ตอนที่ 37 หากศิษย์อวดดีนัก เช่นนั้นท่านลุงโปรดประทานกระบี่แก่ศิษย์เถอะ โดย Ink Stone_Fantasy
ในสำนักกระบี่วิญญาณ เหวินเป่าเป็นศิษย์สำนักในซึ่งผู้อาวุโสรองหลิวเสี่ยนแห่งยอดเขาเร้นลับเป็นผู้ดูแล ดังนั้นแน่นอนว่าท่านอาสามของเขาก็ต้องเป็นผู้อาวุโสสามฟางเฮ่อ ผู้อาวุโสฝ่ายวินัย หรือที่หวังลู่ชอบเรียกว่าท่านเลขาธิการแห่งคณะกรรมาธิการสอดส่องวินัย
หลิวเสี่ยนเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดอย่างยิ่งยวด สองปีที่ฝึกบำเพ็ญเซียนในสำนัก เหวินเป่าถูกอาจารย์ท่านนี้ก่นด่านับครั้งไม่ถ้วน ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยนั้นน่ากลัวกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ครั้งนี้เมื่อได้ยินเสียงของฟางเฮ่อ เหวินเป่าจึงตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“กลับมาที่ห้องของเจ้า อาจารย์ของเจ้ากับข้าอยู่ที่นี่แล้ว”
เหวินเป่าอยากจะหนีใจแทบขาด แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่เดินตัวสั่นกลับห้องไป ทันทีที่เปิดประตู เขาก็แทบจะเป็นลมไป ณ ตรงนั้น
ไม่เพียงอาจารย์ของเขาและผู้อาวุโสสามเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ แม้แต่ท่านอาหญิงห้าเองก็มาด้วยเช่นกัน เพียงแต่เมื่อเทียบกับหลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อที่ต่างก็นั่งหน้านิ่ว ท่าทางของหวังอู่ดูผ่อนคลายกว่า เมื่อเห็นเหวินเป่าเดินเข้ามา นางก็ฉีกยิ้ม “ดูท่าว่าฤดูใบไม้ร่วงนี้เจ้าเด็กอ้วนนี่จะสะสมน้ำหนักไว้เรียบร้อยแล้ว”
ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว ดังนั้นจึงผ่านช่วงเวลาที่ผู้คนต่างกินเพื่อเพิ่มน้ำหนักมาหลายเดือนแล้ว ไม่นับรวมสองสามเดือนนี้ ในฐานะหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน เขาเกือบจะผอมลงเพราะกรำงานหนักด้วยซ้ำ เมื่อได้ฟังถ้อยคำเย้าแหย่ของท่านอาหญิงห้า เหวินเป่าจึงแค่นยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ
“ศิษย์น้องห้า อย่ามัวพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย” ฟางเฮ่อขัดขึ้น จากนั้นก็มองเหวินเป่า
อย่างเคร่งเครียด “รู้ไหมทำไมอาจารย์ของเจ้ากับข้าจึงมาที่นี่”
เหวินเป่าอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างลังเล ผู้อาวุโสมาด้วยตนเองเช่นนี้ เขายังจะกล้าเล่นลิ้นได้อย่างไร คนเหล่านี้น่าจะปรานีเขามากขึ้นหากว่ายอมสารภาพเสีย…
