บทที่****154: ซุ่ม
หลังเกิดแสงสีทองปรากฏขึ้นต่อหน้าเจ้าอ้วน ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังมองหน้าเจ้าอ้วนด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางเป็นบุตรสาวของจ้าวสำนัก หงหยิง มีเพียงสมบัติวิญญาณกระบี่เฟิ่งหมิงเท่านั้นที่สร้างผลงานเช่นนี้ได้ ในขณะนี้กระบี่เฟิ่งหมิงกำลังกรีดร้องอยู่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามันพร้อมที่จะสังหารผู้เคราะห์ร้าย อีกทั้งคุณสมบัติของมันคือความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้!
สำหรับหงหยิงที่พบหน้าเจ้าอ้วน เมื่อเห็นเขาบาดเจ็บสาหัสนางก็อดไม่ได้ที่โกรธเกรี้ยวพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “พี่ชายอ้วน เหล่าคนสารเลวพวกนี้ใช่หรือไม่ที่ทำกับท่านเช่นนี้ ข้าจะส่งมันไปยังปรโลกให้หมด!” ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางเริ่มใช้งานกระบี่เฟิ่งหมิงอีกครั้งทันที
เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ความกลัวเข้าครอบงำพวกเขาอย่างรุนแรงถึงขั้นที่หยิบทุกสิ่งอย่างที่มีออกมาปกป้องตนเอง เมื่อได้เห็นความเร็วของกระบี่เฟิ่งหมิง แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดอยากตายตกไปด้วยสภาพเช่นนั้น
เจ้าอ้วนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนเองมีกำลังเสริมเข้ามา จากนั้นเขาเผยยิ้มกว้างพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้อง ข้ารู้สึกดีมากที่เจ้ามาทันเวลา ถ้าหากมาช้ากว่านี้อีกเพียงเล็กน้อย ข้าคงไม่มีวันได้พบหน้าเจ้าอีกแล้ว!”
“พี่ชายอ้วนอย่าได้ห่วง ถ้าหากว่าข้ายืนอยู่ตรงนี้จะไม่มีผู้ใดรังแกท่านได้แน่นอน!” หงหยิงให้สัญญา
“เหอะ!” เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจได้ยินเช่นนั้น พวกเขาส่งเสียงเหยียดหยามออกมาทันที
“สาวน้อย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครงั้นหรือ? มีเพียงดาบเล่มเดียวและไร้กำลังสนับสนุน อย่างเจ้าจะทำสิ่งใดได้?”
“อย่าคิดว่ากระบี่เฟิ่งหมิงแข็งแกร่ง แม้ว่าพวกเราจะอ่อนแอแต่พวกเราก็มีสมบัติเช่นกัน สมบัติวิเศษนับสิบชิ้นยังอยู่กับเรา! ซึ่งมันเพียงพอที่จะสั่งสอนเจ้า!”
“ฮี่ฮี่ สาวน้อยเอ๋ย เจ้ามาที่นี่เพื่อเสียสละโดยแท้จริง!”
“ประเสริฐยิ่งนัก เพียงแค่หานปิงเอ๋อไม่เพียงพอให้พวกเราเล่นสนุก พวกข้าขอต้อนรับเจ้าด้วยใจจริง!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ทุกคนหัวเราะออกมาอย่างน่ารังเกียจ
ความอดทนของหงหยิงได้หมดลงในตอนนี้ ปราศจากคำพูดที่สอง นางสั่งให้กระบี่เฟิ่งหมิงโจมตีทันที แต่ในตอนนี้การโจมตีของนางไม่มีผลใด มันไม่สามารถต่อกรกับไฟปีศาจจากอุปกรณ์ป้องกันของพวกเขาได้ ถ้าหากว่าหงหยิงอยู่ในระดับหยวนหยินและเป็นผู้ใช้กระบี่เฟิ่งหมิง การทำลายอุปกรณ์และสังหารพวกมันทั้งหมดย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่หงหยิงในตอนนี้เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนเท่านั้น นางจึงไม่สามารถทำลายสิ่งใดได้แม้ว่าจะครอบครองกระบี่เฟิ่งหมิงก็ตาม
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจรู้สึกว่าภูเขาที่กำลังทับถมอยู่ได้ถูกยกออกแล้ว จากนั้นพวกเขาเตรียมจัดแบ่งกลุ่มเพื่อเล่นสนุกกับหงหยิงอย่างออกหน้าออกตา แต่ก่อนที่จะทันได้กล่าวสิ่งใดออกมา เจ้าอ้วนพูดตัดหน้าอย่างรวดเร็ว “ความคิดของพวกเจ้าในตอนนี้จะนำพาพวกเจ้าไปสู่ประตูแห่งนรก ข้าคงไม่สามารถช่วยได้จึงขอยืนชื่นชมการกระทำอันโง่เขลาของพวกเจ้าอยู่ตรงนี้!”
