ในคืนนั้นเอง ถือโอกาสในขณะที่หนานกงเอ๋ากำลังอารมณ์ดี ซย่าจื่ออวี้จึงเสนอให้หนานกงเอ๋าส่งยอดฝีมือไปที่หลัวอวี่ให้มากขึ้น
“เมื่อนึกถึงสภาพร่างกายเช่อเอ๋อร์แล้ว ข้าก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ หากไม่ตามหาเจ้าปีศาจน้อยให้เจอ ร่างเช่อเอ๋อร์ก็ไม่มีวันแข็งแรง ข้าในฐานะที่เป็นแม่ ก็ให้รู้สึกเจ็บปวดทรมานใจยิ่งนัก!”
ซึ่งหนานกงเอ๋ารับปากข้อเสนอของซย่าจื่ออวี้อย่างรวดเร็ว
เขาไหนเลยจะไม่คาดหวังให้เจ้าปีศาจตายได้เล่า!
ดังนั้น ในตอนที่ตี้อู่เฉินเดินทางออกไปจากตระกูลหนานกงนั้นข้างกายจึงมียอดฝีมือไปด้วยอีกสองคน คนหนึ่งคือเฉินฉู่ อีกคนคือเฉินเจิน
ถึงแม้ว่าคนทั้งสองจะแซ่เดียวกัน แต่กลับมิใช่พี่น้องกันแต่อย่างใด
เฉินฉู่คือจักรพรรดิอาวุโส เฉินเจินคือวีรชนอาวุโส
ตี้อู่เฉินจึงเชื่อแน่ว่าเมื่อไปถึงแผ่นดินหลัวอวี่แล้ว ภายใต้การช่วยเหลือของยอดฝีมือทั้งสองคน เขาจะต้องตามหาฆาตกรที่ฆ่าตี้อู่หงเยี่ยได้อย่างแน่นอน!
ปลายเดือนเก้า ในที่สุดคณะของซย่าโหวฉิงเทียนก็เดินทางถึงเมืองหลวงต้าโจว
ตลอดทางพวกเขาก็เที่ยวเล่นด้วยความสนุกสนาน สำราญใจเป็นที่สุด
การท่องเที่ยวในครั้งนี้ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยสลัดทิ้งความทุกข์ระทมที่ผ่านมาได้ และนางยังกลับไปสวมใส่ชุดสตรีอีกครั้ง
ในตอนที่เชียนเยี่ยเสวี่ยสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนเดินออกมาจากห้อง ทำเอาตี้อู่เฮ่ออีถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด
เมื่อเห็นท่วงท่าองอาจผ่าเผยของนางเสียจนเคยชิน ฉับพลันนางก็กลับกลายเป็นหญิงสาวร่างอรชรอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอม จึงทำให้ตี้อู่เฮ่ออียังรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางทัดปอยผมเอาไว้ที่ข้างหู ท่วงท่านั้น ช่างงดงามเป็นที่สุด
“พี่เฮ่ออี พี่เสวี่ยกลายเป็นสาวงามไปแล้วท่านว่าหรือไม่”
หนานกงจื่อหลิงกล่าวถามขึ้น
“ใช่!”
ตี้อู่เฮ่ออีตอบอย่างซื่อสัตย์
เมื่อเห็นตี้อู่เฮ่ออีถึงกับตกตะลึง เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ ‘กระะแอม’ หัวเราะเยาะออกมา แล้วด่าเขาอีกคำว่า เจ้าทึ่ม จากนั้นก็สะบัดกระโปรงเดินอาดๆ ออกไป
“พี่เสวี่ย สตรีเขาไม่เดินกันแบบนี้นะคะ!”
