ภาคที่ 30 ปรมาจารย์และลูกศิษย์ ตอนที่ 18 กฎเกณฑ์สูงสุด

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 18 กฎเกณฑ์สูงสุด โดย Ink Stone_Fantasy

 

ขณะนี้ได้รู้ว่าภรรยาเป็นความจริง สิงหั่วสวินอีก็กระตือรือร้นขึ้นเป็นอย่างมาก

ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยต่อไป “วิถีโลกเทียม โลกเขตลวงที่สำแดงออกมาก็สามารถเทียบเคียงได้กับโลกภายในศิลาตรึงโลกา ไปถึงระดับเทพจักรวาล ถึงขนาดที่สามารถสำแดงจักรวาลมายาออกมาได้! จักรวาลมายาต่างก็สามารถกลายเป็นจักรวาลอันแท้จริงได้ ถ้าหากก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง จนวิถีโลกเทียมไปถึงระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกเล่า”

“ระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกอย่างนั้นหรือ” สิงหั่วสวินอีสงสัย เทพจักรวาลก็มิใช่สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดหรือไร

“ในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของข้า จุดหมายสุดท้ายที่ไล่ตามจริงๆ มิใช่การเป็นเทพจักรวาล หากแต่เป็นการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ที่สูงส่งที่สุดต่างหาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด นี่ก็คือสิ่งที่เขาค่อยๆ เข้าใจมากขึ้นตามระดับขั้นที่สูงขึ้น

ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ วัตถุประสงค์ก็คือการค้นหาแก่นแท้ของโลก เข้าใจการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์

กฎเกณฑ์อันสูงส่งที่สุด จึงจะเป็นจุดหมายสุดท้าย

กฎเกณฑ์จักรวาล สูงส่งที่สุดอย่างนั้นหรือ มิใช่!

‘กฎเกณฑ์โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ ต่างหาก จึงจะเป็นกฎเกณฑ์สูงสุด ทั้งยังเป็น ‘กฎเกณฑ์ของอากาศอันสับสนอลหม่าน’ ในตอนนี้อีกด้วย

อากาศอันสับสนอลหม่านประกอบด้วยจักรวาลมากมายนับไม่ถ้วน แผ่นดินอลหม่าน และมหาโลกทิพย์ทั้งห้า! มหาโลกทิพย์ทั้งห้า พูดแล้วดูน่าฟัง ความจริงแล้วนอกจาก ‘โลกทิพย์โบราณ’ จะเป็นชิ้นส่วนประมาณหนึ่งในร้อยส่วนของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแล้ว มหาโลกทิพย์อื่นๆ อีกสี่แห่งล้วนเป็นเพียงสิ่งที่เหล่าเทพจักรวาลสรรสร้างขึ้นมาเท่านั้น การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์มิอาจเทียบกับ ‘กฎเกณฑ์ของอากาศอันสับสนอลหม่าน’ ได้เลย

การเป็นเทพจักรวาล คือขั้นสุดยอดของระบบจำนวนมาก ทั้งยังเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

ทว่าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ กลับมีกฎเกณฑ์สูงสุด… กฎเกณฑ์ของอากาศอันสับสนอลหม่านเป็นเป้าประสงค์หลัก

ดังเช่นระบบทิพย์ ก็คือการศึกษาสรรพสิ่ง ไล่ตามแก่นสำคัญ ขนาดบรรพชนทิพย์ไปถึงระดับขั้นในปัจจุบัน ก็ยังคงศึกษาอยู่เช่นเดิม

“การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ที่สูงส่งที่สุดหรือ” สิงหั่วสวินอีตกตะลึงอยู่บ้าง

“สิ่งที่เหล่าเทพจักรวาลเข้าใจกันก็เป็นเพียงแค่การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์จักรวาลเท่านั้น จะไปเทียบกับกฎเกณฑ์ของอากาศอันสับสนอลหม่านได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “นี่จึงจะเป็นการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ที่สูงส่งที่สุดที่รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ถ้าหากการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ของวิถีโลกเทียมไปถึงระดับกฎเกณฑ์สูงสุด เกรงว่าคงจะสามารถเข้าใจทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านได้กระมัง!

