ตอนที่ 20 หน้าตา โดย Ink Stone_Fantasy
เข้าใกล้ระยะเวลาหนึ่งพันปีมากขึ้นเรื่อยๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่อยากจะมาก็ดูเหมือนจะมากันหมดแล้ว ยามที่พลังยุทธ์ยังมิได้ก้าวหน้าอย่างชัดเจน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาพบอีกเป็นครั้งที่สอง
วันนี้บุรุษร่างผอมเกร็งคนหนึ่งเดินมาถึงด้านนอกประตูเรือนพักของตงป๋อเสวี่ยอิง กลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมารางๆ ก็ทำให้ยามรักษาการณ์สองคนตกตะลึง ถึงแม้ว่ากลิ่นอายนี้จะแผ่ออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่การสัมผัสเพียงเล็กน้อยกลับกลายเป็นกลิ่นอายสังหารอันมืดฟ้ามัวดินเข้าโจมตีจิตวิญญาณ ทำให้เหล่ายามรักษาการณ์จิตใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว พวกเขาเคยพบพานขั้นรวมเป็นหนึ่งมามากมายเหลือเกิน เข้าใจว่าคนตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าขั้นรวมเป็นหนึ่งมากมายนัก ควรจะเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ทันใดนั้นแต่ละคนก็ไม่กล้าไม่เคารพเลยแม้แต่น้อย
“ไปเรียนผู้อาวุโสตงป๋อ บอกว่าปาอวิ่นมาคารวะ” บุรุษผอมเกร็งเอ่ยอย่างเย็นชา
“ขอรับ ผู้อาวุโสโปรดรอสักครู่” ยามรักษาการณ์รีบเข้าไปถ่ายทอดคำพูดอย่างรวดเร็วในทันที
“พี่ปาอวิ่นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบกระวีกระวาดออกมาต้อนรับ
บุรุษผอมเกร็งก็ย่อมไม่เย็นชาอีกต่อไป อีกทั้งยังเผยรอยยิ้มออกมา “ฮ่าฮ่า น้องตงป๋อ รู้ว่าเจ้ายุ่ง ดังนั้นจนถึงตอนนี้จึงค่อยมาเยี่ยมเยียนเจ้า”
“พี่ปาอวิ่นต้องการพบข้า ก็ย่อมได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว มาๆๆ เชิญเข้ามาเร็วเข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาเกรงอกเกรงใจนั้นก็มีเหตุผลอยู่ ถึงแม้ว่าประมุขวังปาอวิ่นผู้นี้จะเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน แต่อ้างอิงจากข้อมูลแล้ว นับว่าเป็นพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวเท่านั้น พลังยุทธ์เท่านี้ก็สูงกว่าตนเองอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ ก็เพราะประมุขวังปาอวิ่นเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิดำ
จักรพรรดิดำมีบุญคุณถ่ายทอดวิชาให้แก่ตน!