เห็นท่าทางการเดินเฉกเช่นหญิงแกร่งของนาง หนานกงจื่อหลิงก็รีบเดินให้ดูเป็นตัวอย่างทันที
ถึงแม้ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรเสียนางก็รับบทเป็นผู้ชายมาตั้งหลายปี ความเคยชินหลายอย่างในแบบผู้ชายจึงมิอาจแก้ไขปรับเปลี่ยนได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ในขณะที่นางกำลังเรียนรู้ท่าทางการเดินของหนานกงจื่อหลิงอยู่นั่นเอง เดินไปได้เพียงสองก้าว เชียนเยี่ยเสวี่ยก้าวพลาดเหยียบกระโปรงตนเองจนสะดุดล้ม
“ว้าย…”
อีกครั้งที่ตี้อู่เฮ่ออีกลายมาเป็นเบาะรองมนุษย์ให้กับนาง
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างจากคราวที่แล้ว เชียนเยี่ยเสวี่ยนอนทับอยู่บนร่างของตี้อู่เฮ่ออี ริมฝีปากของคนทั้งสองประกบเข้าด้วยกันอย่างแนบชิด
“โอ้โห! จุมพิตกันแล้ว!”
หนานกงจื่อหลิงยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับร้องขึ้น
แม้กระทั่งอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ข้างเคียงก็รีบเข้ามาดู
ชายหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์นั้นอย่างตี้อู่เฮ่ออีถูกจุมพิตนั้นเล่นงานเสียจนสมองเบลอ เขาถลึงตาโตจ้องมองเชียนเยี่ยเสวี่ยที่แนบชิดกับตนเอง ขณะที่หัวใจเขาก็เต้น ‘ตึกตัก’ ระส่ำอย่างบ้าคลั่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจูบกับหญิงสาว!
ที่แท้แล้ว ริมฝีปากสตรีก็อ่อนนุ่มเช่นนี้นี่เอง มันอ่อนนุ่มราวกับปุยเมฆอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังหอมหวาน…
เทียบกับตี้อู่เฮ่ออีที่เหนียมอายแล้ว เชียนเยี่ยเสวี่ยกลับมีท่าทีที่เปิดเผยมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
นางทำราวกับเป็นปลาก็ไม่ปาน พลิกกายขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วเอื้อมมือไปดึงตี้อู่เฮ่ออีขึ้นมา หลังจากนั้นเรื่องแรกที่นางกระทำนั่นก็คือตรวจสอบพื้นว่ามีหินหรือไม่ แล้วตี้อู่เฮ่ออีบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
กระทั่งแน่ใจว่าตี้อู่เฮ่ออีปลอดภัยดี นางถึงได้ตบที่อกพร้อมกับผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ยังดีที่เจ้าไม่เป็นไร มิเช่นนั้นข้าคงต้องโทษตัวเองอีกเป็นแน่!”
เรื่องที่เดิมทีควรจะเป็นเรื่องรักแสนหวาน ถูกเชียนเยี่ยเสวี่ยขัดคอเช่นนี้ หัวใจสีชมพูดวงน้อยที่กำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางแผ่นฟ้าของตี้อู่เฮ่ออีกต้องมีอันร่วงลงมายังโลกมนุษย์ดังเดิม
“ข้าจูบเจ้า!”
ตี้อู่เฮ่ออีกล่าวขึ้น
คำพูดเขาออกจะผิดแผกไปจากความเป็นจริงไปสักหน่อย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นฝ่ายจูบเขาต่างหาก!
เมื่อเห็นท่าทีตี้อู่เฮ่ออีที่เอาความรับผิดชอบไปแขวนไว้กับตนเอง พร้อมกับท่าทางทำนองว่า ‘ข้าต้องรับผิดชอบ’ ของตี้อู่เฮ่ออีแล้ว อวี้เฟยเยียนจึงอดมิได้ที่จะต้องพยักหน้ารับเบาๆ
“ต้องอย่างนี้สิ!”
ลูกผู้ชายต้องอย่างนี้กล้ารับผิดชอบ กล้าที่จะสารภาพออกไป!