ถึงเวลานั้นผู้ที่ได้ถือครองกฎเกณฑ์สูงสุดคงจะสามารถสรรสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในอากาศอันสับสนอลหม่านได้เลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ทำให้มายากลายเป็นความจริง ทำให้ภรรยาในอดีตของเจ้ากลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ก็มิใช่ว่าจะทำมิได้”

“ใช่ ใช่ ถูกต้อง ถูกต้อง…”

ดวงตาของสิงหั่วสวินอีเป็นประกายไปหมดแล้ว

นั่นคือระดับขั้นเช่นไร

การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ของวิถีโลกเทียม ไปถึงการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ระดับสูงสุด! โลกเทียมเช่นนี้อันที่จริงแล้วนี่ก็คือ อากาศอันสับสนอลหม่าน ระดับขั้นหนึ่งของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแล้ว เป็นเจ้าของ เกิดความคิดวูบหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในนั้น อันที่จริงแล้วต่างก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงทั้งสิ้น

“อันที่จริงแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มพลางขยับนิ้วมือคราหนึ่ง โลกเขตลวงแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ภายในเริ่มมีสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยอย่างเช่น เงินทอง กรวดหิน และดินเกิดขึ้น พร้อมกันนั้นวัตถุเหล่านี้ก็เริ่มแปรเปลี่ยนจากมายากลายเป็นความจริง สิ่งต่างๆ อย่างเงินทอง กรวดหิน และดิน ก็ปรากฏขึ้นมา

“มายาแปรเปลี่ยนเป็นความจริง สำหรับระดับขั้นของข้าในตอนนี้แล้วไม่ใช่เรื่องยากเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เพียงแต่การทำให้สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมานั้นยังต้องการระดับขั้นที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก ไม่แน่ว่าอาจไม่จำเป็นต้องไปถึงระดับกฎเกณฑ์สูงสุดหรอก ไปถึงระดับ ‘เทพจักรวาล’ ของวิถีโลกเทียมก็สามารถทำได้แล้วล่ะ”

“อืม อืม” สิงหั่วสวินอีพยักหน้า แววตาทอประกาย

เขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว วิญญาณกำลังลุกไหม้

ตื่นเต้น พลุ่งพล่าน มีจิตวิญญาณการต่อสู้ล้นฟ้า!

ในอดีตเขาอยากจะเก็บงำความทรงจำอันเจ็บปวดใจนี้เอาไว้ทำให้ตนเองกระตือรือร้น แต่ว่านี่คือความทรงจำอันงดงามตราตรึงใจอันหาใดเปรียบเชียวนะ!

ตอนนี้เขาคิดว่าภรรยาของเขาเป็นความจริง! ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดเห็นเช่นไร อย่างน้อยตามหลักการของตงป๋อเสวี่ยอิง สิงหั่วสวินอีก็คิดว่าภรรยาของตนสามารถนับได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริงโดยสมบูรณ์แบบ!

นอกจากนี้

เขายังมองเห็นความหวังอีกด้วย

บางที ‘วิถีโลกเทียม’ ไปถึงระดับเทพจักรวาล ก็สามารถเปลี่ยนแปรจากมายาให้กลายเป็นความจริง ทำให้ภรรยาของตนเกิดใหม่อีกครั้งได้แล้ว!

“พลั่ก” สิงหั่วสวินอีคุกเข่าลงในทันใด “ขอบคุณผู้อาวุโสตงป๋อที่มีพระคุณช่วยชี้แนะ ยังขอให้ผู้อาวุโสโปรดรับข้าเป็นศิษย์ ถ่ายทอดเคล็ดวิชาบำเพ็ญวิถีโลกเทียมให้แก่ข้าด้วย”

เขาก็เข้าใจว่าศาสตร์โบราณเพียงอย่างเดียวมิได้มีความรู้ความเข้าใจในกฎเกณฑ์เขตลวง เกรงว่าต้องเป็นวิถีโลกเทียมที่เป็นแก่นสารโดยตรง จึงจะมั่นใจว่าจะทำในสิ่งที่เขาต้องการได้ ส่วนวิถีโลกเทียม…แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมสูงที่สุดเท่าที่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เคยมีมา เป็นผู้เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นอาจารย์ของเขา

“อยากจะเป็นศิษย์ของข้า ยังเร็วเกินไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มพลางพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบเอาตำราที่เปล่งรัศมีสีทองกึ่งโปร่งแสงเล่มหนึ่งมอบให้กับสิงหั่วสวินอี “นี่คือศาสตร์โลกเทียม ศาสตร์ลับวิถีโลกเทียมศาสตร์หนึ่งที่ข้าคิดค้นขึ้น แต่ตอนนี้เพิ่งมีเพียงสามกระบวนท่าแรกเท่านั้น เจ้าลองบำเพ็ญดูก่อน ดูศักยภาพของเจ้าก่อนแล้วข้าค่อยตัดสินใจว่าจะรับเจ้าเป็นศิษย์หรือไม่”

