ตอนที่ 107-2 ฝ่าบาทอย่าเพิ่งกระอักเลือด ทรงอดทนไว้ก่อน!

จำนนรักชายาตัวร้าย

“เป็นอะไรไป” 

 

 

รู้สึกได้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนกำลังจ้องมองตนเองอยู่ อวี้เฟยเยียนจึงเงยหน้าขึ้น 

 

 

“ไม่มีอะไร…พี่ไม่ได้ทดสอบวรยุทธ์ของเจ้าตั้งนานแล้ว ไปเถอะ ไปที่ลานฝึกกัน!” 

 

 

เดิมทีอวี้เฟยเยียนคิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนพานางมาที่จวน มาต้มสุราร้อนๆ สักกาท่ามกลางบรรยากาศที่แสนหวานของยามแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิ พร้อมทั้งชื่นชมดื่มด่ำบรรยากาศที่สวยงามด้วย 

 

 

กว่าที่ทั้งสองจะประลองกันจนจบ เวลาก็ล่วงเลยมาจนกระทั่งถึงช่วงหัวค่ำ 

 

 

“เชยชมทิวทัศน์ป่าต้นเฟิง[1] แดงเพลิงเสียยิ่งกว่าดอกไม้ยามเดือนยี่”! 

 

 

เหลือบมองไปเห็นท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดง อวี้เฟยเยียนจึงท่องกลอนออกมาบทหนึ่ง 

 

 

“ต้นเฟิง” 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนโอบอวี้เฟยเยียนเอาไว้ 

 

 

“เจ้าอยากชมต้นเฟิงหรือ พี่มีสวนอยู่ที่นอกเมือง ต้นเฟิงกำลังงอกงามทีเดียว อีกสักสองสามวันจะพาเจ้าไปเที่ยว!” 

 

 

“ดี!” 

 

 

อวี้เฟยเยียนสายตาวาววับ ราวกับแมวน้อยก็ไม่ปาน 

 

 

ในระยะนี้นางใช้ชีวิตออกจะสบายไปเสียหน่อย ได้ฝึกปรือฝีมือกับซย่าโหวฉิงเทียนมาครึ่งค่อนวัน แต่เขาไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเป็นอวี้เฟยเยียนเสียอีกที่เหน็ดเหนื่อยจนแทบสลบ 

 

 

ตอนนี้ไม่เพียงแค่เสื้อผ้านางเปียกชื้นไปทั้งตัวเท่านั้น ตอนนี้นางรู้สึกราวกับว่ากระดูกทั่วร่างแทบจะแหลกเหลวเลยทีเดียว ปวดระบมไปหมด 

 

 

เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนเป็นเช่นนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงอุ้มนางไปที่ห้องอาบน้ำ 

 

 

น้ำอุ่นคือวิธีที่ช่วยขจัดความเหนื่อยล้าได้ดีที่สุด! 

 

 

“ท่านใส่อะไรลงไปในน้ำ เนื้อตัวอ่อนนุ่มของอวี้เฟยเยียนเอนซบลงในอ้อมกอดซย่าโหวฉิงเทียน ไม่อยากที่จะขยับเขยื้อนร่างกาย 

 

 

ช่างเป็นผู้ชายที่ไร้ซึ่งอารมณ์สุนทรีย์ยิ่งนัก! 

 

 

ถึงได้ลงมือเ**้ยมโหดกับผู้หญิงเช่นนี้ 

 

 

หากมิใช่ว่าในตอนนี้นางและเขามีสัมพันธ์ฉันคนรักกันละก็ อวี้เฟยเยียนคงจะเกิดความสงสัยเป็นแน่ว่าเมื่อครู่ตอนที่ประลองฝึกฝีมือกัน ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นนางเป็นศัตรูจริงๆ ไปแล้วเป็นแน่แท้ 

 

 

แต่เช่นนี้ก็ดี! 

 

 

ทุกครั้งที่นางประมือกับซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนก็จะได้เรียนรู้และมีพัฒนาก้าวให้หน้าขึ้น 

 

 

หากกล่าวด้วยภาษาของซย่าโหวฉิงเทียนนั่นก็คือ 

 

 

“คนอื่นแทบจะร้องไห้กราบกรานขอร้องให้พี่ช่วยชี้แนะ พี่ยังไม่เคยสนใจคนพวกนั้นเลย! การที่พี่มาฝึกฝนชี้แนะให้เจ้า นับเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว!” 

