เพื่อน โดย Ink Stone_Fantasy
เตาผิงภายในห้องมีไฟลุกโชน เพดานครึ่งหนึ่งถูกส่องจนเป็นสีแดง
อาซีม่าที่ได้ยินเสียงเปรี๊ยะปร๊ะของฟืน สายตามองดูสายลมและหิมะที่พัดโปรยอยู่นอกหน้าต่าง ทั่วทั้งร่างกายของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น บางทีอาจจะเป็นเพราะโรคเก่าสมัยที่เธอยังคุ้ยกองขยะหาเศษอาหารในวัยเด็ก ทำให้พอถึงฤดูหน้า สองมือของเธอจะเป็นแผลน้ำแข็งกัด ผิวหนังหลุดลอกออกมา หลังจากที่ไปอยู่เกาะสลีปปิ้งก็ไม่ดีขึ้น กลับกลายเป็นยิ่งแสดงอาการหนักขึ้นเพราะสัมผัสกับน้ำทะเล
แต่ตอนนี้บนนิ้วมือของเธอมีเพียงรอยแผลบางๆ ไม่กี่แห่ง ไม่มีทั้งรอยเลือดแล้วก็ความเจ็บปวดอีก ถึงแม้บาดแผลพวกนี้จะเทียบไม่ได้กับความยากลำบากในตอนที่เร่ร่อนขอข้าวชาวบ้านมาประทังชีวิต แต่ไม่ว่าใครก็คงอยากจะให้ตัวเองพบกับความเจ็บปวดน้อยลง ความรู้สึกสบายในเวลานี้ทำให้เธอแทบจะลืมความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านั้นไปแล้ว
สภาพที่อยู่ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นเหมือนมีพลังเวทมนตร์ที่ยากจะบรรยายได้อยู่ ต่อให้เป็นที่อยู่ธรรมดาที่สุดก็ยังแตกต่างไปจากเมืองอื่นอย่างมาก
อย่างเช่นตึกหลักนี้ สองด้านของกำแพงล้วนแต่ฉาบปูนหนาๆ เอาไว้ ทุกๆ มุมของหน้าต่างจะเชื่อมต่อแนบสนิทไปกับก้อนอิฐ ถึงแม้ด้านนอกจะมีลมแรงแค่ไหน แต่ภายในห้องก็ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นเพียงแค่เตาผิงอันเดียวไม่มีทางที่จะให้ความอบอุ่นได้พอแน่ ถ้าเป็นที่อยู่ธรรมดาๆ ของเมืองวาเลนเซีย ในเวลาเกรงว่าคงมีเสียงลมแทรกเข้ามาผ่านทางช่องหน้าต่างแล้ว
นอกจากนี้ภายในเตาผิงยังมีการต่อท่อเอาไว้ มันสามารถนำเอาความร้อนส่วนหนึ่งส่งไปยังใต้เตียงในห้องนอนที่อยู่อีกห้องหนึ่งได้ เมื่อถึงกลางดึกตอนที่ไฟในเตาผิงดับลง ภายในเตียงก็จะอุ่นจนนอนได้สบาย
และนี่ก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่เธอค้นพบเท่านั้น ทุกที่ภายในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ยังมีรายละเอียดแปลกๆ แบบนี้อยู่อีกมากมาย ยิ่งเธออาศัยอยู่ที่นี่นานเท่าไร เธอก็ยิ่งสัมผัสมันได้มากขึ้น บางครั้งอาซีม่าถึงกับสงสัยขึ้นมาว่าบางทีเมืองแห่งนี้อาจจะไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ผู้คนได้อยู่อาศัย
หากแต่เป็นสวนสนุกที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ความสุขกับผู้คน
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงมาสร้างอยู่ในดินแดนตะวันตกซึ่งเป็นที่ที่ได้รับกระทบจากเดือนแห่งปีศาจมากที่สุด นั่นน่าจะเป็นเพราะความแตกต่างอย่างสุดขั้ว เห็นได้ชัดว่าความอบอุ่นที่สามารถสัมผัสได้ในพื้นที่ที่อากาศดีตลอดทั้งปีนั้นไม่อาจสู้ความรู้สึกอบอุ่นในตอนที่มีหิมะอันหนาวเหน็บตกลงมาได้ ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในตอนที่มันสำเร็จมันก็ยิ่งมีคุณค่ามากขึ้น
มีชั่วแวบหนึ่งตัวเธอเกือบจะเชื่อความคิดนี้
“น้ำแกงเสร็จแล้ว มากินข้าวเย็นได้แล้ว” ดอร์ริสยกน้ำแกงออกมาจากห้องครัว ก่อนจะมาวางไว้บนโต๊ะเตี้ยๆ ในห้องนั่งเล่น
“…ขอบคุณนะ” อาซีม่าเอาเบาะรองนั่งให้อีกฝ่าย ส่วนตัวเองก็นั่งลงข้างโต๊ะ
