ตี้อู่เฮ่ออียังรับรู้ได้ แล้วอวี้เฟยเยียนไหนเลยจะไม่รู้
เมื่ออยู่กันสองคน นางจึงพูดคุยกับเชียนเยี่ยเสวี่ยตามลำพังตามประสาทพี่น้อง
“เพราะเหตุใดถึงได้ตั้งกฎเกณฑ์ที่สูงส่งเช่นนั้นด้วยเล่า หรือเจ้าไม่ชอบเขาจริงๆ”
ในฐานะเพื่อนสนิท อวี้เฟยเยียนจึงมักเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาเสมอ เพราะนางอยากจะรู้ความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของเชียนเยี่ยเสวี่ย
“ช่าช่า หากไม่คาดหวัง ก็ไม่ต้องเจ็บปวด! ยิ่งคาดหวังมาก ก็ยิ่งผิดหวังมาก ข้าไม่อยากซ้ำรอยเสด็จแม่ของข้า…”
เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวในขณะที่กำลังขี่ม้า มือก็ลูบสร้อยที่ศีรษะของมันไปด้วย
“เฮ่ออีไม่ใช่คนเช่นนั้น ทุกคนอยู่ด้วยกันทำความรู้จักมาตั้งนาน นิสัยของเขาเจ้าน่าจะรู้ดี”
อวี้เฟยเยียนกล่าว
“แต่ข้าไม่มีความกล้าหาญเช่นนั้น ช่าช่า ที่จริงแล้วข้าเป็นเพียงคนขี้ขลาดคนหนึ่ง!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวตรงไปตรงมาถึงขนาดนี้ทำให้อวี้เฟยเยียนไม่กล้าบังคับอะไรนางอีก
อุปสรรคที่ขวางกั้นอยู่ในใจ อย่างไรเสียก็ต้องก้าวข้ามมันไปด้วยตัวเอง ไม่มีใครทำให้ตัวเราก้าวออกมาจากความเจ็บปวดนั้นได้ นอกเสียจากว่าใจเราแข็งแกร่งขึ้นเอง
หลังจากที่ความรู้สึกคนทั้งสองถูกเปิดเผยออกมา เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงเริ่มที่จะรักษาระยะห่างระหว่างตี้อู่เฮ่ออีกับนาง
เห็นพวกเขาเป็นเช่นนั้น ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ทนไม่ไหวกล่าวถามอวี้เฟยเยียนว่า
“แมวน้อย พี่ทำเรื่องราวให้มันแย่ใช่หรือไม่”
เพราะสำหรับซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ชอบก็คือชอบ เกลียดก็คือเกลียด
ในสายตาซย่าโหวฉิงเทียนบุคคลบนโลกใบนี้มีเพียงสองประเภท
นั่นคือประเภทที่เขาชอบ กับประเภทที่เขาไม่สนใจ
สำหรับประเภทที่เขารังเกียจนั้นแน่นอนว่าย่อมต้องกลายเป็นคนตาย
คนตาย ย่อมไม่นับว่าเป็นคน!
ทว่าเฉกเช่นตี้อู่เฮ่ออีและเชียนเยี่ยเสวี่ยในตอนนี้นั้น ทั้งๆ ที่มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันแต่กลับไม่ยอมใกล้ชิดกัน ทั้งสองคนยังมีพฤติกรรมที่เจตนาหลบหลีกจากอีกฝ่ายให้ไกลที่สุด ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนมิอาจเข้าใจได้
“ท่านไม่ได้ทำผิดเลย!”
อวี้เฟยเยียนเอนกายอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดซย่าโหวฉิงเทียน
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีและความสุขได้เช่นข้าและท่าน!”
ซย่าโหวฉิงเทียนชอบประโยคนี้ที่สุด เขาได้มาพบกับแมวน้อย ได้อยู่เคียงข้างนาง นับว่าเป็นความสุขบนความสุขยิ่งแล้วนี่นา!