ดังนั้นเขาจึงเล่าแทบทุกเรื่องเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญา ตั้งแต่ตอนที่จับตัวตาแก่ลามกมาจากอำเภออู่โหวจนถึงการสนทนาอันยาวนานสองวันกับเฉียนหู ยกเว้นบางเรื่องที่อ่อนไหวเกินไปเช่นเรื่องวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา นอกนั้นเขาก็เปิดเผยทุกอย่าง
นี่เป็นความหลักแหลมอย่างหนึ่งที่เหวินเป่าได้เรียนรู้มา หากเป็นศิษย์คนอื่น พวกเขาอาจโบ้ยความผิดให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นไปแล้ว ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสที่ตรงไปตรงมา ยุติธรรมและเข้มงวด เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ อาจพาเขาไปสู่จุดจบ หนำซ้ำในเมื่อเหล่าผู้อาวุโสต้องการฟังคำอธิบาย มันก็แปลได้ว่าเรื่องราวได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว
แน่นอนว่าหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบาย หลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อกลับไม่ได้เดือดดาลขึ้นมาในทันทีทันใด พวกเขาเพียงพยักหน้าเงียบๆ ทว่าสีหน้ากลับเคร่งขรึมมากขึ้น
มีเพียงผู้อาวุโสห้าที่ยังคงไร้กังวล “เจ้าอ้วน เจ้านี่ถือว่าไม่เลว ตอนนี้ได้ดีเป็นถึงหัวหน้าหน่วย แหงสิ การเลื่อนขั้นขององค์กรที่ปกครองแบบกระจ่ายอำนาจก็น่าจะรวดเร็วอยู่แล้ว”
ทันทีที่เสียงของนางเงียบลง หลิวเสี่ยนก็ไม่อาจระงับความโกรธไว้ได้ “ศิษย์น้องห้า เจ้ายังพล่ามเรื่องไร้สาระไม่หยุดหย่อน! เมื่อครู่เจ้าก็เพิ่งได้ยินคำของเหวินเป่านี่ เห็นได้ชัดว่ารายงานของจูฉินนั้นถูกต้อง ศิษย์รักของเจ้ากำลังสร้างหายนะใหญ่หลวงเข้าให้แล้ว!”
ผู้อาวุโสห้ากะพริบตา “งั้นหรือ”
“อย่าทำไขสือหน่อยเลย! ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาเวรตะไลนี่กันล่ะ”
ผู้อาวุโสห้ายังคงกะพริบตาต่อ “ข้าว่านี่ก็เป็นพฤติกรรมของผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไป ที่เชื่อมั่นในเงินทุน แหล่งทรัพยากร ข้อมูล วิทยาการ ประสบการณ์ และปัจจัยอื่นๆ จึงตัดสินใจสร้างอุตสาหกรรมของตนเองขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการจ้างงาน หวังลู่ได้สร้างแรงจูงใจของโลกบำเพ็ญเซียนขึ้นในประเทศต้าหมิงด้วยการตั้งสำนักภูมิปัญญาขึ้น ทั้งยังแก้ปัญหาแรงงานให้คนนับล้านคน ข้าว่าสำนักเราควรยกย่องและสนับสนุนความอุตสาหะในครั้งนี้ ในขณะเดียวกันก็ควรขึ้นเงินเบี้ยเลี้ยงให้อาจารย์ของเขา…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ หลิวเสี่ยนก็โกรธมากเสียจนตบโต๊ะอย่างแรง “ลมตดเอ๊ย!”