ผู้แกร่งกล้าของวังทวีสูญ โดยทั่วไปต่างก็สามารถคิดค้นศาสตร์ลับเองแล้วทิ้งเอาไว้ในตำหนักหมื่นรูป

ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญก็ค่อยๆ สร้างศาสตร์ลับศาสตร์โลกเทียมที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นี้ขึ้นมาทีละเล็กละน้อย

ศาสตร์โลกเทียมกระบวนท่าที่หนึ่ง คุกโลกา ขั้นกำเนิดอากาศมีหวังที่จะฝึกสำเร็จได้ แต่ก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง มีพลังยุทธ์ชั้นที่สามของเจดีย์ดาว

กระบวนท่าที่สอง ฟองแตกสลาย มีพลังยุทธ์ชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาว ขั้นรวมเป็นหนึ่งจึงจะฝึกได้สำเร็จ

กระบวนท่าที่สาม ฟองอากาศอนธการ พลังยุทธ์ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาว ก็คือเคล็ดวิชาที่ประมุขโลกอนธการสรรสร้างขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ดัดแปลงเล็กน้อยเท่านั้น ปรับให้ง่ายขึ้นพอสมควร ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าเคล็ดวิชานี้ไม่เลวเลย แม้กระทั่ง ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ที่เป็นขั้นสูงกว่า เขากลับไม่ใคร่พอใจนัก เพราะศัตรูสามารถหลบหลีกกระบวนท่านี้ได้ แต่ฟองอากาศอนธการนั้นจะเข้าไปห่อหุ้มศัตรูเอาไว้โดยตรง ศัตรูไม่มีทางหลบหลีกไปได้เลย

ดังนั้นดังนั้นเขาจึงทดลองคิดค้นเคล็ดวิชาที่ไปถึงพลังยุทธ์ชั้นที่หกของเจดีย์ดาว ทั้งยังทำให้ศัตรูมิอาจหลบหนีไปได้ ‘โลกอนธการหลากชั้น’ อาจฝืนทำได้ก็จริง แต่โลกอนธการหลากชั้นนั้นสิ้นเปลืองพลังจิตมากเกินไป ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ใคร่พึงพอใจสักเท่าใดนัก

“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลังจากศึกษาศาสตร์ลับนี้แล้ว สิงหั่วสวินอีก็ซาบซึ้งอย่างเต็มหัวใจ

“ยามที่เจ้าบำเพ็ญวิถีโลกเทียม ก็อย่าได้ละเลยศาสตร์โบราณแต่เดิมของเจ้าเชียวล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “พลานุภาพของศาสตร์โบราณค่อนข้างยิ่งใหญ่ ก็สามารถใช้ศาสตร์โบราณมาทำความเข้าใจในกฎเกณฑ์ได้เช่นเดียวกัน มีผลส่งเสริมซึ่งกันและกัน”

“หากข้าเกิดข้อสงสัย สามารถมาขอผู้อาวุโสให้ช่วยสอนได้หรือไม่ขอรับ” สิงหั่วสวินอีเอ่ยถาม

“ย่อมได้แน่นอน ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ทั้งหมดในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราคราวนี้ล้วนทำได้ทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

สิงหั่วสวินอีจนใจในทันที

เขาเข้าใจดี

เมื่องานชุมนุมใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมีธุระของตัวเขาเอง นึกอยากจะหาตัวเขาให้ช่วยชี้แนะก็เป็นเรื่องยุ่งยากเสียแล้ว

“เช่นนั้นศักยภาพของข้าเป็นอย่างไร ผู้อาวุโสจึงจะนับว่าน่าพึงพอใจ อยากจะรับข้าเป็นศิษย์เล่าขอรับ” สิงหั่วสวินอีพูด มีอาจารย์ดี ก็สามารถทำให้ความเร็วในการบำเพ็ญยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล

“งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราคราวนี้ ก็สามารถเห็นศักยภาพของเจ้าได้แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม

สิงหั่วสวินอีเข้าใจแจ่มแจ้ง เขากล่าวอำลาอย่างนอบน้อมในทันที “เช่นนั้นผู้น้อยขอลา”

“ไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

หลังจากสิงหั่วสวินอีกล่าวลาแล้วก็จากไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูชายหนุ่มอาภรณ์ทองผู้นี้จากไป เขารู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณการต่อสู้ล้นฟ้าที่ลุกโชนของสิงหั่วสวินอี ความเจ็บปวดใจสาหัสเพียงใด เช่นนั้นจิตวิญญาณการต่อสู้ในขณะนี้ก็บ้าคลั่งถึงเพียงนั้น!