คนทั้งสองแยกกันนั่งลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยิบเอาสุราชั้นเลิศที่สะสมไว้ออกมาแล้วรินสุราให้กับปาอวิ่นด้วยตนเอง
“พี่ปาอวิ่น ท่านมาพบข้าด้วยเหตุใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “หากมีเรื่องอันใดได้โปรดพูดมาตรงๆ เลย”
“ฮ่าฮ่า ที่ข้ามาก็เพราะงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้” ประมุขวังปาอวิ่นพูด “ข้ามีศิษย์รุ่นหลังคนหนึ่งมาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา พลังยุทธ์ก็ไม่เลวเลย จัดอยู่ในห้าร้อยอันดับแรก แต่ในท้ายที่สุดแล้วจะถูกเลือกหรือไม่ก็มิได้มีหลักประกัน ดังนั้นจึงได้ขอร้องให้ข้าช่วยเหลือ ข้าเองก็ค่อนข้างชมชอบเจ้าเด็กผู้นี้ ดังนั้นจึงได้มาขอให้น้องตงป๋อช่วยเหลือ”
เมื่อได้ยินว่าจัดอยู่ในห้าร้อยอันดับแรก หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เขาก็มิใช่ผู้ที่ไม่รู้จักยืดหยุ่น ขอเพียงแค่อีกฝ่ายมีศักยภาพสูงพอ ภายใต้สถานการณ์ที่อาจได้รับเลือกหรือไม่ได้รับเลือก ประมุขวังปาอวิ่นถึงกับมาขอร้องด้วยตนเอง ไว้หน้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กรุ่นหลังที่มีศักยภาพ… เดิมทีก็เป็นการตัดสินใจเฉพาะบุคคลของเหล่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อยู่แล้ว พวกเขาแต่ละคนมีประสบการณ์แตกต่างกัน การประเมินศักยภาพของเด็กรุ่นหลังก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง อย่างเช่นเด็กรุ่นหลังสักคนหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงประเมินศักยภาพที่ประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบ ส่วนแม่ทัพเทียนกวงนั้นอาจจะประเมินไว้ประมาณที่หนึ่งร้อย ส่วนประมุขวังเจียงนั้นอาจจะประเมินไว้ประมาณที่สองร้อย
จะต้องมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ไม่มีทางเหมือนกันอย่างแน่นอน
แต่ว่าพวกเขาต่างก็เป็นยอดฝีมือ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความเข้าใจต่อขั้นรวมเป็นหนึ่งอย่างสูงส่งยิ่ง สำหรับการประเมินศักยภาพ ก็ไม่มีทางย่ำแย่เกินไปนัก
ดังนั้นขอเพียงแค่ศักยภาพสูงพอ ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่าภายใต้สถานการณ์ที่อาจได้รับเลือกหรือไม่ได้รับเลือก ก็สามารถเลือกลงไปได้อย่างแน่นอน! ก็ไม่มีทางที่ใครจะคิดว่าเขาสุ่มมั่วมา หากแต่การประเมินศักยภาพอยู่นอกเหนือจากพันอันดับแรก สำหรับประมุขวังเจียงฝู่และแม่ทัพเทียนกวงนั้น ต่อให้การประเมินจะแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็เกรงว่าคงจะอยู่นอกเก้าร้อยอันดับ เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือกแน่แล้ว
เลือกไปก็หน้าแตกเปล่าๆ
“อ้อ ถ้าหากศักยภาพไม่เลว ข้าก็ย่อมสามารถช่วยเหลือได้อย่างสุดกำลังแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“ศักยภาพยังพอได้ เชื่อว่าหลังจากเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วอนาคตก็ย่อมต้องยิ่งไม่ธรรมดาขึ้นไปอีก” ประมุขวังปาอวิ่นพูด
“ไม่ทราบว่าเขาชื่ออะไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เขาชื่อว่าเที่ยหลี่ว์” ประมุขวังปาอวิ่นพูดยิ้มๆ “จัดอยู่ในลำดับที่สี่ร้อยหกในการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาว”
รอยยิ้มที่มีอยู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันชะงักค้างไปเสียแล้ว
เที่ยหลี่ว์หรือ
เที่ยหลี่ว์คือผู้บำเพ็ญไร้สังกัดคนหนึ่ง แต่กลับบำเพ็ญมาเกินหนึ่งหมื่นหกแสนล้านปีแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือภาพการต่อสู้ตอนที่เขาบุกเจดีย์ดาวนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้เห็นแล้ว จัดอยู่ในลำดับที่สี่ร้อยหกนั้นฟังดูน่าฟังทีเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังมิได้บุกผ่านชั้นที่สาม เพียงแค่จัดอยู่ในระดับบนสุดในบรรดาชั้นที่สองของเจดีย์ดาวเท่านั้น แม้กระทั่งการที่เขาจัดอยู่ในระดับบนสุดก็เป็นเพราะร่างกายของเขาเคยถูกดัดแปลงมาก่อนแล้ว!