“บัดซบ เจ้าคือคนที่ทำลังจะตาย! เจ้าคิดงั้นหรือว่าพวกเรานับสิบจะเกรงกลัวสามคนที่เป็นง่อยและหญิงสาวไร้กำลัง?” ผู้ฝึกตนปีศาจคนหนึ่งตะโกนออกมา
“สามงั้นหรือ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาดั่งเช่นปีศาจ “มีสมองมากมายเกลื่อนกลาดอยู่ในที่แห่งนี้ แต่พวกเจ้ากลับมีสายตามองเห็นเพียงสามงั้นหรือ? พวกเจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตอนนี้กำลังอยู่ท่ามกลางคนของข้า? ข้ากล้าพูดว่ามีผู้ฝึกตนบนเส้นทางแห่งความชอบธรรมนับสามสิบคนกำลังวิ่งตรงมาที่นี่แหละพวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว! ข้ากล่าวถูกหรือไม่ศิษย์น้อง?”
“ถูกต้องแล้วพี่ชายอ้วน พวกเขาทั้งสามสิบคนกำลังมา เพียงเพราะข้ารวดเร็วกว่าจึงมาถึงก่อนผู้ใด ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะมาถึงในอีกไม่ช้า!” หงหยิงกล่าวเสริม “เหอะ พวกเจ้าคิดว่ากำลังพูดกับเด็กอยู่งั้นหรือ?” ผู้ฝึกตนปีศาจกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “คิดว่าพวกข้าจะหลงกลเชื่อพวกเจ้างั้นรึ?”
“แน่นอนว่าประตูเคลื่อนย้ายนี้เป็นของผู้ฝึกตนปีศาจ พวกมันจะไม่มีทางมุ่งหน้ามาที่แห่งนี้แน่นอน ในขณะนี้พวกมันคงจะยืนอยู่ที่ประตูเคลื่อนย้ายฝั่งของตนเอง!” อีกคนกล่าวออกมา “แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มาถ้าหากไม่มีธุระใดกับสถานที่แห่งนี้ แต่ถ้าหากว่ามีผู้ฝึกตนปีศาจมากมายได้ตายตกไปมากกว่าครึ่ง เจ้าคิดว่าพวกเขาจะไม่มุ่งหน้ามางั้นหรือ? อีกทั้งผลไม้วิญญาณมากมายก็ยังคงอยู่ในสถานที่แห่งนี้!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่คิดว่าเหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมจะปล่อยโอกาสดีเช่นนี้ไป!”
