการเจรจากับนาง มันยังมีช่องทางให้วางแผนได้ เบื้องหลังเจ้ายังมีข้า เบื้องหลังหลี่น่าน่ายังมีขุนนางประเทศต้าหมิง หนำซ้ำทั้งหลี่น่าน่าและข้าต่างก็เป็นพวกอารมณ์ร้อน หากเจอกันย่อมต้องอยากเอาชนะคะคานกันแน่ ดังนั้นหากให้ข้าเป็นคนเจรจา เรื่องคงจบลงด้วยการวิวาทหรือไม่ก็ลงไม้ลงมือ ดังนั้นในเวลานี้ ข้าจึงอยากให้เจ้าออกหน้าทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย ตามที่ข้าเห็น ผลงานของเจ้าวันนี้ถือว่ายอดเยี่ยม”
เหวินเป่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ขายขี้หน้าขนาดนั้น เกียรติของข้าแทบจะไม่มีเหลือแล้ว”
“ครั้งแรกนั้น เจ้าจะสั่นกลัวก็ไม่แปลกอะไร แต่หลังจากนี้ เมื่อเจ้าได้ปลุกเหวินเป่าผู้ตื่นรู้บ่อยครั้ง ทุกอย่างมันก็จะราบรื่นขึ้น ต่อให้เจ้าต้องขายขี้หน้าแทบตาย เจ้ายังมีข้าเป็นเจ้าสำนัก ท้ายสุดและยังสำคัญที่สุด แม่นางเชียนฮู่นั่นชอบเจ้ามาก เจ้าต้องใช้ความชอบนี้ให้เป็นประโยชน์”
เหวินเป่ารู้สึกอับจนหนทาง “ศิษย์พี่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่านางชอบข้า!?”
“เจ้าลองคิดให้ดีๆ ไม่ใช่นั้นหากดูตามความสามารถของเจ้า ขายขี้หน้าขนาดนั้น เหตุใดเกียรติของเจ้าถึงยังมีอยู่เล่า”
เหวินเป่านิ่งอึ้งไปในทันใด
——
ไม่ว่าจะโต้แย้งเท่าไร เหวินเป่าก็ไม่อาจหลีกหนีงานชิ้นนี้ได้ หวังลู่ได้วางความรับผิดชอบหนักอึ้งในฐานะผู้เจรจาให้กับเหวินเป่าอย่างเลือดเย็น จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แน่นอนว่าเยวี่ยซินเหยาก็ย่อมตามหวังลู่ไป ดังนั้นเหวินเป่าจึงต้องรับบทนักสู้เดียวดายผู้เศร้าซึมอย่างไม่มีทางเลือก
ทว่าในช่วงสองวันถัดมา การเจรจากับหลีนานกลับไม่ยากอย่างที่เขาจินตนาการไว้
หลี่น่าน่าเป็นคนไม่ยอมคน ระหว่างการเจรจา นางขัดเขานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อถามคำถาม ทำให้เหงื่อเย็นๆ พรั่งพรูออกมาอาบร่างเหวินเป่าไม่หยุดหย่อน เขากลัวที่จะถูกฉีกหน้า แต่ทุกครั้งที่เขาเกือบจะเสียหน้า หลี่น่าน่ากลับตั้งใจเปิดช่องให้เขาได้พูดเลี่ยง เพื่อไม่ให้ได้อับอายจนเกินไป
อาจเพราะความตั้งใจที่จะร่วมมือกันของนางมีสูงมาก หรืออาจเพราะนางมีรสนิยมผิดธรรมดา จึงชื่นชอบเด็กหนุ่มพุงพลุ้ยอย่างเหวินเป่า… ทว่าเหวินเป่าไม่มีเวลามาคิดเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ เขาต้องรีดพลังทั้งหมดที่มีในการเจรจากับวิหารประทีปในฐานะตัวแทนของสำนักภูมิปัญญา ปัญหาที่ต้องแก้มีมากมาย ผลประโยชน์ที่จะต้องถกเถียงกันก็ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันมากเสียจนในสองวันนี้ เหวินเป่าและหลี่น่าน่าต้องใช้เวลาเจรจาทั้งวันทั้งคืนจนปากของคนทั้งคู่แห้งผาก