ซย่าโหวจวินอวี่ตั้งหน้าตั้งตารอคอย จนในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนก็เดินทางกลับมา
เมื่อคนทั้งสองเข้าวัง ซย่าโหวจวินอวี่ที่อยู่ในห้องหนังสือก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมายกใหญ่
“เซี่ยงจิ้น ดูซิว่าเสื้อผ้าของข้าเป็นระเบียบเรียบร้อยดีหรือไม่ หนวดเคราเรียบร้อยดีหรือเปล่า มงกุฎล่ะ เข้ากันกับชุดที่ข้าสวมใส่แล้วหรือยัง ยังมีอีก หน้าตาข้าเป็นอย่างไรบ้าง ฉิงเทียนพวกเขาถึงไหนกันแล้ว”
ท่าทางเช่นนี้ของซย่าโหวจวินอวี่ เซี่ยงจิ้นเพิ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก เขารีบจัดแจงช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมให้กับซย่าโหวจวินอวี่โดยละเอียดอีกครั้ง จนกระทั่งเขาบอกว่าพระองค์สิริโฉมงดงามเป็นที่สุดนั่นแหละ ฮ่องเต้จึงได้พึงพอใจ
ดูออกถึงความสงสัยของเซี่ยงจิ้น ซย่าโหวจวินอวี่จึงค่อยๆ อธิบายให้เขาฟังอย่างอดทน
“เขาว่ากันว่าเด็กน่ะเห็นใครบ่อยๆ เข้าก็จะหน้าตาเหมือนคนคนนั้น”
“ดังนั้น ข้าถึงได้ระมัดระวังรูปลักษณ์ข้ายิ่งนัก! หลานชายข้าจะได้เติบโตขึ้นมารูปร่างหน้าตาดี!”
ได้ยินเช่นนั้น เซี่ยงจิ้นก็แทบจะทรุดลงทีเดียว
เด็กยังอยู่ในท้องอยู่เลย! แล้วก็ไม่ได้มีสายตากว้างไกลขนาดที่จะมองทะลุออกมาจากท้อง มองเห็นเสด็จปู่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!
“ฝ่าบาท นี่พระองค์ทรงวิตกกังวลเกินเหตุไปหรือไม่”
เซี่ยงจิ้นยังมิทันทรุดลงคุกเข่า ซย่าโหวจวินอวี่ก็มองดูเขาอยู่เป็นนานแล้วออกคำสั่งให้เขาจัดระเบียบเสื้อผ้าของตนเองด้วย
รูปลักษณ์หน้าตาที่สวยงาม นับเป็นเรื่องใหญ่ในสายตาของซย่าโหวจวินอวี่!
“ฝ่าบาท ทรงวิตกกังวลเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ! จากรูปร่างหน้าตาหลินเจียงอ๋องและใต้เท้าอวี้หลัวช่าแล้ว ท่านอ๋องน้อยที่เกิดมาจะต้องรูปงามน่ารักน่าเอ็นดูที่สุดเป็นแน่!”
ทว่าภายใต้การบีบบังคับของซย่าโหวจวินอวี่ ทำให้เซี่ยงจิ้นต้องจัดระเบียบชุดตนให้เรียบร้อย
“มันก็ไม่แน่นะ!”
“แม่ของฉิงเทียนมีนิสัยอ่อนโยนเรียบร้อย นิสัยข้าก็ยังรู้จักเห็นอกเห็นใจมีเหตุมีผล แล้วเจ้าดูนิสัยเขาสิ มีส่วนไหนที่คล้ายกับแม่ของเขา แล้วมีส่วนไหนที่คล้ายคลึงกับข้าบ้าง!”
“สิ่งที่สวรรค์ประทานให้แต่กำเนิดมีเพียงส่วนเดียว ต่อมาต่างหากจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ”
เปรียบเทียบจริงเท็จกับฮ่องเต้ที่วิตกกังวลบ้าคลั่ง จึงมีเพียงผลลัพธ์เดียวนั้นก็คือพ่ายแพ้!
