ตอนที่ 19 ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น โดย Ink Stone_Fantasy
ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งเมืองราชันย์มีดต่างก็จับตาดูงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ผู้เป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อนข้างยุ่ง ถึงแม้ว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่มาเยี่ยมเยียนจะมีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ แต่ ‘ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์’ นั้นมีมากมายเหลือเกิน
“ยังขอเชิญตงป๋อผู้อาวุโสโปรดช่วยชี้แนะด้วยขอรับ” ผู้เฒ่าชุดดำคนหนึ่งเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ บริเวณโดยรอบยังมีระลอกคลื่นอันอำมหิตห้อมล้อม
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ที่นั่น เขาวางจอกสุราในมือลง สาวใช้ด้านข้างช่วยรินสุราส่งให้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง ไอหอมของสุราแผ่กำจายออกมา
“ถึงแม้จะเป็นยามต่อสู้ สิ่งสำคัญที่ตัดสินความเป็นความตายก็คือจุดอ่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “เจ้าอยากจะชดเชยจุดอ่อนของตนเอง นี่ก็ถูกต้อง แต่ตอนนี้เจ้ายังเป็นเพียงแค่ระดับชั้นที่สองของเจดีย์ดาวเท่านั้น ยังค่อนข้างอ่อนแอ เจ้าควรจะสิ้นเปลืองพลังงานของเจ้าไปกับเคล็ดวิชาที่เจ้าเชี่ยวชาญ ทำให้สิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญร้ายกาจยิ่งขึ้น”
“เมื่อด้านใดด้านหนึ่งมีจุดเด่นอันแข็งแกร่งเป็นที่สุดแล้วก็สามารถบดขยี้ศัตรูได้เฉกเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ขอรับ ผู้น้อยเข้าใจ” ผู้เฒ่าชุดดำพูด
อายุของผู้บำเพ็ญมิอาจตัดสินจากรูปลักษณ์ได้ ก็เหมือนกับตอนที่เป็นขั้นเหนือธรรมดา ความเร็วในการบำเพ็ญค่อนข้างช้า รูปลักษณ์ก็จะค่อนข้างแก่ชรา แต่ผู้ยิ่งใหญ่ประสบความสำเร็จในบั้นปลาย
หลังจากเป็นเทพ เป็นเทพโลกาแล้ว ต่อจากนั้นก็ยกระดับขึ้นไปตลอด นี่ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้อยู่บ่อยครั้ง
ชายชราตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ของงานชุมนุมใหญ่คราวนี้อย่างแท้จริง
ระยะเวลาในการบำเพ็ญก็เพียงแค่สองร้อยล้านปีเศษเท่านั้น นับได้ว่าเป็นผู้เยาว์วัยผู้หนึ่งเลยทีเดียว
“เช่นนั้นผู้น้อยมีหวังที่จะถูกผู้อาวุโสเลือกหรือไม่ขอรับ” ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยถามอย่างอดมิได้
“ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเจ้าค่อนข้างสั้น ทั้งยังเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัด ไม่มีอาจารย์ที่ดีคอยชี้แนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวก็คือการจัดอันดับในคราวนี้ค่อนข้างต่ำ จัดอยู่ในอันดับที่สามพันเลยทีเดียว ถ้าหากสามารถจัดอยู่ในหนึ่งพันคนแรกได้ โอกาสในการถูกเลือกก็จะเพิ่มขึ้นมากทีเดียว บำเพ็ญให้ดีๆ รีบบรรลุให้เร็วที่สุดภายในหนึ่งพันปีนี้ ต่อให้ข้าไม่เลือกเจ้า เชื่อว่าปรมาจารย์ท่านอื่นๆ ก็น่าจะเลือกเจ้า เอาล่ะ ไปได้แล้ว”
“ขอรับ”
ผู้เฒ่าชุดดำทำความเคารพอย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าไม่เคารพเลยแม้แต่น้อย แล้วจากไปในทันที
“ผู้อาวุโส บรรดาผู้บำเพ็ญเหล่านี้มาขอความช่วยเหลืออยู่บ่อยครั้ง ผู้อาวุโสก็ไม่จำเป็นต้องพบพวกเขาในทันทีหรอกนะเจ้าคะ” สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างพูด “ให้พวกเขารอไปสักครึ่งวันก็ไม่เป็นไร ข้าได้ยินว่าทางปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ท่านอื่นๆ นั้น นึกอยากจะไปขอคำชี้แนะ ก็ต้องรออยู่นอกประตูตั้งหลายวันอยู่บ่อยๆ เลยเจ้าค่ะ”
“ระยะเวลาพันปีนี้มีความสำคัญกับพวกเขาเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่พวกเขามีพรสวรรค์ไม่เลวเลย เพียงแต่ขาดแคลนการชี้นำเท่านั้น ได้รับการชี้นำแล้วก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงภายในพันปี ถ้าหากพลังยุทธ์ยกระดับอย่างชัดเจนก็อาจมีโอกาสถูกเลือกได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องสิ้นเปลืองเวลาของพวกเขาเลยนี่”