ผู้อาวุโสห้าทำหน้าแตกตื่น “หา? ที่นี่หรือ ไม่ดีมั้ง”
ซู่ม! กระบี่พลังปราณของหลิวเสี่ยนปรากฏขึ้น พร้อมที่จะซัดเข้าใส่อีกฝ่าย
ฟางเฮ่อถอนหายใจจากนั้นก็เอื้อมมือไปดึงหลิวเสี่ยนไว้ “ท่านใจเย็นก่อนเถอะศิษย์พี่ เรามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อก่นด่าศิษย์น้องห้า แต่หาคนที่เป็นตัวการในเรื่องนี้ต่างหาก”
จากนั้นเขาก็หันไปถามเหวินเป่า “เจ้ามีวิธีติดต่อศิษย์พี่หวังลู่ของเจ้าไหม”
เหวินเป่ากล่าวตอบ “ก่อนหน้านี้น่ะมี แต่ข้าเพิ่งใช้ญาณทิพย์หยกไปเมื่อสามวันก่อน ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีหนทางติดต่อเขาแล้ว”
หลิวเสี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วรู้ไหมเขาไปไหน”
เหวินเป่านิ่งคิดจากนั้นก็ส่ายศีรษะ “ข้าไม่แน่ใจ”
“แล้วมีใครอยู่กับเขาบ้าง”
“มีศิษย์น้องหญิงเยวี่ยอยู่ด้วย”
“เยวี่ยซินเหยา?” ฟางเฮ่อขมวดคิ้วแน่น “เด็กคนนี้อยู่ในร่องในรอยมาตลอด เหตุใดจึงไปอยู่กับหวังลู่ได้”
หลิวเสี่ยนหัวเราะเสียงเย็น “ก็โดนล่อลวงไปไง จะอะไรเสียอีก หนำซ้ำเด็กคนนี้ยังไร้ประสบการณ์ แค่หวังลู่เอ่ยปากนิดนึงก็ได้แล้ว ว่าไปเมื่อเทียบกันแล้ว ฝีปากของหวังลู่เหนือชั้นกว่าอาจารย์ของเขามาก”
ผู้อาวุโสห้าส่งเสียงฮึ “เหนือชั้นกว่าอาจารย์ของเขา ศิษย์พี่รอง ท่านดูแคลนข้าเกินไปแล้ว”
หลิวเสี่ยนพูดต่อโดยไม่ใส่ใจหวังอู่ “ในเมื่อตอนนี้เรารู้แล้วว่าเขาอยู่กับเยวี่ยซินเหยา เช่นนั้นควรให้ศิษย์น้องหญิงฮว๋าอี้ตามหานางดีกว่า” จากนั้นเขาจึงชี้นิ้วไปข้างหน้าเล็กน้อยและวาดวงกลมขึ้นกลางอากาศ ช่องว่างภายในวงกลมไหวเป็นระลอก ท่ามกลางระลอกคบื่นนั้นเอง ใบหน้าของฮว๋าอี้ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
“หือ ศิษย์พี่ ท่านเรียกหาข้าหรือ”
ใบหน้าของฮว๋าอี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ช่วยข้าหาตัวเยวี่ยซินเหยาหน่อย” หลิวเสี่ยนรวบรัดตัดความ อีกทั้งฮว๋าอี้เองก็ไม่ได้ไถ่ถามถึงเหตุผล นางหลับตาลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นพลางตอบ “ไม่ไกลจากที่นั่นนัก หากท่านใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมกวาดดูให้ทั่วพื้นที่ ท่านจะพบนางในทันที” ใบหน้าเล็กๆ ของนางมีร่องรอยความสงสัย “นี่ท่านเล่นซ่อนแอบกันอยู่หรือ”
แน่ละว่าหลิวเสี่ยนไม่คิดจะเสียเวลาเล่นใดๆ ทันทีที่ได้ยินคำตอบจากฮว๋าอี้ เขาก็ใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมกวาดดูรอบๆ พื้นที่ และพบความผันผวนของพลังอิทธิฤทธิ์เฉพาะตัวที่เป็นของเยวี่ยซินเหยา แน่นอนว่าหวังลู่ที่อยู่ข้างๆ เยวี่ยซินเหยาก็สัมผัสได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์รุนแรงที่ผันผวนอยู่รอบกายพวกเขาได้จางๆ
พลังวิญญาณขั้นปฐมของหลิวเสี่ยนนั้นแข็งแกร่งมาก หากเขาเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ ทั้งประเทศต้าหมิงย่อมไม่อาจหลบเลี่ยงพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาไปได้ มันก็แค่หากเขาเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในประเทศอื่นเพื่อสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ของเขา ก็เท่ากับไม่เคารพผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ประเทศนั้นๆ และอาจส่งผลต่อการฝึกของผู้อื่นด้วย ดังนั้นหากไม่ใช่เหตุเร่งด่วน หลิวเสี่ยนจะไม่ใช้พลังไปกับพลังวิญญาณขั้นปฐมมากนัก เมื่อเขาต้องการหาตัวลูกศิษย์ เขาจะไต่ถามเอาจากผู้อาวุโสที่มีความสัมพันธ์กับลูกศิษย์คนดังกล่าว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผู้อาวุโสห้ามากับพวกเขาด้วย โชคร้ายที่นางไม่ต้องการให้ความร่วมมือสักนิด แต่เคราะห์ดีที่สุดท้ายพวกเขาเจอตัวหวังลู่ หนำซ้ำเด็กคนนี้ยังมุ่งหน้ามาหาพวกเขาเองด้วย
ไม่นานนักหวังลู่ก็ก้าวเข้ามาในห้อง เยวี่ยซินเหยาที่มาด้วยกันยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ไม่ว่าต่อจากนี้เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร นางขอเป็นเพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น
เมื่อได้เห็นหวังลู่ ฟางเฮ่อที่ไม่อาจข่มอารมณ์ตัวเองได้ก็ลุกขึ้นยืนในทันที “หวังลู่ เจ้ายอมรับความผิดหรือไม่!?”