สำหรับการที่ซย่าโหวจวินอวี่นำรูปร่างหน้าตาและลักษณะนิสัยมารวมเป็นเรื่องเดียวกันจนวุ่นวายมั่วซั่วเช่นนี้ เซี่ยงจิ้นรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นกังวลยิ่งนัก
เขาไม่เห็นด้วยกับกล่าวของฮ่องเต้เลยสักนิด โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘นิสัยของข้าคือรู้จักเห็นอกเห็นใจมีเหตุมีผล’ เซี่ยงจิ้นได้ยินก็แทบอยากจะร้องไห้
เชื้อพระวงศ์และราชนิกุลแอบวิพากษ์วิจารณ์กันลับหลังว่าซย่าโหวจวินอวี่เป็นดั่งจิ้งจอก เมื่อครั้งที่เป็นอ๋องก็มากเล่ห์เพทุบาย มิเช่นนั้นในอดีตในบรรดาพี่น้องมากมายแต่เขากลับโดดเด่นกว่าใครและได้ครองบัลลังก์อย่างมั่นคงได้อย่างไร
ทว่าเรื่องนี้เซี่ยงจิ้นไม่กล้าที่จะพูดออกไป และพูดออกไปไม่ได้ด้วย
อย่างน้อยที่สุดในฐานะที่เป็นนายเหนือหัว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยังนับว่าปฏิบัติได้อย่างมีเหตุมีผล
กระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเข้ามาในห้องทรงอักษร ซย่าโหวจวินอวี่ก็เอาแต่จ้องมองหน้าที่ท้องที่แบนราบของนางโดยตลอด
ซาลาเปาน้อยของข้า!
ที่ในนั้นมีหลานคนดีของข้าอยู่!
รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของฮ่องเต้ อวี้เฟยเยียนจึงลูบที่ท้องของตนเองเบาๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันอ้วนขึ้นใช่หรือไม่เพคะ พระองค์ถึงได้เอาแต่จ้องมองท้องหม่อมฉันตลอด”
“อ้วนขึ้นนะดีแล้ว! เจ้าน่ะผอมเกินไปแล้ว! มีน้ำมีนวลขึ้นหน่อยจะยิ่งสวยขึ้น!”
ซย่าโหวจวินอวี่ตอบรับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับกลัดกลุ้มเป็นกังวล
หน้าท้องที่แบนราบ เอวที่คอดเล็กเช่นนี้ ดูไม่ออกเลยว่ากำลังตั้งครรภ์!
หรือเป็นเพราะเจ้าซาลาเปาน้อยยังอายุเพียงไม่กี่เดือน ดังนั้นจึงมองออกไม่ชัดเจนว่าตั้งท้อง
ในฐานะที่เป็นว่าที่พ่อสามีในอนาคต ซย่าโหวจวินอวี่จึงมิกล้าเอ่ยถามเรื่องส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ออกมาได้
ทว่าฮ่องเต้ก็ทรงเตรียมพร้อมเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้รับรู้ความเป็นไปของลูกสะใภ้และหลานชายในท้อง ฮ่องเต้จึงได้ทรงเรียกหมอหลวงเข้าวังมาเรียบร้อยแล้ว
“ครั้งนี้พวกเจ้าออกไปตั้งนาน ข้าเป็นห่วงยิ่งนัก ไม่สู้เชิญหมอหลวงมาจับชีพจรเสียหน่อย เผื่อว่ามีตรงไหนไม่สบาย จะได้รีบทำการรักษาได้ทันท่วงที!”
คำพูดขซย่าโหวจวินอวี่ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยยิ่งนัก ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
ร่างกายของนาง นางย่อมรู้ดี!