ไม่มีโลกทัศน์เพียงพอ ก็ยากที่จะมองทะลุผ่านความเป็นจริงของอีกฝ่ายได้ และยิ่งยากที่จะให้คำชี้แนะที่ดีได้
ความเข้าใจของตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีต่อขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่พวกแม่ทัพเทียนกวง บรรพชนงูอู่เจ๋อ และประมุขเกาะจื่อถู แต่ละคนก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถเทียบได้
……
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
เดิมทีในใจของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านั้นก็ยังไม่เคารพตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บ้าง “พวกเราก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าพวกเรา แต่เขาก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเช่นกัน เขาก็มาเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ได้ด้วยหรือ”
แต่หลังจากที่คนจำนวนมากไปเยี่ยมคารวะและขอคำชี้แนะแล้วก็พบว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมีทัศนคติที่ดีอย่างเห็นได้ชัด ทำให้คนจำนวนมากในหมู่พวกเขาต่างก็เกิดความรู้สึกอันดี แต่ก็ยังมีเหล่าผู้บำเพ็ญที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ลอบกระซิบกระซาบกันว่า “เฮอะ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ท่านอื่นๆ อีกสี่ท่านต่างก็เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน สถานะแตกต่างกัน เขามีทัศนคติที่ดีกว่าก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วนี่”
ผู้บำเพ็ญมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน
มีทั้งผู้ที่มีนิสัยโหดร้าย อุปนิสัยเบี่ยงเบน เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด
……
เพียงพริบตาเวลาสามร้อยปีก็ผ่านพ้นไป ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินศักยภาพของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านี้อย่างค่อนข้างละเอียด แต่จะเลือกใครนั้น ต้องถึงนาทีสุดท้ายก่อนจึงจะสามารถตัดสินใจได้! เพราะเมื่อถึงเวลา ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ห้าท่านก็จะเสนอรายชื่อที่ตนเลือกเอาไว้ตามลำดับ ถ้าหากรายชื่อของผู้อื่นมีการซ้อนทับกันกับของตน ตนเองก็ต้องเลือกคนอื่นอย่างแน่นอน
วันนี้ ดวงตะวันลับขอบฟ้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ริมทะเลสาบภายในเรือนพักตามลำพัง ทำสมาธิอย่างเงียบๆ ในห้วงสมองวิวัฒน์เคล็ดวิชาที่หลอมรวมวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าเข้าด้วยกัน ด้วยความทระนงของเขา ก็ยังอยากจะไปถึงพลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ดด้วยขั้นรวมเป็นหนึ่ง การท้าทายขีดจำกัดสูงสุดในทุกๆ ระดับขั้น มีส่วนช่วยเหลือในการสั่งสมพื้นฐานของตนเป็นอย่างมาก การหยั่งรู้มิใช่ว่าจะคงที่ไปตลอดชีวิต หากแต่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทีละน้อยตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ถ้าหากสามารถบุกผ่านชั้นที่เจ็ดได้ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง ทำถึงขั้นนี้ได้ เช่นนั้นการเป็นขั้นอลวนเหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่แปดก็ย่อมผ่อนคลายอย่างยิ่ง ชั้นที่เก้าก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
นี่ก็คือการยกระดับการหยั่งรู้
อย่างเช่นจอมกระบี่ เหตุใดจึงล้ำเลิศเช่นนั้นได้ ก็ด้วยไม่ได้รับการชี้แนะที่ดีในจักรวาลภูมิลำเนา หยั่งรู้ด้วยตนเองอย่างสมบูรณ์ นี่ก็คือการฝืนบังคับหล่อหลอมตนเอง หลังจากที่ฝืนบำเพ็ญไปจนถึงขั้นอลวนแล้ว พื้นฐานของเขาก็ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ไปถึงวังทวีสูญแล้วอ่านตำราจำนวนนับไม่ถ้วน ซึมซับภูมิปัญญาของผู้อาวุโส ก็ย่อมบรรลุไปถึงขั้นเทพจักรวาลได้ในรวดเดียวอยู่แล้ว
ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีการชี้แนะที่ดี มีศาสตร์ลับมากมาย ทั้งยังมีสมบัติล้ำค่าอย่างกระจกศิลา ก็ต้องเรียกร้องกับตนเองมากขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว!