หวังลู่นิ่งอึ้งไปพักใหญ่ สีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จากนั้นเขาจึงโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ความผิดของศิษย์ผู้นี้โดดเด่นเสียจนบดบังศิษย์พี่และศิษย์น้องคนอื่นๆ ทำให้พวกเขาหมดแรงผลักดันตนในการฝึกบพำเพ็ญเซียน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟางเฮ่อก็แทบจะผ่าร่างศิษย์จอมกบฏผู้นี้ออกเป็นสองส่วน
“ศิษย์น้องห้า เจ้าเห็นหรือยัง นี่ละผลจากการที่เจ้าสั่งสอนลูกศิษย์ของเจ้า!”
ผู้อาวุโสห้าพยักหน้าอย่างยินดี “ไม่เลว ไม่ก้าวร้าวหรือประจบประแจงเกินไป เป็นแบบที่ข้าชอบพอดี”
ไม่ก้าวร้าวหรือประจบประแจงมารดาเจ้าสิ! ความโกรธของฟางเฮ่อพุ่งทะลุหลังคา พลังวิญญาณขั้นปฐมไหลพล่าน ลมปราณเกือบแตกซ่านเพราะความโกรธเกินขีดจำกัดที่มีขึ้นเพราะ ‘สิ่ง’ นี้!
ทว่าเมื่อได้เห็นว่าผู้อาวุโสห้าตัดสินใจออกปากปกป้องหวังลู่ เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก “ศิษย์น้องห้า เจ้ากลับไปได้แล้ว”
“หือ ไวขนาดนั้นเชียว ข้ายังไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยซ้ำ”
“กลับไป!”
ศิษย์น้องห้าจึงต้องออกไปอย่างขุ่นเคืองใจ ปล่อยให้ผู้อาวุโสสองคนอยู่ในห้องกับศิษย์อีกสามคน ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยฟางเฮ่อมองหวังลู่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้งจากนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ “เจ้าเป็นเด็กฉลาด เหตุใดจึงทำเรื่องเช่นนี้”
หวังลู่ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าขอถามท่านลุง ข้าทำอะไรผิดหรือ”
ฟางเฮ่อนิ่งอึ้งไปอึดใจหนึ่ง หลังจากพิจารณาแล้วว่าหวังลู่ไม่ได้พูดให้ขำแต่ต้องการคำตอบจริงๆ เขาก็อดรำคาญนิดๆ ไม่ได้ “เจ้าก่อตั้งลัทธิในโลกมนุษย์ แล้วยังกล้าถามว่าทำอะไรผิดอีกหรือ”
ฟางเฮ่อไม่คาดคิดว่าหวังลู่จะปฏิเสธเสียงแข็ง “สำนักภูมิปัญญาไม่ใช่ลัทธิ ท่านลุงโปรดตรวจสอบอีกครั้ง!”