ยิ่งกว่านั้นตลอดทางที่ผ่านมายังมีตี้อู่เฮ่ออีเจ้าทึ่มเป็นหมออีกคน ซึ่งทั้งนางและเขาก็มักจะถกเรื่องเกี่ยวกับยาและการแพทย์รวมทั้งผลัดกันจับชีพจรอยู่เป็นประจำ
หากมีตรงไหนไม่สบาย ก็คงจะเจอตั้งนานแล้ว
สำหรับซย่าโหวฉิงเทียน เขาก็แข็งแรงราวกับวัวป่าก็ไม่ปาน แล้วจะไม่สบายไปได้อย่างไรกัน!
ด้วยมิอยากขัดขวางความปรารถนาดีของซย่าโหวจวินอวี่ อวี้เฟยเยียนจึงนั่งลงยินยอมให้หมอหลวงตรวจแต่โดยดี
จู่ๆ ก็ถูกฝ่าบาทเรียกเข้าวัง ทั้งยังให้ตรวจชีพจรให้กับจักรพรรดิโอสถอีกด้วย ทำเอาหมอหลวงหวังรู้สึกกดดันไม่น้อย
ฝ่าบาท หากพระองค์จะล้อหม่อมฉันเล่นก็ไม่ควรเล่นเช่นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ!
อีกฝ่ายเป็นถึงจักรพรรดิโอสถนะพ่ะย่ะค่ะ นางเจ็บป่วยอะไรหรือไม่ตัวนางเองก็คงรู้ดี
ทว่ารับสั่งของฮ่องเต้ยากจะขัดขืน หมอหลงหวังรวบรวมความกล้ายื่นมือออกไปวางลงบนข้อมืออวี้เฟยเยียน
“หมอหลวงหวัง ท่านไม่ต้องตื่นตระหนก!”
เห็นเหงื่อเม็ดโตผุดออกมาที่ศีรษะของหมอหลวงหวังมากมาย อวี้เฟยเยียนจึงเผยรอยยิ้มที่งดงามออกมา ซึ่งการกระทำเช่นนี้กลับทำให้หมอหลวงหวังคลายความกดดันลงไปมาก
“ร่างกายท่านแข็งแรงดี ไม่มีเจ็บป่วยแต่อย่างใด!”
เมื่อจับชีพจรตรวจอาการแล้วเสร็จ ยังหันไปรายงานผลให้กับซย่าโหวจวินอวี่ซ้ำอีกครั้ง
คราวนี้ เป็นฮ่องเต้ต่างหากที่เริ่มร้อนพระทัย เขาลากหมอหลวงหวังไปอีกด้าน แล้วแอบกล่าวถามว่า
“ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้แล้วหรือ”
เรื่องนอกเหนือจากนี้
หมอหลวงหวังไม่เข้าใจในความหายของซย่าโหวจวินอวี่เท่าไหร่นัก
“ฝ่าบาท ทรงตรัสถึงเรื่องอะไรกันแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ความหมายของข้าคือเจ้าตรวจพบอะไรที่น่ายินดีอีกหรือไม่”
“ดีใจ” หมอหลวงหวังยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก
เห็นหมอหลวงประจำตัวของตัวเอง จู่ๆ ก็โง่เขลาดักดานถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้ทรงเกือบจะทรงพิโรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่
“ข้าหมายความว่า มีเรื่องน่ายินดีบ้างหรือไม่!”
ซย่าโหวจวินอวี่พูดถึงขนาดนี้แล้ว หมอหลวงหวังก็ยังคงไม่เข้าใจอีกล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็สมควรเป็นไอ้โง่จริงๆ เสียแล้ว
หรือว่าฝ่าบาททรงต้องการที่จะอุ้มพระนัดดา นี่ทรงพระทัยร้อนเกินไปหรือไม่! ยังมิทันแต่งงาน! ตั้งท้องก่อนแต่งงาน ฝ่ายหญิงจะขัดเขินเพียงไหนกัน!