ตอนนั้นที่ได้เห็นภาพ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ประเมินว่า “เที่ยหลี่ว์ผู้นี้จะต้องมีสมบัติล้ำค่าล้นเหลืออย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าระดับขั้นธรรมดาอย่างยิ่ง คาดว่าคงมีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หนึ่งของเจดีย์ดาวเท่านั้นเอง แต่กลับเคยดัดแปลงร่างกายมาก่อน! อาศัยร่างกายอันแข็งแกร่งจนเกือบจะบุกผ่านชั้นที่สามได้แล้ว เขาเป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญระบบเหล่ากลืนกินคนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับดัดแปลงร่างกายเป็นพวกระบบทิพย์ เห็นได้ชัดว่าต้องมีผู้แกร่งกล้าคนอื่นช่วยดัดแปลงแน่”
ในความเป็นจริงก็สามารถเชิญผู้แกร่งกล้าคนอื่นมาช่วยดัดแปลงร่างกายของตนได้
ถึงขนาดที่หากมีศิลาปฐมโลกามากพอ ก็ยังสามารถเชิญ ‘บรรพชนทิพย์’ มาช่วยเหลือได้ ทำให้ร่างกายแกร่งกล้า ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็ยังยากที่จะทำลาย! แต่ว่ายิ่งดัดแปลงให้ล้ำเลิศมากเท่าใด ราคาก็ยิ่งเกินจริง มิสู้ซื้อหุ่นเชิดยังจะคุ้มค่ามากกว่า
เห็นได้ชัดว่าเพื่องานชุมนุมใหญ่ดวงดารา เที่ยหลี่ว์ผู้นี้ก็ทำการดัดแปลงร่างกายหมายจะอยู่ในอันดับสูงอย่างสุดกำลัง น่าเสียดายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขวังเจียงฝู่มิได้มีสายตามืดมัว มองเพียงปราดเดียวก็ประเมินได้แล้วว่าการดัดแปลงร่างกายนี้เป็นความช่วยเหลือของผู้อื่น ถ้าหากไม่ดัดแปลงเกรงว่าคงจัดอยู่ในอันดับเกินหนึ่งหมื่น ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัด แต่ระยะเวลาในการบำเพ็ญก็ยาวนานเหลือเกิน พูดถึงการจัดอันดับศักยภาพก็ต้องถูกจัดอยู่เกินกว่าลำดับที่สามพันอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย!
สำหรับผู้ที่จัดอยู่เกินกว่าลำดับที่สามพันอย่างไม่ต้องสงสัยเลยคนหนึ่งนั้น…
ตนเองจะเลือกเขาเข้าไปได้อย่างไรกันเล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองประมุขวังปาอวิ่นตรงหน้า ประมุขวังปาอวิ่นมีรอยยิ้มเต็มหน้าเช่นเคย “น้องตงป๋อ ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดที่สามารถจัดอยู่ในสี่ร้อยลำดับได้อย่างเขาคนหนึ่ง ศักยภาพก็ไม่เลวเลยทีเดียวนะ”
“เขาได้ขอให้ผู้แกร่งกล้าคนอื่นดัดแปลงร่างกาย จึงสามารถจัดอยู่ในสี่ร้อยลำดับได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “พวกเราเลือกกันด้วยการดูจากศักยภาพ ผู้แกร่งกล้าคนอื่นดัดแปลงให้ ก็มิอาจนับได้ว่าเป็นศักยภาพของเขา”
“น้องตงป๋อ เจ้าสามารถเลือกได้ถึงยี่สิบคน นอกจากนี้ ศักยภาพน่ะหรือ ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่แต่ละคนมีสายตาที่แตกต่างกัน สายตาของเจ้ามองเห็นศักยภาพอันพิเศษของเขาอยู่คนเดียวแล้
เลือกเขาก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก” ประมุขวังปาอวิ่นพูดยิ้มๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว
ลูกศิษย์ของผู้อาวุโสจักรพรรดิดำผู้นี้ ตนเองพูดจนถึงขนาดนี้แล้วเหตุใดจึงยังบีบบังคับตนเช่นนี้อยู่ได้เล่า