ฟางเฮ่อตบโต๊ะ “เหลวไหล! ทุกอย่างที่เจ้าทำในประเทศต้าหมิง จูฉินรายงานพวกเราหมดแล้ว เดี๋ยวข้าจะเอาให้เจ้าดู ช่วยดูซิว่าในรายงานของเขามีข้อผิดพลาดตรงไหนบ้าง!”
จู่ๆ จดหมายฉบับหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของหวังลู่ หวังลู่กำมันไว้จากนั้นก็โบกใส่เยวี่ยซินเหยา หญิงสาวก้มศีรษะให้พร้อมรอยยิ้มพลางคิด ‘เป็นไปตามที่ศิษย์พี่พูดไว้ไม่มีผิด’
ข้อความในจดหมายของจูฉินจอมขี้ฟ้องกล่าวถึงการขยับขยายของสำนักภูมิปัญญาตลอดเวลาแปดเดือนที่ผ่านมา มันไม่ได้มีถ้อยคำที่ยั่วยุหรือคำกล่าวหาเลื่อยลอย เล่ห์กลง่ายๆ นี้ยิ่งทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองดูหมิ่นหวังลู่เข้าไปใหญ่ หนำซ้ำจากการกระทำของหวังลู่เอง อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำยั่วยุด้วยซ้ำ
พออ่านจบ หวังลู่ก็ย้อนขึ้น “สำนักเรามีข้อห้ามในการตั้งสำนักระหว่างการออกเดินทางเรียนรู้ประสบการณ์ด้วยหรือ แม้ขั้นตบะของข้าจะตื้นเขิน แต่ตามกฎไม่ได้มีการห้ามตั้งสำนักนี่”
ฟางเฮ่อขมวดคิ้ว แต่ก่อนที่จะเปิดปากพูด หลิวเสี่ยนผู้ที่เป็นคนวางแผนการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ด้วยตัวเองก็โกรธขึงขึ้นมา “จุดประสงค์ในการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ก็เพื่อให้เหล่าศิษย์ได้รับประสบการณ์และพัฒนาการบำเพ็ญเซียนของตน ไม่ใช่แพร่กระจายข่าวลือและชักนำผู้คนให้เสียภาษีอย่างไร้ความปรานี! ตบะของเจ้าอยู่เพียงขั้นฝึกปราณ จะสะสมทรัพย์สมบัติไปเพื่ออะไร!? ข้าไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ปกติแล้วเจ้าก็ดูเป็นคนหัวดื้อมั่นใจในตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกโลกมนุษย์ทำให้หลงผิดได้ ยอดเขาไร้ลักษณ์ยากจนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!?”
หวังลู่ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป “วางใจเถอะท่านลุง แม้ยอดเขาไร้ลักษณ์จะยากจน ศิษย์ก็ไม่เคยยากไร้ ศิษย์ไม่เคยลืมจุดประสงค์ของการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ แม้กำไรจากสำนักภูมิปัญญาจะไม่เลว แต่ศิษย์ไม่เคยชักออกมาใช้เองสักตำลึงเดียว ศิษย์ไม่ได้ตั้งสำนักขึ้นเพื่อกอบโกยเงินทอง ขอท่านลุงโปรดตรวจสอบดูอีกที”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากหวังลู่ หลิวเสี่ยนก็ส่งเสียงฮึพลางกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพื่อเงินทอง เช่นนั้นก็เพื่ออำนาจ มันก็ไม่ต่างกันหรอก!”
ครั้งนี้หวังลู่ไม่ได้ปฏิเสธ แม้เขาจะเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงส่ง แต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งหัวหน้าสำนักภูมิปัญญา ที่คำพูดของเขาเพียงไม่กี่คำก็สามารถขับเคลื่อนคนนับล้านคนได้ สองสิ่งนี้ไม่อาจเอามาเทียบกันได้สักนิด
“ความยากลำบากในโลกมนุษย์สามารถบรรเทากิเลสของผู้คนได้ ข้าส่งเจ้าลงเขามา เพื่อให้เจ้าเติบโตจากโคลนตมอย่างไม่ด่างพร้อย มิใช่ให้เจ้ากลิ้งเกลือกอยู่ในโคลนตมนั้นเสียเอง!”