หมอหลวงหวังส่ายหน้าไปมา แล้วรายงานผลตรวจของตนเองให้กับซย่าโหวจวินอวี่ไปตามความจริง
“ฝ่าบาท ขอแสดงความเสียพระทัยด้วย เรื่องที่พระองค์ทรงคาดหวังยังมิเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่มีหรือ อ๊าก ซาลาเปาน้อยเนื้อตัวจ้ำม้ำ ไปเสียแล้ว…”
ซย่าโหวจวินอวี่ส่ายหน้า เอนหลังลงพิงกับเก้าอี้
ไม่มีซาลาเปาน้อย
เช่นนั้นเสื้อผ้าของเล่นต่างๆ ที่เขาตระเตรียมไว้ ก็ไม่ได้ใช้เลยนะสิ
นี่เขายังมีคำสั่งให้สร้างสวนสนุกเด็กขึ้นในวังหลวง เพื่อเตรียมที่จะเล่นสนุกเป็นเพื่อนหลานชาย คราวนี้ไม่มีโอกาสได้ใช้แล้วหรือ
ก่อนหน้านี้ซย่าโหวจวินอวี่ยังตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุดอยู่เลย ใครจะคาดคิดว่าฟ้าจะผ่าลงมากลางวันแสกๆ ปลุกเขาให้ตื่นจากความฝันอันสวยงามที่จะได้อุ้มหลานกลับมาโดยไม่มีหวนกลับ
ซึ่งอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ข้างๆ ก็หูดีอย่างกับอะไร ถึงแม้ว่าซย่าโหวจวินอวี่จะกระซิบกระซาบกับหมอหลวงหวังลับหลัง ด้วยเสียงที่แผ่วเบา ทว่าคนทั้งสองกลับได้ยินอย่างชัดเจน
ฝ่าบาท พระองค์ช่างสมกับเป็น…พ่อตัวอย่างดีเด่นจริงๆ !
อวี้เฟยเยียนรู้สึกนับถือยิ่งนักในความคิดที่ทันสมัยของซย่าโหวจวินอวี่
ถึงตอนนี้อวี้เฟยเยียนพอจะเข้าใจแล้วว่า เพราะเหตุใดในจดหมายที่ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทส่งเขียนไปถึง เอาแต่กำชับเรื่องราวมากมายกับซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ตอนนั้นนางยังรู้สึกแปลกใจ เพียงแต่ว่ามิได้คิดมาในทางนี้เท่านั้นเอง
อยากอุ้มหลาน
แต่ลูกชายพระองค์กลับยังไม่เปิดโลกทัศน์เลยด้วยซ้ำ!
อย่าว่าแต่อุ้มหลานเลย ทำเจ้าซาลาเปาขึ้นมาอย่างไรเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ!
พระองค์ควรจะต้องเชิญอาจารย์มาสอนเขาจริงจังเสียแล้ว
ซย่าโหวฉิงเทียน เพียงแค่ได้ยินว่าเจ้าเด็กเปรต หัวคิ้วก็เริ่มขมวดเข้าหากันขึ้นมาทันที
“เสด็จพี่ ท่านมีหลานอยู่แล้ว! ทั้งยังมีตั้งหลายคน!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวขึ้น
ได้ยินเช่นนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมา
“นั่นมันไม่เหมือนกันเสียหน่อย! ลูกของเจ้า จะเหมือนกับลูกของคนอื่นได้อย่างไร!”
จากความคาดหวังที่อยู่บนฟากฟ้าร่วงล้นลงมาที่ก้นเหว สภาพจิตใจซย่าโหวจวินอวี่ราวกับเพิ่งนั่งรถไต่ถังก็ไม่ปาน พลิกกลับตาลปัตร
“ฝ่าบาท ขออย่าได้ทรงกริ้วไปเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ในฐานะที่เป็นผู้ติดตามตัวยงผู้ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ เซี่ยงจิ้นรีบรินน้ำชาเข้ามา
“เรื่องนี้ จะรีบร้อนไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”