“หากทำได้ไม่เลว ก็สามารถรับเจ้าเป็นศิษย์ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคราวนี้จะสามารถทำให้เขาจุดประกายจิตวิญญาณการต่อสู้ขึ้นมาใหม่ได้”

ผู้แกร่งกล้าที่ยืนอยู่ในระดับสูงของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ต่างก็สามารถเข้าใจได้อย่างรางๆ ว่า ‘การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ที่สูงส่งที่สุด’ จึงจะเป็นจุดหมายสุดท้ายของพวกเขา

สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเชี่ยวชาญที่สุดก็คือวิถีโลกเทียม แน่นอนว่าก็เคยคิดมาก่อนว่า… ถ้าหากวิถีโลกเทียมไปถึงระดับกฎเกณฑ์สูงสุดจะมีพลานุภาพเพียงใด การทำให้สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นใหม่ เกรงว่าคงมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใดเลย

เพราะเคยคิดมาก่อนแล้ว จึงได้พูดถึงจุดนี้ขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าสิงหั่วสวินอีจะเคยพบกับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่เชี่ยวชาญด้านเขตลวงมาก่อนแล้ว แต่พวกเขาต่างก็เป็นศาสตร์โบราณ ย่อมมิได้มีความคิดนี้เช่นเดียวกับตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ย่อมมิได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้เลย

……

จักรพรรดิสิงหั่วนั่งอยู่ภายในลานบ้านของเรือนพักตามลำพัง ในใจค่อนข้างหดหู่ เขากำลังรอ รอบุตรชายกลับมาจากตงป๋อเสวี่ยอิง

แต่ว่าเขาก็มิได้มีความหวังมากมายสักเท่าใดนัก! เพราะเขาเข้าใจดียิ่งถึงปัญหานี้ของบุตรชายว่าต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขด้วยตนเอง เปลี่ยนแปลงจากส่วนลึกของจิตใจ คนรอบกายคิดจะช่วยก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน

“มาแล้ว” จักรพรรดิสิงหั่วรู้สึกได้ถึงการกลับมาของบุตรชายจึงหันหน้าไปมอง ชายหนุ่มอาภรณ์ทองเดินเข้ามาในลานบ้าน บิดาของเขายังคงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งเดิมกับยามเช้า

“หืม” จักรพรรดิสิงหั่วสะดุ้งคราหนึ่ง

เขารู้สึกได้แล้ว

ไม่เหมือนกันแล้ว

แม้ว่าสิงหั่วสวินอีในอดีตจะรักษาความสงบเอาไว้เช่นเดิม ยากจะมองเห็นความเป็นจริงได้จากภายนอก แต่ก็อดกลั้นเหลือเกินแล้ว

และสิงหั่วสวินอีในตอนนี้ แววตาก็เปล่งประกาย ให้ความรู้สึกเฉียบคม จิตวิญญาณการต่อสู้ล้นฟ้านั้นเป็นสิ่งที่ใครต่างก็สามารถรู้สึกได้ทั้งสิ้น

“เจ้า…” จักรพรรดิสิงหั่วก็มีความรู้สึกไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง

“ท่านพ่อ ช่วยข้าหาสถานที่เร่งเวลาบำเพ็ญให้ที” แล้วสิงหั่วสวินอีก็เอ่ยต่อไปว่า “ข้าต้องเร่งรัดเวลาในการบำเพ็ญ” ต้องรวดเร็ว ยกระดับพลังยุทธ์ให้เร็วที่สุด ทำให้ผู้อาวุโสตงป๋อได้เห็นศักยภาพของตน รับตนเป็นศิษย์ ตนเองจะต้องประสบความสำเร็จอย่างสูงในด้านวิถีโลกเทียมอย่างแน่นอน

“สถานที่บำเพ็ญหรือ” จักรพรรดิสิงหั่วอ้าปากค้างไปเสียแล้ว

นานเท่าใดแล้ว

ร้องขอการบำเพ็ญก็แล้วไปเถิด ยังต้องการเร่งเวลาอีกหรือ

“เร็วเข้าเถิด ไม่มีเวลาให้สิ้นเปลืองอีกแล้ว” สิงหั่วสวินอีเอ่ยเร่งเร้า

………………………………………………