เพื่อจะโต้ตอบคำพูดนี้ ก่อนที่ผู้อาวุโสรองจะเทศนาจบ หวังลู่ก็พูดขัดขึ้น “ศิษย์ไม่เคยปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอำนาจหรือเงินทอง ในแปดเดือนนี้ศิษย์ไม่เคยหยุดบำเพ็ญเซียน และการบำเพ็ญเซียนของศิษย์ก็ก้าวหน้าขึ้นมากด้วย!”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ปล่อยคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ขั้นฝึกปราณระดับหกออกมา แม้สิ่งนี้จะเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทร แต่เมื่อเทียบกับศิษย์ในห้องนี้อีกสองคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ทั้งสอง ความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของหวังลู่ถือว่ารวดเร็วเป็นอันมาก ทว่าหลิวเสี่ยนทำเพียงเหยียดยิ้ม
“หวังลู่ เจ้าอย่าลืมสถานะของตัวเอง เจ้าไม่ใช่แค่ศิษย์ชั้นในธรรมดา แต่เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอด! เจ้าพอใจเพียงแค่ตบะขั้นฝึกปราณระดับหกเท่านั้นหรือ!? เจ้ารู้ไหม เทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ต่อให้นับเฉพาะช่วงสองสามปีแรกที่เพิ่งเข้าสำนักมาพอๆ กับเจ้า การบำเพ็ญเซียนของเจ้าก็ไม่นับว่าดีที่สุด”
หวังลู่ผู้ไม่ก้าวร้าวหรือประจบประแจงเกินไปกล่าวตอบ “หากข้าจำไม่ผิด เป็นท่านลุงเองที่สอนเราว่าอย่าหลับหูหลับตายึดติดกับขั้นตบะมิใช่หรือ แม้ขั้นตบะของศิษย์จะไม่สูงส่ง แต่ความแข็งแกร่งของศิษย์นั้นทรงพลังไม่น้อย ศิษย์ย่อมไม่ใช่เหล่าศิษย์น้องหญิงหรือศิษย์น้องชายพวกนั้นที่หวังพึ่งกับเหตุการณ์ที่บังเอิญเจอเพื่อเพิ่มขั้นตบะให้ตัวเอง ท่านลุงโปรดตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย!”
ถ้อยคำไร้ยางอายนี้ทำให้หลิวเสี่ยนอับจนคำพูดอยู่นานเกือบหนึ่งเค่อ
แม้เขาจะรู้ว่าเจ้าเด็กหวังลู่คนนี้ถูกอาจารย์ของตนทรมานทรกรรมอย่างหนักหน่วงก่อนที่จะลงเขามา ทว่าเมื่อได้มาเจอหน้ากันในครั้งนี้ หลิวเสี่ยนกลับพบว่าเขาประเมินความหัวรั้นของอีกฝ่ายต่ำไป! ฟังจากสิ่งที่เด็กคนนี้พูดออกมา แค่ทัศนคติเพียงอย่างเดียวก็น่าขุ่นเคืองแล้ว แถมตอนนี้ฟางเฮ่อผู้อาวุโสฝ่ายวินัยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กำลังมองหวังลู่อย่างโกรธเกรี้ยว คิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็วว่าหวังลู่ทำผิดกฎสำนักไปกี่ข้อแล้ว
“…เป็นเจ้าสำนักในโลกมนุษย์มานาน อัตตาในตัวเจ้าคงพุ่งสูงจนเกือบจะเสียสติไปแล้วกระมัง”
หวังลู่ยิ้ม “ข้าไม่ได้เสียสติ ท่านลุงจะทดสอบข้าก็ได้… หากศิษย์อวดดีนัก เช่นนั้นท่านลุงโปรดประทานกระบี่แก่ศิษย์เถอะ!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ทุกคนในห้องต่างก็ตกตะลึงกันถ้วนหน้า!
………………………………….