 

 

มีจอมยุทธ์ที่ฝีมือสูงส่งคอยชี้แนะให้กับนาง ก็นับเป็นวาสนาของนางจริงๆ นั่นแหละ! 

 

 

แต่ว่าท่านช่วยอย่าทำท่าเย่อหยิ่งเวลาเอ่ยมันออกมาได้หรือไม่เล่า 

 

 

มันทำให้คนเขามองมาแล้วเกิดความขุ่นเคืองเอา! 

 

 

เทพจักรพรรดิแน่นักหรืออย่างไร 

 

 

รอให้ต่อไปข้าสำเร็จขั้นเทพจักรพรรดิก่อนเถอะแล้วข้าจะทรมานท่านให้หนักเลย! 

 

 

ข้าจะต้องมีแส้หนังด้วย! 

 

 

ยังมีเทียน! 

 

 

“มันดีกับตัวเจ้าเอง!” 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนไม่รู้เลยว่าในใจอวี้เฟยเยียนกำลังคิดการว่าจะเอาคืนเขาอย่างไรอยู่ ในตอนนี้เขากำลังนวดที่แผ่นหลังนางในตำแหน่งที่เหมาะสม 

 

 

“สบายจังเลย!” 

 

 

อวี้เฟยเยียนหลับตาลง ดื่มด่ำกับบริการของหนุ่มคนรักอย่างเต็มที่ ทำให้อวี้เฟยเยียนแลดูจะอ่อนโยนเรียบร้อยน่ารักว่าง่ายเป็นพิเศษ 

 

 

อุณหภูมิน้ำกำลังพอดี พึงพอใจมาก! 

 

 

วิธีการที่ใช้นวดคลึง พึงพอใจมาก! 

 

 

อีกฝ่ายคือคนที่นางชอบ พึงพอใจมาก! 

 

 

หากสามารถทำกิจกรรมที่มีความสุขด้วยกันอีกสักหน่อย นางจะยิ่งพึงพอใจมากกว่านี้…น่าเสียดาย ในตอนนี้นางเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายิ่งนัก จนแม้กระทั่งเรี่ยวแรงที่จะยั่วยวนเขายังแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ 

 

 

ถูกโอบล้อมด้วยความสบาย จนในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็หลับไป 

 

 

เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังแว่วมา ซึ่งแม้ว่าคนในอ้อมอกจะหลับไปเสียแล้ว แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังมิได้หยุดมือ ยังคงนวดผ่อนคลายให้กับนางต่อไป 

 

 

วันนี้คงจะเล่นเสียจนนางเหน็ดเหนื่อยจริงๆ ! 

 

 

ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนก็ได้ค้นพบเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือยิ่งมีความกดดันมากเท่าไหร่ แรงตอบกลับของอวี้เฟยเยียนก็จะมากขึ้นเท่านั้นและพัฒนาการของนางก็จะยิ่งเพิ่มได้รวดเร็วขึ้น 

 

 

เห็นที ร่างกายแมวน้อยจะเป็นพวกชอบได้รับการทรมานกระมัง! 

 

 

มือซย่าโหวฉิงเทียนไล่จากหัวไหล่มนที่หอมกรุ่นของนางลงมาที่แผ่นหลังที่เนียนละเอียด 

 

 

วันนี้นางสวมใส่ชุดชั้นในตัวน้อยสีชมพูแนบเนื้อนาง 

 

 

สำหรับสิ่งต่างๆ ที่เขาไม่เคยเห็น ซย่าโหวฉิงเทียนสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก ใช้โอกาสตอนที่อวี้เฟยเยียนหลับอยู่ เขาจึงถือโอกาสสำรวจสิ่งใหม่ๆ เสียเลย 

 

 

เริ่มเปิดฉากด้านหลัง 

 

 

สิ่งที่เป็นลวดลายดอกไม้และปุยเมฆนี่คืออะไรกันนะ ว่าแล้วซย่าโหวฉิงเทียนก็ยื่นมือออกไปดึงมันขึ้นมา 

 

 

เปรี้ยะ! 