ปล่อยให้ผ่านไป ก็มีแต่จะบดบังทุกคนเท่านั้น
“ผู้อาวุโส สิงหั่วสวินอีมาขอความช่วยเหลือขอรับ” ยามรักษาการณ์เดินเข้ามารายงานด้วยความนอบน้อม
“ให้เขาเข้ามาสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่ง
ไม่นานนัก
ชายหนุ่มอาภรณ์ทองคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาเต็มไปด้วยพลัง แตกต่างกับตอนที่พบกันคราวก่อนอย่างสิ้นเชิง
“คารวะผู้อาวุโส” สิงหั่วสวินอีทำความเคารพอย่างมีพิธีรีตอง เขานับถือและซาบซึ้งจากใจจริง
“ข้ายังนึกว่าหลังจากที่เจ้าจากไปคราวก่อนแล้วจะมาขอให้ข้าช่วยชี้แนะอย่างรวดเร็ว คิดไม่ถึงว่าการไปมาครั้งนี้จะนานถึงสามร้อยปีทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“ท่านพ่อของข้าเคยบอกว่าในการบำเพ็ญนั้น ถ้าหากเอาแต่ถามอาจารย์หมดทุกเรื่อง เช่นนั้นในอนาคตเมื่อถึงตอนที่ปรมาจารย์มิอาจชี้แนะได้แล้ว ต้องพึ่งพาตนเองอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าคงยากที่จะบรรลุอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าจะพบข้อสงสัยอยู่บ้าง โดยทั่วไปต่างก็ต้องทำความเข้าใจด้วยตัวเองขอรับ” สิงหั่วสวินอีพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้ม
เหมือนกับที่วังทวีสูญสั่งสอนศิษย์ ต่างก็เป็นการที่เหล่าผู้อาวุโสเขียนการตระหนักรู้ของตนเองเป็นตำราแล้ววางเอาไว้ในตำหนักหมื่นรูป ให้บรรดาคนรุ่นหลังไปอ่านกันเอง ทำความเข้าใจด้วยตนเอง การเดินบนวิถีจะเป็นเช่นไรก็ให้ศิษย์เป็นผู้ฟันฝ่าด้วยตนเอง หากพบเจอปัญหาเพียงเล็กน้อยก็ถามอาจารย์หมด ก็คงจะไม่มีอนาคตอันยิ่งใหญ่แต่อย่างใดเลยจริงๆ
“ผู้น้อยบำเพ็ญวิถีโลกเทียม ได้อะไรมาพอสมควร ขอเชิญผู้อาวุโสช่วยชี้แนะด้วย” สิงหั่วสวินอีขยับนิ้วมือเล็กน้อย
กลางอากาศด้านข้างมีโลกมายาใบหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากนั้นโลกก็เปลี่ยนจากมายากลายเป็นความจริง ดึงดูดพลังฟ้าดินโดยรอบให้พรั่งพรู แล้วมันก็หดเล็กลงราวกับลูกทรงกลมอย่างฉับพลัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงม่านตาหดเล็กลงแล้วเอ่ยอย่างอดมิได้ว่า “คุกโลกาหรือ”
“เจ้าสำเร็จกระบวนท่าคุกโลกาแล้วหรือ วิถีโลกเทียมของเจ้าไปถึงขั้นกำเนิดแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
นี่เพิ่งจะนานเท่าไหร่กันเชียว!