“ฮ่าฮ่า ถ้าหากเจ้ารู้สถานการณ์เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพวกมันจึงยังไม่มากันล่ะ แต่ข้าไม่คิดว่าสุกรอย่างเจ้าจะสามารถทำนายอนาคตได้….” ผู้ฝึกตนปีศาจเหยียดหยามเจ้าอ้วน
ก่อนที่เขาจะกล่าวได้จบประโยค ใบหน้าของผู้ฝึกตนปีศาจเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “แม่นางฉุ่ยจิ้ง….” พวกเขากรีดร้องออกมาพร้อมกัน
ถูกต้องแล้วเป็นนางจริง ๆ คนอื่นไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่นางสามารถทำได้ ในระหว่างการต่อสู้เมื่อวันก่อนหานปิงเอ๋อสังหารเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจนับยี่สิบคน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการแตกหักของสมดุลระหว่างผู้ฝึกตนปีศาจและผู้ฝึกตนชอบธรรมโดยสมบูรณ์ แล้วเรื่องราวเหล่านี้ฉุ่ยจิ้งจะไม่อาจทำนายได้อย่างไรกัน? นอกจากนี้หลังจากที่นางได้ทำนายทุกอย่างเสร็จสิ้น นางจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปอย่างไร? ไม่มีสิ่งใดต้องสงสัยอีกต่อไป ด้วยเกียรติของนาง แน่นอนว่านางสามารถเอ่ยปากชวนพวกพ้องได้เพียงคำพูดเดียว!
ผู้ฝึกตนปีศาจไม่ได้โง่เขลา พวกเขาเข้าใจกระบวนการทั้งหมดแล้ว ในตอนนี้พวกเขาจะเอาสิ่งใดไปต่อสู้? พวกเขาทั้งหมดตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว หนี!”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ผู้ฝึกตนปีศาจวงแตกกระจัดกระจายออกไปราวกับฝูงนก แต่ทว่าในตอนนี้สายเกินไปเสียแล้วคิดจะหลบหนี หลังจากที่วิ่งออกไปได้ระยะสั้น ๆ ไม่มีผู้ใดปล่อยให้ขุมทรัพย์ขนาดย่อมหนีไปเช่นนี้ ผู้ฝึกตนชอบธรรมเข้าล้อมพวกเขาทันที
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ฝึกตนปีศาจรับรู้ได้ถึงความตายที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะพร้อมทั้งใช้ไพ่ใบสุดท้ายที่มีเพื่อที่จะหลบหนี แต่ช่างน่าเวทนาเมื่อการกระทำเหล่านั้นไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ท่ามกลางบุคคลนับสามสิบ แต่พวกเขามีเพียงแค่สิบกว่าเท่านั้น อีกฝั่งเป็นบุคคลเพิ่งมาและอยู่ในสภาพที่พร้อมต่อสู้ อีกฝ่ายเป็นบุคคลที่ผ่านการต่อสู้มายาวนานทั้งคืน อีกฝ่ายมีสมบัติวิญญาณ แต่ในขณะที่พวกเขามีเพียงสมบัติวิเศษ ความแตกต่างนี้มากเกินไปและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่สามารถเรียกว่าการต่อสู้ได้อีกแล้ว
ดังนั้นในขณะที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ความได้เปรียบหลายอย่างเกิดขึ้นจนมองเห็นได้ชัดเจน ผู้ฝึกตนปีศาจทำได้เพียงส่งเสียงร้องออกมาสั้น ๆ ก่อนที่ผู้ฝึกตนชอบธรรมจะเริ่มทำการสังหารพวกมันทั้งหมด ผู้ฝึกตนปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มถูกรายล้อมไปด้วยเหล่านักสู้และหงหยิงที่ครอบครองกระบี่เฟิ่งหมิง อีกทั้งยังมีฉุ่ยจิ้งคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลังอีกด้วย เหล่ากลุ่มคนก่อนหน้านี้ได้ตายตกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บรรดาผู้ฝึกตนชอบธรรมกำลังสังหารผู้ฝึกตนปีศาจอย่างเร่าร้อน หญิงสาวที่ใส่ชุดสีขาววิ่งไปหาเจ้าอ้วนและหานปิงเอ๋อหลังจากที่นางสังหารผู้ฝึกตนปีศาจไปมากมายพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าคิดถึงท่านมาก”