 

 

เสียงแผ่วเบา เจ้าสิ่งนั้นก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนปลดออก 

 

 

สายสีน้ำเงินเส้นเล็กคลายปมออกจากกันขณะที่ห้อยอยู่บนบ่าของอวี้เฟยเยียน เศษผ้าสีชมพูบนผิวด้านหน้าของนางก็ร่นลงมาเช่นกัน 

 

 

เสียมารยาทอย่ามอง! 

 

 

แก้มซย่าโหวฉิงเทียนแดงซ่าน แล้วก็ค่อยๆ ลูบน้ำลงบนผิวของอวี้เฟยเยียนแล้วโกยเอาก้อนเนื้อทั้งสองข้างของนางห่อหุ้มเอาไว้ดังเดิมในครั้งเดียว จากนั้นอุ้มนางขึ้นตรงกลับไปที่ห้องของเขาเอง 

 

 

“ท่านอ๋อง…” 

 

 

เห็นแก้มทั้งสองข้างของซย่าโหวฉิงเทียนแดงซ่านราวกับจะลมจับ ชิงหงจึงถอยหลีกไปอีกด้าน 

 

 

ท่านอ๋อง นี่ท่านอ๋องบุกเข้าโจมตีในจังหวะที่นางเพลี่ยงพล้ำ 

 

 

มันจะไม่ไร้คุณธรรมไปเสียหน่อยหรือ! 

 

 

ทว่าลงมือในขณะที่ควรลงมือจึงสมกับเป็นวิสัยของท่านอ๋อง! 

 

 

หากอวี้เฟยเยียนมาเป็นพระชายา ชิงหงก็ดีใจยิ่งนัก 

 

 

ชิงหงติดตามซย่าโหวฉิงเทียนมาเป็นเวลานาน จึงคุ้นชินกับนิสัยนายท่านเสียแล้ว มีเพียงแต่หลังจากที่ได้พบกับอวี้เฟยเยียนกระมัง ซย่าโหวฉิงเทียนจึงค่อยๆ ‘เป็นผู้เป็นคน’ ขึ้นมาบ้าง 

 

 

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทีเดียว! 

 

 

ท่านอ๋อง ทรงลงมือเถอะพ่ะย่ะค่ะ! 

 

 

รอกระทั่งถึงปีหน้า สิ่งของเหล่านี้ที่ฝ่าบาททรงพระราชทานมาไม่แน่ว่าจะได้ใช้ประโยชน์แล้ว! 

 

 

ชิงหงกำลังชื่นชมการกระทำของนายท่านตนเอยู่ในใจ ทว่าเวลาผ่านไปไม่นาน ซย่าโหวฉิงเทียนก็เดินออกมาจากห้อง 

 

 

ในเวลาเช่นนี้มิใช่สมควรพลิกไปพลิกมาบนเตียงหรอกหรือ 

 

 

อย่างน้อยที่สุดก็ควรอยู่เป็นเพื่อนคนงามนี่นา! 

 

 

ชิงหงเกิดคำถามอยู่ในใจทว่ากลับมิได้เอ่ยออกมา เขาทำได้แต่เพียงตามซย่าโหวฉิงเทียนไปที่ห้องหนังสือ 

 

 

“นี่คืออะไร” 

 

 

เมื่อเข้ามาในห้องหนังสือแล้วเหลือบไปเห็นม้วนภาพวาดวางอยู่บนโต๊ะ ซย่าโหวฉิงเทียนก็หยุดชะงักในทันที เขาไม่ชอบเห็นสิ่งของที่ไม่ใช่ของตนวางอยู่ในห้องซึ่งถือเป็นพื้นที่ส่วนตัว 

 

 

เมื่อเห็นว่านายท่านเริ่มไม่สบอารมณ์ ชิงหงก็รีบกล่าวอธิบายทันที 

 

 

“ภาพวาดนี้ฝ่าบาททรงให้คนนำมาให้ เป็นผลงานใหม่ของอาจารย์เหอ ฝ่าบาททรงตรัสว่าให้ท่านอ๋องพยายามเรียนรู้ศึกษาให้มาก กล่อมเกลานิสัยความคิดและการกระทำ จะให้ดีที่สุดจะต้องทดลองปฏิบัติจริงพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

ชิงหงบรรยายตามที่ขันทีที่นำภาพนี้มาให้กล่าวมา ซึ่งในตอนนั้นที่ได้ฟังเขาก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย 

 

 

มาตอนนี้เป็นคนพูดเสียเอง เขายิ่งรู้สึกแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่ 

 

 

“รู้แล้ว เจ้าถอยไปได้!” 