ถึงแม้ว่าวรยุทธ์ของตี้อู่เฮ่ออีจะไม่สูงเท่าไรนัก แต่เขาก็มีความรับผิดชอบสูงส่ง!
“เจ้าไม่ได้ตั้งใจนี่นา ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ! อีกอย่างหนึ่งคราวนี้เจ้าก็ช่วยข้าเอาไว้อีกแล้ว ข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วยซ้ำไป!”
ว่าแล้วเชียนเยี่ยเสวี่ยก็สะบัดมือ เอ่ยวาจาที่ตกผลึกได้ของตนเองออกมา
อวี้เฟยเยียนและหนานกงจื่อหลิงพากันสำลักความเบื่อหน่ายออกมา เมื่อเห็นท่าทีสบายๆ ไม่คิดมากของเชียนเยี่ยเสวี่ยเข้า
ความหมายอีกฝ่ายก็ชัดเจนว่าต้องการเพิ่มสถานะให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น!
นางไม่ต้องทำตัวเป็นหญิงแกร่งใจกว้างมากนักก็ได้!
เมื่อได้ยินในสิ่งที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวมา ตี้อู่เฮ่ออีก็เงียบขรึมลงไปแล้วค่อยๆ กลับที่รถม้าอย่างเงียบๆ
“เจ้าทึ่ม เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
แต่อย่างน้อยเชียนเยี่ยเสวี่ยก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย นางจึงรีบตามเขาไป
“บาดแผลเมื่อคราวที่แล้วเจ็บขึ้นมาอีกใช่หรือไม่”
เห็นใบหน้าที่แสนใสซื่อบริสุทธิ์ของเชียนเยี่ยเสวี่ย ฉับพลันใจตี้อู่เฮ่ออีก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“ตรงนี้ของข้าบาดเจ็บ”
ตี้อู่เฮ่ออีชี้ที่ตำแหน่งหัวใจของตนทั้งยังสำทับอีกว่า
“มันกำลังรู้สึกแย่ยิ่งนัก!”
เมื่อเห็นว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยเริ่มเลอะเลือน ซย่าโหวฉิงเทียนในฐานะที่เป็นคนที่สังเกตการณ์อยู่ด้านนอกจึงออกโรงด้วยความทนดูเจ้าคนโง่สองคนนี้ต่อไปไม่ไหว เขาพ่นออกมาตรงๆ ว่า
“เชียนเยี่ยเสวี่ย ตี้อู่เฮ่ออีชอบเจ้า!”
“พรวด…”
ทำเอาอวี้เฟยเยียนที่กำลังดื่มน้ำอยู่เกือบพ่นน้ำออกมา
เห็นอวี้เฟยเยียนสำลักน้ำ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงยื่นมือออกมาลูบหลังให้กับแผ่วเบา ในขณะที่ปากก็เอ่ยชมเชยตนเองไปด้วย
“แมวน้อย พี่กล่าวได้งดงามยิ่งนักใช่หรือไม่”
“งดงาม…”
อวี้เฟยเยียนกล่าวตอบขึ้นราวกับขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียง
คนผู้นี้ เหตุใดบางทีก็ทั้งโง่และทึ่ม ทว่าในบางเวลากลับชาญฉลาดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ซย่าโหวฉิงเทียนขอให้ตี้อู่เฮ่ออีฝังเข็มเพื่อให้เป็นหมันนั้น อวี้เฟยเยียนรู้เรื่องทั้งหมดมาจากตี้อู่เฮ่ออีแล้ว
ตอนนั้นนางแทบจะพังฝาบ้านด้วยซ้ำ!
นางไม่เคยพบชายที่ไร้ซึ่งอารมณ์สุนทรีย์เช่นเขามาก่อนเลยในชีวิต!
ฝังเข็มหรือ
เขาอยากเป็นขันที แต่นางยังต้องการที่จะมีความสุขอยู่นะ!
ชายที่หล่อเหลาราวเทพบุตรเช่นเขากลับต้องไปเป็นขันที เสียดายทรัพยากรอันล้ำค่ายิ่งนัก!