นางต้องการจะโยนตัวเองเข้าไปในอกของหานปิงเอ๋อ นางยืนอยู่ตรงหน้าของหานปิงเอ๋อและเจ้าอ้วนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับมองพวกเขาที่กำลังจับมือกันอยู่! เห็นได้ชัดเจนว่าการต่อสู้อันสิ้นหวังในคืนที่ผ่านมา เจ้าอ้วนไม่ได้ปล่อยมือนางออกเลยจนถึงตอนนี้ นิ้วของพวกเขาเชื่อมกันอย่างเป็นธรรมชาติและไม่มีวี่แววว่าจะปล่อยมือแต่อย่างใด
หานปิงเอ๋อที่เพิ่งรอดพ้นจากสถานการณ์แห่งความตายไม่รู้สึกถึงความผิดปกตินี้มาก่อน จนกระทั่งนางถูกจ้องมองโดยน้องสาวผู้นี้และตระหนักได้ว่ามือของนางถูกจับกุมไว้อย่างแน่นหนา นางรีบดึงมือออกทันทีแต่ในขณะนั้นใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเรียบร้อยแล้ว
เจ้าอ้วนยังคงยืนอยู่ที่เดิมท่ามกลางความอึดอัดใจเช่นกัน อย่างไรก็ตามเขาเข้าใจเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็วว่าหญิงสาวผู้นี้ดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ดูเหมือนกับว่านางจะเป็นหญิงสาวที่เขาช่วยเหลือให้รอดพ้นจากเหล่าผึ้ง เมื่อชัดเจนแล้วว่าเป็นนาง ดวงตาของเจ้าอ้วนสว่างไสวพร้อมทั้งเผยยิ้มกว้างและกล่าวทักทาย “ใบหน้าของศิษย์น้องช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก เราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่?”
แน่นอนว่าหญิงสาวเห็นเจ้าอ้วนแล้วและเกิดความรู้สึกกระวนกระวาย นางขโมยสิ่งของบางอย่างจากเขาหลังจากที่เขาช่วยชีวิตของนางไว้ การเนรคุณดังกล่าวทำให้นางรู้สึกผิดอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากรีบตอบกลับอย่างร้อนใจ “ข้าไม่เคยพบท่านมาก่อน จริงนะ! ไม่เคยพบเลย!”
“งั้นหรือ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาจจะจำคนผิด ข้าจำได้เพียงว่ามีหญิงสาวผู้ฝึกตนธาตุไม้ใช้สมบัติวิเศษที่เป็นกระจก หลังจากที่ข้าช่วยชีวิตนางไว้ นางทำการขโมยผลไม้วิญญาณไปจากข้า ฮ่าฮ่า หัวใจของมนุษย์ช่างยากเย็นเกินกว่าจะเข้าใจ!”
“ว่าอะไร?” เมื่อหานปิงเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางโผเข้ากอดน้องสาวอย่างห่วงหา “ศิษย์น้อง เจ้าไม่เคยรู้จักศิษย์พี่ซ่งได้อย่างไร? ข้าจำได้ว่าเราเคยพบเขามาก่อนที่จะเดินเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ไม่ใช่หรือ”
เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนั้น นางเผยใบหน้าอึดอัดใจพร้อมคิดภายในใจ ‘ให้ตายเถอะ ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท แล้วข้าจะทำเช่นไร?’
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ เหตุใดหานปิงเอ๋อจึงจะไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ใบหน้าของนางเปลี่ยนอย่างรวดเร็วพร้อมกับกดไหล่ของหญิงสาวไว้ “เจ้ายังไม่คืนมันให้เขางั้นหรือ?” ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะรู้ว่าน้องสาวของนางทำผิด แน่นอนว่านางจะต้องยืนเคียงข้างน้องสาวของตนเสมอ แต่ในวันนี้เรื่องราวของนางกับเจ้าอ้วนได้เปลี่ยนแปลงไป นางเลือกที่จะยืนข้างเขา เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้เกรงกลัวหานปิงเอ๋ออย่างมาก ดังนั้นแม้ว่านางจะไม่เต็มใจที่จะหยิบมันออกมา แต่นางก็จำยอม นางหยิบกล่องหยกสีทองออกมาพร้อมส่งคืนให้เจ้าอ้วน ในขณะที่นางทำเช่นนั้นดวงตาของนางเริ่มมีน้ำตาขึ้นมาเอ่อล้น
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เจ้าอ้วนยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าคิดว่าข้าคือพี่ชายของเจ้า ให้คิดซะว่าผลไม้วิญญาณนี้เป็นของขวัญจากพี่ชายแล้วกัน!”