สองวันผ่านไป ผลสรุปของการเจรจานั้นน่าพึงพอใจยิ่งนัก วิหารประทีปได้รับการสนับสนุนจากระดับรากหญ้า ผู้ติดตามจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคนพร้อมที่จะทำตามคำสั่ง หลี่น่าน่าในฐานะหัวหน้าวิหารประทีปมีอำนาจเทียบเท่ากับรองเจ้าสำนักภูมิปัญญา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนางสามารถเข้าถึงข้อมูลของสำนักได้อย่างอิสระ เว้นแต่ข้อมูลบางเรื่องที่เป็นความลับระดับสูง เช่น ตัวตนของหวังลู่ ที่เหลือนอกจากนั้นนางสามารถรับรู้ได้ มูลค่าแค่จุดนี้จุดเดียวก็ประเมินค่าไม่ได้แล้วสำหรับหลี่น่าน่า ยังไม่รวมเรื่องที่ว่าอำนาจของรองเจ้าสำนักนั้นมีมากกว่านั้นมาก ตราบที่นางต้องการ นางสามารถสั่งการให้ผู้ติดตามก่อสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือรวมรวบทรัพยากรมาให้ได้
แน่นอนว่าผลประโยชน์ของสำนักภูมิปัญญาย่อมต้องไม่น้อย จุดสำคัญที่สุดก็คือวิหารประทีปต้องทำให้สำนักภูมิปัญญาได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากประเทศต้าหมิง!
จากสายตาคนนอก การแลกเปลี่ยนระหว่างอำนาจของรองเจ้าสำนักกับการรับรองอย่างเป็นทางการของประเทศดูเหมือนจะเป็นการต่อรองที่ล้มเหลว ทว่าสำหรับสำนักภูมิปัญญาแล้ว การรับรองอย่างเป็นทางการเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดสำหรับพวกเขา เมื่อได้รับการรับรอง สำนักภูมิปัญญาย่อมสามารถขยับขยายจากระดับหมู่บ้านเป็นระดับอำเภอ จากระดับอำเภอเป็นระดับจังหวัด โดยไม่มีสิ่งให้ต้องกังวล
ความจริงแล้ว ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงกันได้ สำนักภูมิปัญญาเป็นเพียงสำนักเถื่อนเท่านั้น แม้จะพัฒนาใหญ่โตอยู่ในประเทศต้าหมิง แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากประเทศต้าหมิงอีกทั้งยังไม่ได้ลงทะเบียนกับพันธมิตรหมื่นเซียน หากไม่ใช่สำนักเถื่อนแล้วจะเรียกกว่าอะไร จะว่าไปก็ไม่แตกต่างอะไรกับสำนักเจ็ดดาราแม้แต่น้อย
ทว่าตอนนี้เมื่อได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากวิหารประทีป สำนักภูมิปัญญาก็กลายมาเป็นสำนักที่ถูกต้องตามกฎหมาย สะอาดเอี่ยมอย่างน่าประทับใจ แม้พวกเขาจะเข้าไปหาผู้ติดตามเพิ่มในเมื่อหลวงจังหวัดหรือเมืองหลวงประเทศ ก็ถือว่าถูกกฎหมาย จากสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันของสำนักภูมิปัญญา สิ่งนี้ถือว่าสำคัญยิ่งยวด
แม้จำนวนผู้ติดตามจะมากเกินหนึ่งล้านคน และความเร็วในการพัฒนายังถือว่ารวดเร็วมาก แต่สภาวะคอขวดของสำนักภูมิปัญญานั้นเห็นอยู่ไม่ไกล หมู่บ้านห่างไกลเกือบทั้งหมดนั้นล้วนได้รับอิทธิพลจากสำนักภูมิปัญญา แต่อำเภอเล็กๆ บางอำเภอยังถูกครอบงำจากสำนักอื่น ซึ่งมักเป็นสถานที่ที่สำนักเหล่านั้นพยายามหาผลประโยชน์แต่มักไม่ได้อะไรกลับมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งถือว่าไม่มีค่าคู่ควรให้ใส่ใจ ส่วนอำเภอที่ร่ำรวยหรือแม้แต่เมืองหลวงจังหวัด สำนักภูมิปัญญาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเจาะเข้าไป