ตอนที่ 107-1 ฝ่าบาทอย่าเพิ่งกระอักเลือด ทรงอดทนไว้ก่อน!

จำนนรักชายาตัวร้าย

ถึงแม้ว่าเรื่องการมีลูกจะเป็นดั่งเช่นที่เซี่ยงจิ้นกล่าวมา มิอาจใจร้อนได้ แต่ในใจซย่าโหวจวินอวี่ก็ยังคงขมขื่นทุกข์ระทมยิ่งนัก

 

 

คงเพราะเดิมทีเขาคาดหวังมากไว้มากสินะ…

 

 

ในตอนนั้นเองซย่าโหวฉิงเทียนยังเสริมเข้าให้อีกประโยคหนึ่ง

 

 

“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!”

 

 

คราวนี้ ทำเอาซย่าโหวจวินอวี่พิโรธอย่างหนัก!

 

 

นี่ใช่ลูกบังเกิดเกล้าของเขาหรือเปล่า

 

 

ในขณะที่พ่อเขากำลังหมดหวัง เขากลับกระหน่ำซ้ำเติมเช่นนี้หรือ นี่เขาไม่เห็นเรื่องการสร้างเจ้าซาลาเปาน้อยอยู่ในสายตาเลยนี่นา ดีนี่!

 

 

เมื่อนึกถึงสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนเคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า “เจ้าเด็กเปรตคืออะไร น่ารำคาญที่สุด!”

 

 

ฮ่องเต้ก็ทรงเข้าพระทัยอะไรขึ้นมาบ้าง! ซย่าโหวฉิงเทียนไม่คิดที่จะมีลูกด้วยซ้ำ

 

 

แล้วตำแหน่งฮ่องเต้ของเขาจะยกให้ใครกัน!

 

 

น่าโมโหจริงๆ น่าโมโหที่สุด!

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่ผลักหมอหลวงหวังออกไป แล้วควานหาอะไรบางอย่างเพื่อที่จะใช้สั่งสอนซย่าโหวฉิงเทียนสักครั้ง

 

 

ใครจะคาดคิด ซย่าโหวฉิงเทียนยังเอ่ยออกมาตรงๆ อีกประโยคว่า

 

 

“วรยุทธ์ท่านอ่อนหัดเกินไป ท่านสู้ข้าไม่ได้หรอก…”

 

 

“แค่กๆ!”

 

 

หมอหลวงหวังถึงกับถอยออกไปอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งเซี่ยงจิ้นยังทำหัวหดราวกับว่าตนเองไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น

 

 

“เจ้า…”

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่ชี้ไม้ชี้มือ ปากก็เกือบจะตะโกนออกไปว่า

 

 

เจ้าลูกทรพี!

 

 

เมื่อเห็นว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล ฮ่องเต้ก็ทรงเข่าอ่อนล้มลงบนพื้น เริ่มเสแสร้งแกล้งตายเสียอย่างนั้น

 

 

“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”

 

 

เซี่ยงจิ้นรีบวิ่งเข้ามาประคองซย่าโหวจวินอวี่

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่แน่ใจยิ่งนักว่าวิธีนี้จะต้องลากเอาซย่าโหวฉิงเทียนคนที่ปกติกลับคืนมาได้

 

 

ไม่ต้องการลูก

 

 

จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!

 

 

ดังนั้นฮ่องเต้จึงแสร้งนอนนิ่งอยู่บนพื้น หลับพระเนตร ไม่ว่าเซี่ยงจิ้นจะเรียกอย่างไรก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ

 

 

เซี่ยงจิ้นติดตามซย่าโหวจวินอวี่มาหลายปี จึงรู้ว่าครานี้ฝ่าบาทและหลินเจียงอ๋องงัดข้อกันเข้าให้แล้ว ในฐานะที่เป็นหัวหน้าผู้ดูแล เซี่ยงจิ้นก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จึงร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลออกมาหมด

 

 

“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องโกรธฝ่าบาทลงได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ! หลายปีมานี้ผ่าบาททรงเป็นทุกข์ร้อน กลัดกลุ้มกังวลพระทัยก็เพื่อท่านอ๋อง!”