ถึงแม้ในตอนสุดท้ายความเห็นของคนทั้งสองจะไม่ลงรอยกันในเรื่องของลูก แต่เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนได้ยินว่าหลังจากฝังเข็มแล้วเขาจะต้องกลายเป็นขันที ก็รีบตัดขาดหยุดความคิดนั้นเอาไว้ทันที
ขันทีมิอาจฝึกร่วมได้ ข้อควรรู้พื้นฐานนี้ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดี
จริงดั่งที่คาด เชียนเยี่ยเสวี่ยในที่สุดก็ฉลาดขึ้นมาเสียที หลังจากที่ถูกประโยคเดียวของซย่าโหวฉิงเทียนร้องบอกเช่นนี้
มองใบหน้าที่แดงซ่านของตี้อู่เฮ่ออี เชียนเยี่ยเสวี่ยก็หัวเราะออกมา ตบที่บ่าของเขาแล้วกล่าวว่า
“เจ้าทึ่ม เจ้านี่ช่างไร้เดียงสาเสียจริงๆ! เจ้าชอบข้าจริงๆ เหรอ”
เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไป
ใบหน้านางใกล้กับตี้อู่เฮ่ออียิ่งนัก กระทั่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจ ทำเอาตี้อู่เฮ่ออีร้อนระอุไปทั้งร่าง
“เจ้าไม่พูด เห็นทีว่าจะเป็นเรื่องเท็จกระมัง!”
เมื่อครั้งที่เชียนเยี่ยเสวี่ยยังเป็นเยี่ยนอ๋องแห่งฉินจื้อนั้น ด้วยความที่มีรูปร่างหน้าตาที่หมดจดงดงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา จึงทำให้มีหญิงสาวหรือแม้กระทั่งชายหนุ่มมากมายเข้ามาสารภาพรัก ทว่าในครั้งนี้กลับแตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา
ตาตี้อู่เฮ่ออีมิใช่สีดำสนิททั้งหมด เพราะมีสีน้ำตาลอ่อนเจือปน จุดนี้เชียนเยี่ยเสวี่ยสังเกตเห็นตั้งนานแล้ว
ในตอนนี้ ถูกจ้องด้วยดวงตาที่สุกใสแน่วแน่จ้องมองมา จู่ๆ เชียนเยี่ยเสวี่ยก็อยากที่จะหลบหลีกสายตานั้นขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เจ้าชอบข้าที่ตรงไหนกัน”
เชียนเยี่ยเสวี่ยเอ่ยถาม
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
ตี้อู่เฮ่ออีฉีกยิ้มออกมาด้วยความขัดเขิน
“เพียงแค่ได้เห็นเจ้า ในใจข้าก็มีความสุข!”
“เจ้าทึ่ม!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยยื่นมือออกไป ตบที่ไหล่ของตี้อู่เฮ่ออีเล็กน้อย
“เจ้าทึ่ม เจ้ามีสิทธิ์ที่จะชอบข้า แต่ข้าก็ต้องบอกเจ้าว่าข้าชอบผู้ชายที่แข็งแกร่งสักหน่อย! ในตอนนี้ข้าคือราชันจักรพรรดิ รอเจ้านำหน้าข้าได้แล้ว พวกเราค่อยมาลองคบหากันนะ!”
กล่าวจบเชียนเยี่ยเสวี่ยก็เดินจากไปโดยที่ไม่เหลียวหลังกลับมาอีกเลย
มองตามแผ่นหลังของนาง ตี้อู่เฮ่ออีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ราชันจักรพรรดิ…
นางรู้ทั้งรู้ว่าข้าไม่ค่อยสันทัดเรื่องวรยุทธ์อะไรพวกนั้น ในตอนนี้มากล่าวเช่นนี้ นี่นางต้องการให้เขาล้มเลิกความคิดใช่หรือไม่