สามร้อยปีเท่านั้นเอง
สิงหั่วสวินอีเผยรอยยิ้ม เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “หลังจากผู้น้อยกลับไปแล้วก็เริ่มเจาะลึกระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ‘วิถีโลกเทียม’ มีศาสตร์ลับที่ผู้อาวุโสมอบให้ บวกกับการสั่งสมอย่างลึกซึ้งเป็นที่สุดทางด้านเขตลวงของข้าตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ข้าไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งทางศาสตร์โบราณแล้ว นอกจากนี้ยังมีวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญที่ท่านพ่อมอบให้อีกด้วย ดังนั้นจึงสามารถบำเพ็ญมาถึงระดับขั้นนี้ได้ขอรับ”
“แต่สามร้อยปี…” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงไม่กล้าเชื่อเช่นเดิม
“อ้อ ข้าบำเพ็ญภายในเจดีย์กาลเวลาของเมืองราชันย์มีด ความจริงบำเพ็ญมาสามล้านปีแล้วขอรับ” สิงหั่วสวินอีพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้กระจ่าง
นี่ก็ไม่เท่าไหร่นัก
ผู้ที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยบำเพ็ญวิถีโลกเทียมมาก่อนเลย ต่อให้มีการสั่งสมทางด้านเขตลวงของศาสตร์โบราณอย่างลึกซึ้ง แต่ว่าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์มีความสมบูรณ์ของโลกเทียมมากกว่า ถึงขนาดไปถึง ‘ขั้นกำเนิดอากาศ’ ภายในสามร้อยปีอันแสนสั้น เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการแล้ว
ถ้าหากเป็นสามล้านปีก็ยังไม่เท่าไหร่นัก
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าหากแพร่ไปถึงโลกภายนอกก็ต้องทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนตกตะลึงอยู่ดี เพราะว่าการศึกษาวิถีโลกเทียมไปควบคู่กับ ‘เขตลวงของศาสตร์โบราณ’ ย่อมง่ายดายอย่างยิ่ง เพราะตัวเขตลวงของศาสตร์โบราณเอง เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเขตลวงอย่างลึกซึ้งนักอยู่แล้ว
ในทางกลับกัน… หากบำเพ็ญเขตลวงของศาสตร์โบราณให้ได้ก่อนแล้วค่อยบำเพ็ญวิถีโลกเทียมไปควบคู่กัน อยากจะบรรลุวิถีโลกเทียมอย่างยิ่งใหญ่นั้นกลับยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
สามล้านปี ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ก็เพราะตัวเขาเองบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน เทียบกับตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองแล้ว สิงหั่วสวินอีมีวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญ มีการสั่งสมศาสตร์โบราณ มาถึงขั้นนี้ในสามล้านปี เขารู้สึกว่าพอใช้ได้
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกภายนอกแล้วกลับชวนให้ผู้อื่นตกตะลึงยิ่งนัก
ถึงอย่างไรก็เพียงแค่ไม่กี่ล้านปีเท่านั้น…
พลังยุทธ์ก็เหยียบย่างจากชั้นที่สองของเจดีย์ดาวเข้าสู่ชั้นที่สามของเจดีย์ดาวแล้ว!
“ด้วยวิถีโลกเทียมขั้นกำเนิด การสำเร็จ ‘คุกโลกา’ นั้นยากเย็นยิ่ง” สิงหั่วสวินอีพูด “ในอดีตข้าเคยหยั่งรู้ส่วนประกอบมากมายของโลกเขตลวงภายในศิลาตรึงโลกา มีการสั่งสมอยู่บ้างจึงฝืนทำจนสำเร็จได้ แต่ว่ากระบวนท่าที่สอง ‘ฟองแตกสลาย’ กลับจำเป็นต้องไปถึงวิถีโลกเทียมขั้นรวมเป็นหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าช่างยากเย็นเหลือเกิน มีข้อสงสัยอยู่มากพอสมควร ทำอย่างไรก็มิอาจเข้าใจทะลุปรุโปร่งได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ
ยังคิดว่าเจ้าเด็กผู้นี้อาศัยการสั่งสมศาสตร์โบราณนั้น สามารถทำให้วิถีโลกเทียมไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้เสียอีก!
