สักขีพยาน โดย Ink Stone_Fantasy

ภายในห้องประชุมของปราสาทเนเวอร์วินเทอร์

สีหน้าของตัวแทนทุกฝ่ายต่างดูแย่อย่างมาก โดยเฉพาะอกาธากับฟิลลิส เห็นได้ชัดว่าข้อมูลที่ได้มาจากปีศาจระดับสูงนั้นได้ทำลายความเข้าใจที่มีอยู่แต่เดิมของพวกเธอลง

ถอยร่นจากดินแดนรุ่งอรุณจนมาถึงขอบทวีป ต่อสู้กันมาเกือบพันปี ผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก แต่ศัตรูกลับไม่ได้เอาจริงเลย อีกด้านหนึ่งของทวีปอันกว้างใหญ่ยังมีสถานที่ที่เรียกว่าอาณาจักรซีสกายอยู่ สัตว์ประหลาดที่นั่นไม่ได้น่ากลัวน้อยไปกว่าปีศาจ ที่มนุษย์ยังไม่สูญพันธุ์ไปก็เป็นเพราะพวกมันคอยถ่วงปีศาจเอาไว้อยู่

นี่ถือเป็นการทำลายความเชื่อของแม่มดทาคิลาอย่างรุนแรง

บรรยากาศอันตรึงเครียดนี้ลามไปถึงสโมสรแม่มดกับมนตร์แห่งสลีปปิ้งด้วย

การโจมตีค่ายของพวกปีศาจในครั้งนี้ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ความเสียหายจากสงครามนั้นเรียกได้ว่าน้อยที่สุดในรอบ 400 ปีที่ผ่านมา แต่นั่นเป็นชัยชนะที่ได้มาจากสถานการณ์ที่ปีศาจยังไม่รู้จักคู่ต่อสู้ดีพอ อีกทั้งกองทัพที่หนึ่งก็ได้สู้ในจังหวะการรบที่ตัวเองคุ้นเคย ศึกในครั้งหน้าพวกเขาจะได้รับชัยชนะหรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ ถ้าทหารล้มตายมากขึ้นกว่าเดิมหรือสูญเสียดินแดนกับประชากรไป ความฝันที่จะกำจัดปีศาจทิ้งนั้นแทบจะดูเลือนลาง

“ไม่แน่นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ปีศาจมันแต่งขึ้นมาก็ได้” เวนดี้ลุกขึ้นมาพูดปลุกขวัญ “อันที่จริงก็ยังไม่มีใครเคยเข้าไปยังปลายสุดของทวีป แล้วใครมันจะไปรู้ล่ะว่าจริงหรือไม่จริง? ก่อนที่เราจะแน่ใจในเรื่องนี้ ข้าว่าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้มากจะดีกว่า ทุกคนว่าไง?”

แต่ไม่มีใครตอบเธอกลับมา

อกาธามองเธอด้วยสายตาขอบคุณ “ถึงแม้คำพูดของคาบราดาบีจะดูโอ้อวดเกินจริง แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะพูดโกหกทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องที่มันพูดออกมาในช่วงแรกของการถ่ายโอนวิญญาณ ตอนนั้นมันแทบจะความคุมร่างกายเอาไว้ไม่ได้ สิ่งที่มันพูดออกมาส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่มันคิดอยู่ในหัว จุดนี้โซอี้น่าจะรับรู้ได้ แม้แต่คำพูดที่มันเพ้อออกมาก็ยังเชื่อมโยงกับสิ่งที่มันพูดในตอนหลัง นอกเสียจากมันจะฝึกพูดโกหกมาเป็นเวลานาน ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางทำแบบนี้ได้เลย”

“เจ้าหมายถึงชิ้นส่วนสืบทอดน่ะเหรอ?” บุ๊คพูดเหมือนคิดอะไรอยู่

“ใช่ ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนสืบทอดของเผ่าพันธุ์ไหนก็ตาม หรือก็คือมรดกของพระเจ้าก็ล้วนแต่สามารถทำให้เผ่าพันธุ์ตัวเองยกระดับขึ้นได้” อกาธาค่อยๆ พูดต่อว่า “ถ้าปีศาจมันมีความสามารถที่จะโจมตีพวกเราแล้วชิงเอามรดกไปได้จริงๆ อย่างนั้นมันจะปล่อยโอกาสนี้ไปทำไม? ดังนั้นจึงมีคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือพวกมันยังไม่ว่างที่จะบุกเข้ามาหาพวกเรา”