“ข้าจะพยายามแล้วกัน ข้ายังมีธุระต้องออกไปจัดการอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้นยืน
“น้องตงป๋อ เจ้าให้คำตอบที่แน่ชัดกับข้ามาเลยดีกว่า ข้าจะได้วางใจเสียที” ประมุขวังปาอวิ่นพูด
“จะพยายาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เอาอย่างนี้แล้วกัน หากเจ้าเลือก ข้าก็เต็มใจจะมอบสองพันก้อนศิลาปฐมโลกาให้กับน้องตงป๋อ” ประมุขวังปาอวิ่นอมยิ้ม เที่ยหลี่ว์ผู้นั้นมีสมบัติล้ำค่าล้นเหลือจริงๆ ไม่เพียงแต่ดัดแปลงร่างกายเท่านั้น ยังเข้าใจข้อมูลโดยละเอียดของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ทั้งห้าท่าน จึงได้หาตัวประมุขวังปาอวิ่นให้มาช่วยขอร้อง ค่ามัดจำก็คือหนึ่งร้อยศิลาปฐมโลกา เมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วก็พร้อมจะจ่ายอีกห้าร้อยศิลาปฐมโลกา
หกร้อยศิลาปฐมโลกา ก็คงจะทำให้เขาเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้!
“พี่ปาอวิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างจนใจ “ท่านก็ควรจะเข้าใจว่า ด้วยสถานะขั้นรวมเป็นหนึ่งของข้า มารับหน้าที่ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ เดิมทีก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่แล้ว ข้าอยู่ที่นี่ไม่เพียงแค่เป็นตัวแทนของข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นตัวแทนของวังทวีสูญของข้า ข้ามีอาจทำลายหน้าตาของวังทวีสูญของข้าได้ ดังนั้นธุระของท่าน ข้าไม่มีวิธีจริงๆ ศักยภาพของเขานั้นเกรงว่าคงจะจัดอยู่เกินลำดับที่สามพันกระมัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างซื่อสัตย์ชัดเจนแล้วก็หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เท่านั้นเองน่ะหรือ จะไปเกี่ยวข้องถึงหน้าตาวังทวีสูญได้อย่างไรกัน” ประมุขวังปาอวิ่นขมวดคิ้วพูด “เอาล่ะ พวกเราสองคนพบหน้ากันเป็นครั้งแรกในวันนี้ก็อย่าทำให้น่าเกลียดเกินไปนักเลย ไว้หน้าข้าบ้าง ก็แค่เก้าอี้เดียวเท่านั้น ตกลงกันเช่นนี้แหละ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อยแล้วยืดกายขึ้นในทันใด “พี่ปาอวิ่น ข้ายังมีธุระต้องทำ มิอาจอยู่เป็นเพื่อนได้แล้ว เชิญท่านกลับเถิด”
สีหน้าของประมุขวังปาอวิ่นเยียบเย็นลงมาในทันใด “ไม่รับปากจริงๆ น่ะหรือ”
“หมดหนทาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็พูดตรงๆ
“หึๆ”
ประมุขวังปาอวิ่นแสยะยิ้ม “ขั้นรวมเป็นหนึ่งตัวเล็กๆ อย่างเจ้า ได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดของอาจารย์ข้า ไม่รู้จักบุญคุณก็แล้วไปเถิด ข้ามาขอให้เจ้าช่วยเหลือด้วยตนเอง แต่เจ้าถึงกับไม่ไว้หน้ากันเลยเช่นนี้ ยังมีอีก เจ้าอย่าได้เรียกข้าว่าพี่ปาอวิ่น เจ้ามันก็แค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่ง ยังไม่มีสิทธิ์มาเรียกหาเป็นพี่น้องกับข้าหรอกนะ”
เขาโมโหแล้วจริงๆ
เขาเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ทั้งยังเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิดำอีกด้วย ปกติแล้วข้างนอกมีใครบ้างที่ไม่เห็นแก่หน้าเขา เขามีความรู้สึกดูแคลนขั้นรวมเป็นหนึ่ง ในใจก็มิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย ชั้นที่หกของเจดีย์ดาวแล้วอย่างไรหรือ ในประวัติศาสตร์มีผู้ที่ค้างอยู่ที่ชั้นที่หกของเจดีย์ดาวเป็นระยะเวลาเนิ่นนานก็ยังไม่สามารถเข้าสู่ขั้นอลวนได้ก็มีอยู่ไม่น้อย เช่นประมุขเจดีย์เหลยเหยียนก็ค้างอยู่ที่นั่นมาโดยตลอด หรืออย่างเช่นประมุขโลกอนธการก็ยิ่งตกต่ำลงไปนานแล้ว
ในใจของประมุขวังปาอวิ่นมิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลยจริงๆ แม้กระทั่งการเรียกหาเป็นพี่น้อง เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่ามาขอร้องคน จึงได้รักษารอยยิ้มคุยธุระอย่างกระตือรือร้น ไหนเลยจะคิดว่าเขาอุตส่าห์ไว้หน้าแล้ว แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้เป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งจะไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ให้เขาสองร้อยศิลาปฐมโลกาก็ยังไม่รับปากอีก สมบัติล้ำค่าทั้งเนื้อทั้งตัวของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้รวมกันจะมีมูลค่าสักเท่าใดกัน หนึ่งพันศิลาปฐมโลกาก็สุดๆ แล้วกระมัง สองร้อยศิลาปฐมโลกาก็เป็นเงินก้อนโตแล้ว
“เรียกหาเป็นพี่น้องหรือ ดูท่าจะเป็นข้าที่ล้ำเส้นไปเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เอ่ยเสียงเย็น
พูดมาจนถึงขนาดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอีกต่อไปแล้ว
“เด็กๆ ส่งแขกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งเสียงออกไป
นอกประตูลานบ้านมีสาวใช้เข้ามาในทันที สาวใช้เดินไปยังข้างกายประมุขวังปาอวิ่น มีความประหม่าเล็กน้อยแต่ก็ยังเอ่ยว่า “เชิญเจ้าค่ะ!”
ต่อให้ประมุขวังปาอวิ่นโอหังกว่านี้ก็ยังไม่กล้าสามหาวภายในที่มั่นของเมืองราชันย์มีด
“หึๆ ช่างกล้านัก” ประมุขวังปาอวิ่นยิ้มเย็น
“ว่าอย่างไร ยังไม่ไปอีกหรือ ต้องให้ข้าผลักท่านออกไปหรืออย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเย็น
“ดี ดีมาก” ประมุขวังปาอวิ่นหันหน้าเดินออกไปพร้อมรอยยิ้มหยัน สองสามก้าวก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่ง
ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้วอย่างไรเล่า เป็นเพียงพลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ดสูงกว่าตนเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น ต่อให้ขับเคี่ยวกับตน ตนก็ไม่กลัวเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตนเองก็ใกล้จะไปถึงขั้นอลวนแล้ว พอเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนแล้วก็จะเหนือกว่าเขาได้อย่างง่ายดาย ตนเองเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้ก็รักษามารยาทเพียงใดแล้ว ทั้งหมดก็เพราะเห็นแก่หน้าจักรพรรดิดำ
แต่ตนเองเคารพจักรพรรดิดำก็มิได้หมายความว่าจะเคารพลูกศิษย์ของเขาด้วย
ในเมื่อไว้หน้าแล้วไม่รักษาหน้า เช่นนั้นก็ได้แต่ผลักเขาออกไปเช่นนี้แล้ว
…………………………………………