 

 

อดพูดไม่ได้ว่า เซี่ยงจิ้นช่างเป็นนักแสดงที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นนักแสดงอยู่เต็มเปี่ยมทีเดียว

 

 

เขาร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล เมื่อเอ่ยถึงช่วงที่ซาบซึ้งสะเทือนอารมณ์ยังมีสะอึกสะอื้นมาประกอบ รูจมูกทั้งสองรูมีทั้งน้ำมูกทั้งฟองไหลออกมาเป็นทาง ทั้งยังเหนียวข้นอีกด้วย

 

 

การแสดงของนายและบ่าวสองคนนี้ ทำให้อวี้เฟยเยียนได้เปิดหูเปิดตาเสียแล้ว นางจดจำขันทีผู้มีอารมณ์ขันได้อย่างแม่นยำ

 

 

ในขณะที่เซี่ยงจิ้นกำลังแสดงบทบาทอยู่นั้น อวี้เฟยเยียนยังแอบเห็นมุมปากฮ่องเต้ทรงยกขึ้นแอบลืมพระเนตรลอบมองซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว หลังจากนั้นจึงแกล้งหมดสติต่อ เม้มพระโอษฐ์อย่างแน่นหนาอีกด้วย

 

 

พวกเขาสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยรับส่งกันได้สมบูรณ์แบบชนิดไร้ข้อบกพร่อง แค่มองดูก็รู้ว่าทั้งสองคนร่วมมือกันหลอกลวงคน ทั้งสองล้วนแต่เป็นปลาไหลตัวฉกาจ และยังพิสูจน์ประโยคหนึ่งได้อย่างชัดเจน  

 

 

นายว่าขี้ข้าพลอย

 

 

เห็นที คงจะมีเพียงซย่าโหวจวินอวี่เท่านั้นจึงจะสามารถ ‘ฝึกฝน’ บุคคลเช่นเซี่ยงจิ้นออกมาได้

 

 

น่าขบขันจริงๆ เลย!

 

 

เซี่ยงจิ้นอยู่ด้านข้างแสดงละครด้วยความสมจริง ส่วนซย่าโหวจวินอวี่ก็แกล้งหมดสติด้วยความตั้งอกตั้งใจ

 

 

“เสด็จพ่อ พื้นไม่เย็นหรือ”

 

 

“ไม่เย็น…”

 

 

เฮอะ!

 

 

อย่าคิดว่าเจ้าเรียกข้าว่าเสด็จพ่อ แล้วข้าจะไม่เอาความเจ้าอีกต่อไป

 

 

อย่างไรเจ้าก็ต้องผลิตเจ้าซาลาเปาน้อย!

 

 

คำว่าเสด็จพ่อเพียงคำเดียวคิดว่าจะสามารถซื้อข้าได้อย่างนั้นหรือ

 

 

ความเกรียงไกรของข้าจะมิยอมหักมิยอมงอ ความสูงส่งมิอาจแปดเปื้อน

 

 

เดี๋ยวก่อน!

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่ลืมตาโพลง ลุกขึ้นนั่ง จ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยอาการตกตะลึง

 

 

“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ เจ้าเรียกอีกครั้งสิ!”

 

 

ดวงตาซย่าโหวจวินอวี่เป็นประกาย หากมองดูให้ดีละก็จะเห็นหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาเบาบาง

 

 

ฝ่าบาททรงรอคอยมาตั้งหลายปี รอคอยด้วยความหวังว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะเรียกพระองค์ว่า ‘เสด็จพ่อ’ สักคำ เดิมทีคิดว่าต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะยอมยกโทษให้เขา นึกไม่ถึงว่าเขากลับเลือกในเวลานี้

 

 

“เสด็จพ่อ พื้นเย็นนัก ข้าจะดึงเสด็จพ่อลุกขึ้น!”