“งั้นหรือ?” เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนั้น นางรีบตอบกลับทันที “พี่ชาย พี่ชายของข้า พี่ชายที่ดีที่สุด ท่านห้ามเสียสัจจะกับข้านะ!” ในขณะที่นางได้ยินเช่นนั้น นางหุบมือที่ถือกล่องหยกกลับไปทันที “ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าบุรุษจะไม่มีวันคืนคำ!” เจ้าอ้วนหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ใช่แค่ผลไม้วิญญาณเท่านั้น ข้ารักษาคำพูดทุกคำที่ข้ากล่าวเสมอ!”
“โอ้ ท่านผ่อนคลายเช่นนี้ แสดงว่าท่านครอบครองมันมากเพียงพอแล้วใช่หรือไม่?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวอดถามออกมาไม่ได้
“เหอะเหอะ!” เจ้าอ้วนยิ้มออกมาอย่างร่าเริง โดยไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด พร้อมทั้งเผยผลไม้วิญญาณทั้งหมดที่เขามีให้นางเห็น
“ศิษย์น้อง!” หานปิงเอ๋อโกรธจัดทันทีที่น้องสาวของนางไร้มารยาท เมื่อได้รับผลไม้วิญญาณแล้วแต่นางก็ยังถามซักไซ้และสอบสวนเขาต่อ นี่เป็นเรื่องที่ไร้ยางอายมากเกินไป!
หลังจากที่โดนสายตาอันแหลมคมของหานปิงเอ๋อ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะกระโดดออกไปด้วยความตกใจ นางไม่อาจควบคุมความอยากรู้อยากเห็นของตนเองได้จึงกล่าวออกไปว่า “ก็ได้ ข้าจะไม่ถามอะไรอีกแล้ว!”
หานปิงเอ๋อไม่สนใจท่าทีของนางพร้อมสั่งสอนนางอย่างใจเย็น “จงจำไว้ว่าในวันนี้เจ้าไม่ได้เห็นสิ่งใด ถ้าไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้รับการดูแลอย่างดีจากข้า!”
“ห้ามบอกผู้อื่นเรื่องใดกันหรือ? อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว!” หญิงสาวเข้าใจอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่มั่นใจได้ พวกท่านได้ปิดปากของข้าด้วยผลไม้วิญญาณแล้ว ข้าสัญญาว่าจะไม่กล่าวเรื่องท่านกับศิษย์พี่ซ่งให้ผู้ใดรับรู้!”
เมื่อหานปิงเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางแทบจะตายทันทีจากความโกรธ นางอยากจะเดินตามไป ทว่าร่างกายของนางที่บาดเจ็บหนักไม่ยอมให้นางทำเช่นนั้น ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงมองน้องสาวที่กำลังวิ่งหนีไปพร้อมเสียงหัวเราะอย่างร่าเริง สำหรับเจ้าอ้วนที่กำลังใส่เสื้อคลุมอยู่ข้างกายนั้น เขาก็ยืนหัวเราะเบา ๆ อยู่เพียงผู้เดียว เมื่อหานปิงเอ๋อเห็นเช่นนั้นจึงโกรธอีกครั้งพร้อมถามว่า “เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะท่าน แล้วยังหัวเราะได้อีกงั้นหรือ?”
“เหอะเหอะ ไม่เห็นต้องกังวล นางจะไม่เปิดเผยเรื่องนั้นแน่นอนหลังจากข้ามอบสิ่งนั้นให้กับนาง” เจ้าอ้วนตอบอย่างยียวน
“งั้นหรือ!” หานปิงเอ๋อถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ จากนั้นใบหน้าของนางเปลี่ยนแปลงเป็นจริงจังพร้อมกล่าวกับเจ้าอ้วนว่า “ศิษย์พี่ช่วยชีวิตข้าไว้ในวันนี้ ข้าหานปิงเอ๋อจะจดจำมันไว้และจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอนในอนาคต!”
หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกตนจากหอเฉวียนจี้ได้เสร็จสิ้นการสังหารผู้ฝึกตนปีศาจ และเริ่มเข้ามาดูแลหานปิงเอ๋อ จากนั้นนางจึงเตรียมที่จะกลับออกไปพร้อมกับพวกพ้องภายในสำนักของตน
ไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าอ้วนจะพลันตะโกนออกมา “ศิษย์น้องช้าก่อน!”
หานปิงเอ๋อหันหลังกลับมาพร้อมถามอย่างสงสัย “ศิษย์พี่มีอะไรอีกงั้นหรือ?”
“สิ่งของที่ตกอยู่ภายในสนามรบนี้เป็นของรางวัลจากสงคราม เจ้าจงหยิบมันกลับไปด้วย!” เจ้าอ้วนชี้ไปยังสมบัติวิเศษที่ถูกแช่แข็งไว้
สิ่งของพวกนี้ถูกแช่แข็งโดยพลังของหานปิงเอ๋อก่อนหน้านี้ แม้ว่ามันจะได้รับความเสียหาย แต่สามารถนำกลับมาใช้ได้หากได้รับการซ่อมแซมที่เหมาะสม ทั้งหมดเป็นสมบัติที่มีมูลค่ามาก มันสามารถทำไปเปลี่ยนเป็นหินจิตวิญญาณได้มากมาย เจ้าอ้วนบอกนางอย่างไม่ลังเลถึงสมบัติเหล่านี้ หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหันหลังพร้อมกับเดินออกไปทันทีโดยไม่หันกลับมาอีก ทุกคนที่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นได้แต่ชื่นชมอยู่ภายใน ‘แม้ว่าเจ้าไขมันนี้จะดูเหมือนเป็นคนที่ชั่วช้า แต่การกระทำทุกอย่างของเขาช่างใจกว้างและเต็มไปด้วยศักดิ์ศรี เขาคือสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง’
เจ้าอ้วนเข้ารวมกลุ่มกับสำนักเสวียนเทียนทันทีหลังจากแยกตัวออกมาจากหอเฉวียนจี้ ในขณะที่เขาเดินมารวมกลุ่มก็ถึงกับตกใจเพราะในขณะนั้นมีผู้ฝึกตนจากสำนักเสวียนเทียนเหลืออยู่เพียงสามคนคือ ฉุ่ยจิ้ง หงหยิง และเจ้าอ้วน ส่วนคนอื่นต่างหายสาบสูญไปจนหมดสิ้น
แต่เจ้าอ้วนเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว มีเพียงร้อยคนเท่านั้นที่เข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ รวมแล้วเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจและผู้ฝึกตนชอบธรรมราวเจ็ดสิบถึงแปดสิบคน หลังจากเสร็จสิ้นการล่าจะเหลือเพียงคนเพียงสามสิบเท่านั้นซึ่งก็คือประมานครึ่งหนึ่งของจำนวนเต็ม กล่าวก็คืออัตราการเสียชีวิตในการล่านี้เท่ากับห้าในสิบ แต่สิบคนจากสำนักเสวียนเทียนเหลือเพียงสามเท่านั้น กล่าวก็คือสำนักเสวียนเทียนสูญเสียยอดฝีมือไปถึงเจ็ดในสิบ!
เจ้าอ้วนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความตกใจ “เหล่าศิษย์คนอื่นอยู่ที่ไหนกัน? อย่าบอกนะว่าพวกเขาตายตกไปจากการต่อสู้?”
“ไม่ใช่ ยังมีอีกสองคนที่ไม่ได้มายังที่แห่งนี้!” ฉุ่ยจิ้งอธิบาย
“โอ้ เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่เขากล่าวออกมาด้วยความสับสนอีกครั้ง “แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่มากันล่ะ? อย่าบอกนะว่าพวกเขาไม่เชื่อการทำนายของเจ้า?”