“เจ้าว่ามาสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
สิงหั่วสวินอีพยักหน้า ทันใดนั้นก็เจาะลึกไปพลาง ถามคำถามไปพลาง โลกลวงแห่งแล้วแห่งเล่าปรากฏขึ้นโดยรอบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ชี้แนะอย่างผ่อนคลาย ทุกครั้งต่างก็ชี้แนะถึงแก่นโดยตรง ชี้แนะสิ่งที่ตนเองไม่เชี่ยวชาญ ตนเองก็ได้แต่ให้คำชี้แนะบางอย่างโดยอาศัยประสบการณ์และตำราจำนวนนับไม่ถ้วนที่เคยอ่านในตำหนักหมื่นรูป ส่วนวิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่น และทางด้านห้วงอากาศที่ตนเชี่ยวชาญนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกลับพูดได้อย่างสบายๆ
สิงหั่วสวินอีฟังแล้วดวงตาก็เปล่งประกาย ถึงขนาดที่ยามตื่นเต้นก็ยังมีสีหน้าเปี่ยมชีวิตชีวา ถึงอย่างไรข้อสงสัยทั้งหมดที่เขามีมานาน ต่างก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างกระจ่างแจ้งโดยอาศัยวิธีการที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง หรือแม้กระทั่งขยายความออกไปในหลายทิศทาง
การชี้แนะในครั้งนี้ยาวต่อเนื่องถึงสิบวันเต็มๆ
ริมทะเลสาบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นเช่นเดิม รัตติกาลผ่านพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า
“ขอบคุณการชี้แนะของผู้อาวุโสตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ด้วยนะขอรับ” สิงหั่วสวินอีกล่าวขอบคุณอย่างเคารพ
“เจ้าหยั่งรู้ได้ไม่เลวเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ มิน่าเล่าสิงหั่วสวินอีผู้นี้จึงได้ก้าวหน้าในด้านเขตลวงของศาสตร์โบราณได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้น เป็นผู้ที่มีการหยั่งรู้สูงส่งที่สุดคนหนึ่งอย่างแท้จริง เป็นผู้ที่หยั่งรู้ได้สูงส่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนมากมายที่ตนชี้แนะมาตลอดหลายวันมานี้เลยทีเดียว
“เช่นนั้นตอนนี้ผู้น้อยสามารถกราบผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ได้หรือยังเล่าขอรับ” สิงหั่วสวินอีเอ่ยถามอย่างอดมิได้
“ยังเร็วเกินไป รอให้งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราสิ้นสุดลงก่อนค่อยว่ากันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
สิงหั่วสวินอีมีความผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อยแต่ก็ยังคงพูดอย่างเคารพว่า “ผู้น้อยขอตัวกลับไปบำเพ็ญก่อนนะขอรับ การชี้แนะของผู้อาวุโสตลอดสิบวันมานี้ มีสิ่งที่ผู้น้อยจำเป็นต้องกลับไปบำเพ็ญหยั่งรู้อีกมากมายทีเดียว”
“ไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
สิงหั่วสวินอีทำความเคารพแล้วจากไปอย่างเชื่อฟังในทันที
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูเงาร่างสิงหั่วสวินอีที่จากไปแล้วกลับเอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนนี้เขามีพลังยุทธ์ชั้นที่สามของเจดีย์ดาว บำเพ็ญต่อไปเขาก็ต้องมีความก้าวหน้าขึ้นอีก ในบรรดาผู้บำเพ็ญของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา พรสวรรค์ในการหยั่งรู้ก็ต้องนับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งอันดับสอง ในรายชื่อที่ข้าเลือกจะต้องเหลือที่เอาไว้ให้เขาคนหนึ่ง”
สำหรับสิงหั่วสวินอีนั้นเขาก็ยังค่อนข้างชมชอบ เพราะว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเชี่ยวชาญก็คือวิถีโลกเทียมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงภูมิใจในตนเองเป็นที่สุดพอดี
ได้พบผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นที่เหมาะสมจะสืบทอดศาสตร์ลับของตนต่อไปสักคนหนึ่งก็มิใช่เรื่องง่ายดายสักเท่าใดเลย
………………………………………………