กับข้าวสองอย่างกับน้ำแกง ทุกอย่างเน้นเห็ดเป็นหลัก สินค้าขึ้นชื่อของดินแดนตะวันตกที่ถูกเรียกว่าเห็ดเบิร์ดคิสนี้มีทั้งรสสัมผัสที่เต็มปากเต็มคำและรสชาติที่หวานหอม มันไม่จำเป็นต้องมีเครื่องปรุงอะไรมากมาย แค่ใส่เกลือนิดหน่อย ไม่ว่าทำอะไรก็อร่อยทั้งสิ้น แต่เธอเองก็รู้ว่าความจริงนี่เป็นวัตถุดิบทำอาหารที่ถูกที่สุดในเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว ราคาของมันพอๆ กับข้าวสาลีเลย
“แหะๆ ในตลาดกำลังขายแบบโละทิ้ง ข้าก็เลยซื้อมากองไว้เต็มห้องเลย” ดอร์ริสพูดอย่างมีความสุข “ต่อให้ฤดูหนาวปีนี้ไม่มีข้าวขาย แต่เห็ดพวกนี้ก็น่าจะพอให้พวกเราใช้ชีวิตไปได้ถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ถึงแม้ถ้าทิ้งเอาไว้นานรสชาติจะไม่อร่อยเหมือนตอนแรก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้อิ่มท้องได้”
อาซีม่าตัดน้ำแกงขึ้นมาคำหนึ่ง ภายใต้แสงสว่างที่ส่องลงมา หยดน้ำมันหยดเล็กๆ ที่ลอยอยู่บนน้ำแกงส่องแสงระยิบระยับออกมา ดูแล้วช่างน่าหลงใหลอย่างมาก ในตอนที่ตักเข้าปาก รสชาติหอมอร่อยกระจายไปเต็มปากเธอทันที จากนั้นน้ำแกงร้อนๆ ก็ไหลลงไปในท้องของเธอ ทำให้ท้องรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ยังคงเป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกอยากอาหาร
ดื่มไปได้เพียงสองคำ อาซีม่าก็วางชามในมือลง
“ทำไมเหรอ?” ดอร์ริสสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเธอ
“ข้ากำลังคิดว่า…วันนั้นข้าตัดสินใจผิดหรือเปล่า” อาซีม่านิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา “เดิมการออกไปจากที่นี่มันน่าจะเป็นการตัดสินใจของข้าเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้ข้ากลับทำให้ทุกคนกับญาติพี่น้องของพวกเขาสูญเสียโอกาสในการใช้ชีวิตที่ดีกว่าไป ถ้าพวกไวท์แพร์ไม่ออกจากมนตร์แห่งสลีปปิ้ง บางทีตอนนี้พวกนางน่าจะได้อยู่ในห้องใหญ่ๆ ที่มีเครื่องทำความร้อนแล้ว ไม่ใช่มาอยู่ในห้องเล็กๆ แคบๆ ที่ไม่มีที่ให้แม้กระทั่งพลิกตัวแบบนี้
“ทำไมจู่ๆ เจ้าพูดแบบนี้ล่ะ…” ดอร์ริสงุนงง จากนั้นเธอจึงพูดปลอมว่า “ไม่ว่าห้องจะเล็กแค่ไหน มันก็เป็นแค่ที่ๆ ให้หลบลมหลบฝนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากญาติพี่น้องของพวกนางได้เงินซื้อบ้านก้อนแรก พวกนางก็จะทยอยย้ายออกไปเอง ถึงแม้มันจะไม่ได้ดีเหมือนที่อยู่ของมนตร์แห่งสลีปปิ้ง แต่ข้าคิดว่าถ้าอยู่กันสองคนมันก็ดีมากแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนตอนที่เร่ร่อน…”
“แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เมื่อก่อนแล้ว!” เธอพูดตัดบทอีกฝ่าย น้ำเสียงเริ่มแข็งกระด้างขึ้นมา
อาซีม่าประเมินความสามารถของตัวเองผิด แล้วก็ประเมินสถานการณ์ผิด เมื่อก่อนที่เธอสามารถพาทุกคนไปคุ้ยขยะได้เป็นเวลานานหรือไม่ก็แย่งอาหารกับพวกหมาจรจัด แต่ตอนนี้จะให้เธอลดตัวไปทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง? ต่อให้พี่น้องคนอื่นๆ ไม่ถือ แต่เธอก็ไม่มีทางยอมให้พวกทิลลีต้องมาหัวเราะเยาะตนเด็ดขาด
เธอไปยื่นสมัครงานหลายงานกับทางสำนักงานเมืองเหมือนอย่างชาวบ้านทั่วๆ ไป แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับเธอเข้าทำงานเลย กองโยธาธิการกับกองอุตสาหกรรมนั้นรับสมัครแต่ผู้ชายร่างใหญ่ นี่หมายความว่าเธอไม่สามารถไปทำงานในเขตเตาหลอมกับเขตเหมืองที่เป็นงานที่ต่ำที่สุดได้ นอกจากนี้ตำแหน่งส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการคนที่อ่านออกเขียนได้ ถ้างานที่ดีขึ้นมาหน่อย ส่วนใหญ่ก็ต้องการใบประกาศนียบัตรจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในสำนักงานเมืองยังแนะนำให้เธอไปเรียนหนังสือเพื่ออนาคตของตัวเธอเอง