และจะต้องเผชิญกับปัญญาหากคิดพยายาม และการที่จะขยับขยายไปยังประเทศอื่นๆ นั้นยิ่งเป็นตัวเลือกที่ไม่สมเหตุสมผลเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ทุกประเทศที่จะทำเป็นปิดหูปิดตาใส่สำนักเซียนที่กำลังพัฒนาพรวดๆ อย่างประเทศต้าหมิงราชสำนักของประเทศต้าหมิงในปัจจุบันมความสองจิตสองใจกับผู้บำเพ็ญเซียน และนี่เป็นเหตุผลหลักที่สำนักภูมิปัญญาสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในตอนแรก
ตอนนี้ในเมื่อได้รับอนุญาตจากวิหารประทีป สภาวะคอขวดของสำนักภูมิปัญญาก็ไม่มีอีกต่อไป และในอนาคต การขยับขยายของสำนักย่อมไม่จำกัดแน่ ดังนั้นเมื่อตกลงร่วมมือกันได้แล้ว เหวินเป่าก็ตื่นเต้นอย่างมาก ในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง เขาและผู้ช่วยทั้งสองต่างดื่มกันอย่างเต็มที่ ระดับขั้นของพวกเขานั้น สุราของโลกมนุษย์แทบไม่สะเทือนกระเพาะ ดังนั้นเจ้าอ้วนเดนตายจึงดื่มสุราไปเป็นเงินเทียบเท่าแล้วหลายร้อยศิลาวิญญาณ ซึ่งนับว่าสุรุ่ยสุร่ายอย่างแท้จริง
เช้าตรู่วันถัดมา เหวินเป่ารู้สึกหัวจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ในสุรานั้นบรรจุพลังปราณไว้ด้วย หากดื่มเพียงเล็กน้อย นอกจากจะช่วยให้ผู้ดื่มรู้สึกโล่งสบายและหย่อนใจแล้ว อาจช่วยเพิ่มพูนการบำเพ็ญเซียนด้วย ทว่าหากดื่มมากเกินไปก็อาจกระทบต่อพลังวิญญาณขั้นปฐมได้ ตอนนี้เหวินเป่ารู้สึกได้ถึงสัญญาณของการกระจายตัวของพลังวิญญาณขั้นปฐม ซึ่งต่อให้บำเพ็ญเซียนสามถึงห้าวันก็ไม่อาจเรียกคืนได้…ทว่าตลอดเวลาสองวันหนึ่งคืนของการเจรจาอย่างต่อเนื่องนั้นสั่นประสาทโดยแท้ จนแม้แต่เชียนฮู่ที่มีตบะขั้นสร้างฐานยังหมดทั้งเรี่ยวแรงและกำลังใจจนพอจบวันที่สาม นางจึงตัดสินใจที่จะเจรจารายละเอียดปลีกย่อยต่อในภายหลังหลังจากที่พวกเขาพักผ่อนเต็มที่แล้ว
พอก้าวออกมาจากเรือนรับรองแขก เหวินเป่าก็หาวยาวและพร้อมที่จะเข้าเมือง ข้อแรกเป็นเพราะเขาไม่มีอะไรจะทำ ข้อสองเขาคิดว่ามันคือการสำรวจพื้นที่ เพราะในอนาคตสำนักภูมิปัญญาย่อมต้องมาตั้งสาขาย่อยในเมืองหลวงแห่งนี้ ในฐานะหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน ความรับผิดชอบในการก่อสร้างต้องตกอยู่กับเขา ดังนั้นหากจะเตรียมตัวไว้ก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
ทว่ายังไม่ทันที่จะก้าวพ้นประตูโรงเตี๊ยม ใจของเหวินเป่ากลับกระตุกขึ้นมา พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาสั่นสะท้านราวกลับว่าเรื่องเลวร้ายครั้งยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นกับตน
อึดใจถัดมา เสียงทรงอำนาจก็ผ่านเข้ามาให้พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขา “เหวินเป่า”
เสียงนี้ช่างคุ้นนัก เป็นเพราะมันปรากฏในฝันร้ายของเขาอยู่บ่อยครั้ง เหวินเป่าตัวแข็งทื่อในทันใด “ท่านอาสาม…”
…………………………….