 

 

รอจนกระทั่งชิงหงออกไป ซย่าโหวฉิงเทียนจึงนั่งลง แล้วสุ่มหยิบเอาภาพออกมาภาพหนึ่งแล้วเปิดออก 

 

 

ภาพวาดนี้ เพียงแค่มองเห็นรูปขุนเขาสายน้ำก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นฝีมือการวาดของเหอหม่านเฉิง 

 

 

เพียงแต่ว่า ใต้ต้นไม่นั้นคนสองคนกำลังทำอะไรกันนะ 

 

 

ฝึกร่วมกันในป่าใหญ่ มิเกรงว่าจะมีใครเข้ามาเห็นหรอกหรือ 

 

 

เมื่อเกิดคำถามขึ้นเช่นนี้ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนตั้งใจดูขึ้นมา 

 

 

รับคำสั่งมาจากซย่าโหวจวินอวี่ เหอหม่านเฉิงวาดภาพต่อเนื่องเพื่อสื่อความหมายถึงภาพในชุนกงถูออกมา 

 

 

ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่ง เดินทางมาท่องเที่ยวในป่าช่วงฤดูใบไม้ผลิ ถูกตาต้องใจซึ่งกันและกันเป็นรักแรกพบ ชายมีรักหญิงมีใจ จึงทำกิจกรรมที่ให้ความสุขขึ้นภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่สวยงาม 

 

 

และเพื่อที่จะให้เป็นไปตามกระแสรับสั่งของฝ่าบาท ต้องสวยงาม ดังนั้นเหอหม่านเฉิงจึงตั้งใจวาดให้พระเอกและนางเอกของภาพให้ชายรูปงามกับหญิงสาวสวย 

 

 

โดยวาดตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่กำลังเริ่มต้นพูดคุยเรื่องความรัก จนถึงขั้นตอนในปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์เตรียมตัวผลิดอกออกผล หรือแม้กระทั่งในขั้นตอนที่ทางน้ำหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวจนได้พบความสุขที่ปลายอุโมงค์ ทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนแต่บรรยายได้สวยงามอย่างที่สุด 

 

 

ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจซย่าโหวฉิงเทียน ไม่ใช่ภาพวาดที่สวยงาม หรือตัวละครที่งดงาม แต่เป็นท่วงท่าในการหลอมรวมต่างหาก 

 

 

เหอหม่านเฉิงเอาภาพหลายภาพในชุนกงถูรวมกับท่าทางที่เขาสามารถคิดขึ้นมาได้มาสรุปรวมกันแล้ววาดออกมาเป็นภาพ 

 

 

“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…” 

 

 

คราวนี้ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ 

 

 

ในแต่ละภาพก็จะทำสัญลักษณ์และเขียนชื่อท่าทางต่างๆ กำกับเอาไว้โดยละเอียดชัดเจน ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกนับถือจิตวิญญาณในความเคารพรักในหน้าที่อาชีพของเหอหม่านเฉิงยิ่งนัก และซย่าโหวฉิงเทียนจดจำเนื้อหาเหล่านี้โดยละเอียดเอาไว้ในใจเรียบร้อย 

 

 

ในวันนี้ซย่าโหวฉิงเทียนเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้แล้วการฝึกร่วมล้ำลึกและกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้!  

 

 

เขาจะตั้งใจเรียนรู้ให้มาก! 

 

 

เวลาล่วงเลยไปจวบจนกระทั่งตะวันขึ้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงอ่านดูทุกภาพจนแล้วเสร็จ 

 

 

ความจำเขายอดเยี่ยมยิ่งนัก เพียงแค่กวาดสายตาก็สามารถจดจำได้อย่างไม่ลืม 

 

 

เมื่อมีความรู้ทางวิชาการแล้ว ที่ยังขาดก็คือการนำไปปฏิบัติจริง! 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเลือกภาพที่ตนเองชอบที่สุดหนึ่งภาพม้วนเก็บแล้วถือเอาไว้ตั้งใจจะนำกลับไปที่ห้องของตนเองเพื่อมอบให้กับอวี้เฟยเยียน 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ต้นเมเปิล