 

 

ว่าแล้วซย่าโหวฉิงเทียนก็ยื่นมือออกมา

 

 

เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าเสียงที่เอ่ยเรียกว่า ‘เสด็จพ่อ’ นั้นเรียกซย่าโหวจวินอวี่จริงๆ พลันซย่าโหวจวิน อวี่ก็แสบจมูกน้ำตาพานจะไหล ส่วนมืออีกข้างก็จับมือของซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้แล้วใช้แรงเขาชันกายลุกขึ้น

 

 

“เย็นจริงๆ นั่นแหละ! จริงๆ แล้วข้าคิดจะลุกขึ้นตั้งนานแล้ว…”

 

 

ฮ่องเต้ดีพระทัยถึงขนาดว่าไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร

 

 

ในขณะที่ทรงพยายามอย่างหนักที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหลออกมานั้น ทว่าหยาดน้ำตาคนแก่เจ้ากรรมดันไหลออกมาเป็นสายอย่างไม่รู้ฟัง

 

 

ต่อหน้าต่อตาซย่าโหวฉิงเทียนเช่นนี้ ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่รู้สึกเขินอายไม่น้อย

 

 

ใช้ชีวิตต่อสู้ล้มลุกคลุกคลานอยู่ท่ามกลางการเมืองการปกครองที่โหดร้ายทารุณมาตั้งหลายปี ทำให้ ซย่าโหวจวินอวี่คิดไปว่าตนเองได้ฝึกฝนหัวใจจนแข็งแกร่งราวหินผาแล้ว

 

 

นึกไม่ถึงว่าคำเรียก ‘เสด็จพ่อ’ เพียงคำเดียวของบุตรชายจะทำให้หัวใจดั่งหินผาของเขานั้นพังทลายลง

 

 

“เจ้าลูกชายตัวดี จู่ๆ มาทำซาบซึ้งทำไมกัน!”

 

 

“เซี่ยงจิ้น ไปเอาน้ำมาให้ข้าล้างหน้าล้างตาสิ!”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่ล้างหน้าล้างตา พยายามทำให้อารมณ์สงบลง

 

 

“เอ่อ พวกเจ้าเดินทางกันมาไกล คงจะเหน็ดเหนื่อย กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ! รอให้พวกเจ้าหายเหน็ดเหนื่อยแล้วค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนข้า!”

 

 

ดวงพระเนตรของฝ่าบาทราวกับลูกท้อสีแดงสด ซึ่งเขาไม่อยากให้ลูกชายและลูกสะใภ้ต้องมาเห็นเขาในสภาพเช่นนี้ จึงโบกไม้โบกมือไล่พวกเขากลับไปเสีย

 

 

กระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนกลับออกไปกันหมด และเวลาผ่านไปชั่วครู่ ซย่าโหวจวินอวี่ถึงตบที่หน้าขานึกขึ้นมาได้

 

 

“แย่แล้ว ลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท!”

 

 

เหตุใดเขาถึงติดกับระเบิดแสนหวานของซย่าโหวฉิงเทียนได้นะ!

 

 

เพียงแค่คำว่า ‘เสด็จพ่อ’ เพียงคำเดียวก็ทำให้เจ้าซาลาเปาน้อยที่แสนร่าเริงน่ารักของข้าหายไปในพริบตา ช่างเป็นการค้าขายที่ขาดทุนย่อยยับเลยทีเดียว!

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่เสียใจยิ่งนัก อยากที่จะเรียกซย่าโหวฉิงเทียนกลับมาใจจะขาด

 

 

ซึ่งในอีกด้าน ซย่าโหวฉิงเทียนพาอวี้เฟยเยียนไปที่จวนหลินเจียงอ๋อง ซึ่งจวนของเขาเหมือนกันกับตัวเขายิ่งนัก เป็นระเบียบเรียบร้อยและเงียบสงบ ไร้ซึ่งดอกไม้ใบหญ้าหรือสิ่งสวยงามใดๆ

 

 

แม้แต่บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ก็มีจำนวนน้อยนิด ทำให้จวนหลินเจียงอ๋องออกจะว่างเปล่าอย่างชัดเจน

 

 