เห็นได้ชัดว่ามีอีกหลายคนที่คิดเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อดูจากลำดับของเวลาแล้ว ในช่วงแรกของสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่ง ปีศาจนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับพวกสัตว์ป่าเลย เมื่อเจอกับมนุษย์ที่อยู่กับอย่างกระจัดกระจายไม่เป็นกลุ่มก้อน มันก็ยังใช้เวลาสู้อยู่ตั้งหลายร้อยปี อารยธรรมใต้ดินเองก็มาหามนุษย์ในช่วงเวลานั้น กระทั่งตอนที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง จู่ๆ ศัตรูก็น่ากลัวขึ้นกว่าเดิม ในเวลาเพียง 30 ปีก็สามารถโค่นสมาพันธ์ได้แล้ว

ถ้าการยกระดับสามารถทำให้แข็งแกร่งได้ขนาดนี้ อย่างนั้นพวกปีศาจมันก็ควรจะรีบบุกเข้ามาขยี้มนุษย์เพื่อช่วงชิงมรดกไปถึงจะถูก

“พวกเราดูถูกความแข็งแกร่งของพวกปีศาจไปจริงๆ” ฟิลลิสกล่าวโทษตัวเอง “ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ตลอดระยะเวลา 400 ปี สมาพันธ์ไม่เคยมองออกไปนอกดินแดนรุ่งอรุณเลย พวกเราเอาแต่มองดูพื้นดินใต้เท้าที่พวกเราคุ้นเคย แต่กลับไม่รู้เรื่องโลกภายนอกแม้แต่นิดเดียว อย่าว่าแต่อาณาจักรซีสกายที่อยู่ปลายสุดของทวีปเลย แม้แต่อีกด้านหนึ่งของดินแดนรุ่งอรุณ พวกเราก็ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ”

“หืม? อีกด้านหนึ่งของทวีปมันเป็นยังไงเหรอ?” โรแลนด์ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“หม่อมฉันเพียงแค่เคยอ่านจากในบันทึกมาเพคะ ว่ากันว่ามันเป็นแผ่นดินที่รกร้างแห่งหนึ่ง ทุกที่มีแต่ภูเขาและหน้าผาที่สูงชัน ความสูงเฉลี่ยของมันสูงกว่าดินแดนรุ่งอรุณมาก” ฟิลลิสนึกย้อนสิ่งที่เธอเคยอ่านมา “ทั้งสองที่อยู่ห่างไกลกันหลายร้อยกิโลเมตร มีเทือกเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แนวหนึ่งเชื่อมเอาไว้อยู่ ส่วนรอบๆ คือทะเลที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา ปกติเทือกเขาครึ่งหนึ่งจะจมอยู่ใต้ทะเล มีแต่ตอนที่น้ำลงถึงจะเห็นเทือกเขาได้ทั้งหมด ว่ากันว่าปีศาจบุกเข้ามาในดินแดนรุ่งอรุณจากทางนั้นเพคะ”

เดี๋ยวนะๆ คำบรรยายอันนี้ทำไมฟังแล้วดูคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินจากไหนมาก่อน…เขาลูบคางตัวเอง จากนั้นภายในหัวพลันมีสายฟ้าฟาดลงมา!

ไหล่ทวีปที่สูงชัน หน้าผาที่ยาวสุดลูกหูลูกตากับประตูหินบานยักษ์ที่ฝังอยู่บนหน้าผา ถึงแม้ฟิลลิสจะไม่ได้พูดถึงรื่องประตูออกมา แต่คำบรรยายในส่วนแรกนั้นคล้ายกับภาพอันน่าตกตะลึงที่ธันเดอร์ได้ไปเห็นมาจากทะเลชาโดว์เลย หรือว่าสิ่งที่ทีมนักสำรวจไปเจอจะเป็นทวีปที่อยู่ตรงข้ามกับดินแดนรุ่งอรุณ?

ชักน่าสนใจแล้วสิ โรแลนด์คิดในใจ ถ้าเอาเมืองเนเวอร์วินเทอร์เป็นจุดเริ่มต้น ดินแดนรุ่งอรุณส่วนใหญ่ก็จะอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนทะเลชาโดว์ก็จะอยู่ไกลออกไปทางตะวันออกของทะเล จากตรงนั้นจะไปมองเห็นทวีปแปลกหน้าที่อยู่ตรงข้ามกับดินแดนรุ่งอรุณได้ยังไง? ขอเพียงโลกยังกลมอยู่ ต่อให้มีกล้องส่องทางไกลที่ดีแค่ไหนมันก็ยังได้รับผลกระทบจากความโค้งของโลก ถ้ามองทองฟ้ายังพอได้อยู่ แต่จะมองตรงๆ ไปยังทวีปที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้เนี่ย เรื่องนี้จะต้องมีอะไรแปลกๆ อยู่แน่นอน

เขาสังเกตเห็นสายตาทิลลีที่มองมา เห็นได้ชัดว่าเธอซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมนักสำรวจในตอนนั้นจะต้องคิดถึงภาพที่เธอได้เห็นในซากโบราณสถานใต้ทะเลเหมือนกันแน่นอน

ไม่ใช่สิ่งที่สมาพันธ์สร้างขึ้นมา แต่กลับคอยจับตาดูทวีปที่ว่ากันว่าเป็นที่อยู่ของปีศาจ เจ้าของซากโบราณสถานนั้นเป็นใครกันแน่?