ในพวกเธอทั้ง 6 คน มีเพียงดอร์ริสกับไวท์แพร์ที่มีงานทำ ถึงแม้จะเป็นงานที่ไม่มีความมั่นคงก็ตาม ดอร์ริสนั้นได้รับการจ้างจากทางสโมสรแม่มด โดนเธอจะทำการเสกเวทมนตร์ลงไปในแท่งทองแดงที่ลูน่าสร้างขึ้นมา ค่าจ้างของเธอประมาณวันละ 3 – 4 เหรียญทอง ซึ่งพอๆ กับแม่มดที่อาศัยอยู่ในปราสาท แต่เสียดายที่งานนี้ไม่ใช่ว่าจะมีทุกวัน บางอาทิตย์อาจจะไม่มีงานเลยก็ได้
ส่วนไวท์แพร์นั้นไปทำงานอยู่ในร้านตัดเสื้อแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นงานที่ไม่ได้เกี่ยวกับความสามารถของเธอ ค่าจ้างจึงแทบจะเหมือนกับคนธรรมดาทั่วๆ ไป เดือนหนึ่งได้ 15 – 20 เหรียญเงินขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่ทำงาน
ส่วนพี่น้องแม่มดคนอื่นๆ นั้นตกอยู่สภาพที่ไม่ได้ต่างจากตัวเอง
พูดอีกอย่างก็คือภาระค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตพวกเธอทั้ง 6 คนตกอยู่ที่ดอร์ริสกับไวท์แพร์สองคน
และก็ด้วยเหตุนี้ ชีวิตที่ยิ่งสุขสบายกลับยิ่งทำให้อาซีม่ารู้สึกผิด ตอนแรกเธอปฏิเสธน้ำใจของเวนดี้ไป ก็เพราะเธอต้องการพิสูจน์ตัวเองให้คนที่ชื่อไนติงเกลนั้นเห็นว่าเธอไม่ใช่พวกอ่อนแอ ต่อให้ไม่มีมนตร์แห่งสลีปปิ้ง เธอก็สามารถใช้ชีวิตต่อไปด้วยตัวเองได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกแย่อย่างมาก
ด้วยเหตุนี้จึงมีความรู้สึกหงุดหงิดแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเธอ
แต่ว่าทันทีที่หลุดปากออกไป อาซีม่าก็รู้สึกผิดขึ้นมา “ขอโทษ ข้าไม่ได้…”
“ไม่เป็นไร”ดอร์ริสกุมมือของเธอเอาไว้ “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า ที่ข้าอยากจะพูดก็คือทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับความคิดของเจ้า พวกนางถึงได้ตัดสินใจออกมาจากมนตร์แห่งสลีปปิ้ง มันไม่ใช่ความผิดของใครเลย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เจ้าก็ไม่ต้องไปใส่ใจ เมื่อก่อนเจ้าทำเพื่อพวกเราตั้งเยอะตั้งแยะ หรือว่าตอนนี้จะไม่ยอมให้พวกเราตอบแทนเจ้าหน่อยเหรอ?”
“ตอบแทนอะไรกัน ข้าไม่ได้ทำเพื่อให้พวกเจ้ามาตอบแทนอะไรข้าซักหน่อย”
“อย่างนั้นพวกเราก็เหมือนกัน ตกลงไหม?” ดอร์ริสกะพริบตา
“เอ่อ…” อาซีม่าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป เธอมองดูสีหน้าจริงใจของอีกฝ่าย จากนั้นจู่ๆ ภายในดวงตาของเธอพลันรู้สึกเหมือนมีอะไรไหลออกมา ความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่ได้เจอมานานนี้เหมือนกับโซ่เหล็กที่มีสนิมขึ้นอยู่เต็มไปหมด ในตอนแรกเธอรู้สึกเหอมือนแสบจมูก แต่เธอก็พยายามกลั้นเอาไว้ ในฐานะที่เป็นผู้นำที่ทุกคนเชื่อมั่น คำพูดเมื่อครู่ของเธอถือว่าเป็นเรื่องผิดพลาด เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองทำผิดพลาดซ้ำสองอีก
ขณะนั้นเอง ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
“ใคร?” เธอรีบหันหน้าไปพร้อมดึงมือกลับ จากนั้นลุกขึ้นยืน คำถามนี้เป็นทั้งการถาม แล้วก็เป็นการปิดบังความรู้สึกของตัวเองด้วย
“ข้าเอง เวนดี้” อีกฝ่ายตอบ “ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงต้องการคุยกับเจ้าหน่อย”