ถึงแม้ว่าซย่าโหวจวินอวี่จะพระราชทานพื้นที่ที่ดีที่สุดของเมืองหลวงให้กับซย่าโหวฉิงเทียนสร้างเป็นจวนหลินเจียงอ๋อง แต่สถานที่ที่เขาได้ใช้จริงๆ มีเพียงห้องหนังสือ ห้องนอนและห้องสำหรับฝึกวรยุทธ์เท่านั้น

 

 

“ของพวกนี้มาจากไหนกัน”

 

 

เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนเห็นม้าโยกสลัก ชิงช้าน้อย คันธนูน้อย โต๊ะเล็กสำหรับเด็กน้อยนั่งเล่นนั้น ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

 

นี่ไม่ใช่ของของเขา!

 

 

“ท่านอ๋อง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงพระราชทาน บอกว่าเตรียมไว้ให้ท่านอ๋องน้อย”

 

 

ในฐานะที่เป็นหน้าห้องคนสนิทของซย่าโหวฉิงเทียน ชิงหงจึงคอยจัดการดูแลเรื่องทุกอย่างในจวนหลินเจียงอ๋อง

 

 

ได้ยินเช่นนั้นมุมปากของอวี้เฟยเยียนก็ถึงกับขัดเกร็ง

 

 

ฝ่าบาท…นี่พระองค์ทรงแทบจะรอไม่ไหวแล้วจริงๆ สินะ!

 

 

“เก็บออกไปให้หมด ข้าไม่อยากเห็น!”

 

 

หากของพวกนี้มิใช่ซย่าโหวจวินอวี่ส่งมาละก็ ซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องสั่งการให้คนเอาของทั้งหมดนี่ไปเผาทิ้งให้เรียบ

 

 

ความเอื้ออาทรของซย่าโหวจวินอวี่ทำให้เขาหมดคำพูดจริงๆ

 

 

เด็กเปรต…

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนก้มลงมองรูปร่างของอ้อนแอ้นอรชรของอวี้เฟยเยียน แล้วนึกถึงคำพูดของตี้อู่เฮ่ออี

 

 

หญิงสาวคลอดบุตรนั้นเฉกเช่นเดียวกับการไปเยือนประตูผีอย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นช่วงอายุที่ดีที่สุดในการคลอดบุตรครั้งแรกนั่นก็คือสิบแปดปี หลังจากที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่

 

 

หลายวันที่ผ่านมานี้ซย่าโหวฉิงเทียนก็พอจะดูออกว่าอวี้เฟยเยียนชอบเด็กมากเพียงไหน

 

 

ถึงแม้ว่าในใจเขาจะตีกรอบให้ห่างจากเด็กเปรตเอาไว้แสนไกล แต่สำหรับแมวน้อยแล้วเขากลับปฏิเสธไม่ลง

 

 

หากว่าอวี้เฟยเยียนเอ่ยปากขอร้องเขาขึ้นมาจริงๆ ใช้สายตาที่สุกใสแวววาวคู่นั้นจ้องมองเขา ซย่าโหวฉิงเทียนเชื่อแน่ว่าไม่นานตนเองจะต้องยอมจำนนให้กับนาง

 

 

หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาอีกข้อ

 

 

อวี้เฟยเยียนเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ อนาคตสำหรับพวกเขาแล้ว มิอาจล่วงรู้ได้

 

 

ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าในอนาคตสักวันหนึ่ง จู่ๆ อวี้เฟยเยียนก็หายสาบสูญไป เหลือทิ้งเอาไว้เพียงเด็กเปรตที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับนาง เขาคงจะเป็นบ้าเป็นแน่

 

 

หากเทียบกับการมากังวลเรื่องการให้กำเนิดเด็กเปรตในอนาคตละก็ ไม่สู้เอาเวลาไปพยายามฝึกฝนให้สำเร็จเป็นมหาเทพโดยเร็วเพื่อรั้งนางเอาไว้เสียดีกว่า

 

 

แน่นอนว่านางต้องยินยอมพร้อมใจอยู่ที่กับเขา ยินยอมให้กำเนิดเด็กเปรตน้อยให้กับเขา