ดูเหมือนตอนที่ธันเดอร์ออกทะเลในครั้งนี้ คงต้องบอกให้เขาสำรวจโบราณสถานนั่นอย่างละเอียดซะแล้ว ไม่ใช่แค่เดินดูผ่านๆ เท่านั้น หากแต่ต้องสำรวจมันแบบทุกซอกทุกมุมจนกว่าจะไขปริศนาเรื่องนี้ได้

“ฝ่าบาท?”

น่าจะเป็นเหมาะใจลอยเป็นเวลานาน ในตอนที่โรแลนด์ถูกขัดจังหวะความคิด เขาพบว่าอกาธากับมองดูความด้วยสายตาที่เหมือนจะเข้าใจและปลอบใจ “พระองค์ทรงสบายดีไหมเพคะ?”

“เอ่อ…แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ” เขาโบกมือ

“ทรงไม่ต้องกังวลนะเพนะ หม่อมฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันสร้างความกดดันให้กับพระองค์มาก แต่มนุษย์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความหวังนะเพคะ” แม่มดน้ำแข็งพูดเสียงอ่อนโยน “ในตอนที่หม่อมฉันตื่นขึ้นมาจากโลงศพน้ำแข็ง พระองค์ตรัสกับหม่อมฉันว่าคนธรรมดาจะต้องเอาชนะปีศาจได้แน่…ตอนนี้ หม่อมฉันยังคงเชื่อเช่นนั้นอยู่ ต่อให้มันต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคนก็ตาม”

“ถูกต้องเพคะ” ฟิลลิสเองก็พูดเสริมขึ้นมา “อีกนิดเดียวพวกเราก็จะไปถึงซากเมืองทาคิลาแล้ว หลังทำลายมันลงได้ ปีศาจก็จะหมดโออาสได้ตั้งหอคอยปลายแหลม ถ้ามันอยากจะทำลายพวกเรา อย่างน้อยมันก็ต้องรอไปอีก 400 ปี ต่อให้สุดท้ายมนุษย์ยังพ่ายแพ้อยู่ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของพระองค์เพคะ ในเรื่องนี้พระองค์ทรงทำดีกว่าสามผู้นำของสมาพันธ์แล้วเพคะ”

โรแลนด์กะพริบตาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงนึกขึ้นมาได้

เขาคิ้วขมวดขึ้นมาเพราะคิดถึงเรื่องซากโบราณสถาน ก็เลยทำให้พวกเธอคิดว่าตัวเองกำลังกลุ้มใจเรื่องปีศาจจนตกอยู่ในความสับสนและสิ้นหวัง

พวกเธอก็เลยพยายามปลอบใจตัวเอง เพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นมาสู้ใหม่

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงส่ายหัวออกมา พร้อมกับพูดยิ้มๆ “เรื่องที่จะให้พวกเราไปหลบอยู่ในมุมๆ หนึ่งของทวีป แล้วทิ้งปีศาจให้เป็นภาระกับคนในอีก 400 ปีข้างหน้านั้นไม่ได้อยู่ในแผนการของข้า เพราะว่า…ข้าจะอยู่ไปถึงตอนนั้นได้หรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ ส่วนเรื่องที่จะจัดการกับศัตรูทั้งหมด แล้วก็เปิดเผยความลับของเจตจำนงของพระเจ้า มันจะไปมีความหมายอะไรถ้าข้าไม่ได้เป็นคนทำมันเอง เจ้าว่าจริงไหมล่ะ?”

“ฝ่าบาท…” แม่มดส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นพากันตกตะลึง มีเพียงอันนาเท่านั้นที่ยิ้มมุมปากขึ้นมา

“ในเมื่อเจ้าจำได้ว่าข้าเคยบอกว่าคนธรรมดาจะต้องเอาชนะปีศาจได้แน่” โรแลนด์มองไปทางฟิลลิส “อย่างนั้นเจ้ายังจำอีกเรื่องที่ข้าพูดได้ไหม?”

“พลังที่แท้จริงไม่ใช่การทำให้โลกตกอยู่ในความมืดมิด หากแต่เป็นการมอบแสงสว่างและความร้อนใจกับโลกนี้ นี่ไม่ใช่คำพูดที่ข้าแกล้งพูดให้ปีศาจนั่นฟัง” เขาชิงพูดออกมาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ “เมื่ออยู่ต่อหน้าขุมพลังที่เหมือนดั่งดวงอาทิตย์ ทุกสรรพสิ่งจะกลายเป็นผุยผง พวกปีศาจเองก็เหมือนกัน ส่วนพวกเจ้าก็จะได้เห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเองพร้อมกับข้า”