เล่มที่ 16 ตอนที่ 32

Memorize

วิเวียนเห็นการตอบโต้ของผมดังนั้น แล้วจึงพูดต่อมาทันที

 

 

“อย่างแรก ข้อเหมือนของยาน้ำทั้งสี่ชนิดนี้คือ มีสรรพคุณทั่วไปของผลอิกดราซิลเหมือนๆ กัน อย่างที่เคยพูดไว้ว่า จากทั้งหมดแปดส่วน ให้แต่ละส่วนแบ่งครึ่งออกมา ดังนั้นแล้วเราจึงได้มาทั้งหมดสิบหกขวดด้วยกัน ด้วยความที่สรรพคุณมันค่อนข้างแรงมาก ในช่วงแรกฉันเลยคิดว่าจะลองแบ่งเป็นสี่ส่วนดูไหม แต่…หากพอคิดถึงเรื่องเวลาแล้ว ฉันเลยคิดว่าแบ่งครึ่งๆ แบบนี้ไปเลยคงจะดีเสียกว่า”

 

 

“อย่างนี้นี่เอง ข้อเหมือนงั้นหรือ…ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าต้องมีข้อแตกต่างด้วยน่ะสิ?”

 

 

“แหงอยู่แล้ว หนังสือของมาร์โวลโลมีเนื้อหาดีๆ อยู่เยอะมาก แม้จะรวมมาจากหลายๆ ที่ก็เถอะ ฉันเลยคร่ำเคร่งตั้งใจเลือกสิ่งที่กระทบต่อราชินีแห่งเอลฟ์อย่างรุนแรงมากที่สุดในบรรดาเนื้อหาเหล่านั้นมา ซึ่งข้อแตกต่างก็คือ จะต้องใช้ให้ถูก ใช้ให้เหมาะสมกับจุดแต่ละจุด เราจะต้องป้อนน้ำยาในตรงตามสภาพการณ์จึงจะได้ประสิทธิภาพที่มันจะเข้ามาผนึกกำลังกัน”

 

 

“ยกตัวอย่างสภาพการณ์หน่อยสิ”

 

 

“พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าน้ำยาสีน้ำเงินเข้มขวดนี้จะทำให้ประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างกายรับรู้ได้อย่างฉับไวมากยิ่งขึ้น เจ้าสีชมพูคือยาที่มีสรรพคุณเกี่ยวกับเสียง เจ้ายานี้มีคุณสมบัติเฉพาะตัวเชียวนะ เพราะฉะนั้นช่วยเฝ้าดูประสิทธิภาพของมันด้วยละ และสีดำคือความเจ็บปวด สุดท้ายคือเจ้าสีม่วงอมแดง มันจะทำให้รู้สึกสะลึมสะลือ ทั้งสี่ขวดนี้นับว่าเป็นหนึ่งเซ็ต และสามารถใช้ได้ทั้งหมดสี่ครั้งถ้วน”

 

 

ผมเกิดความคิดขึ้นมาทันทีว่าวิเวียนช่างละเอียดรอบคอบมากเสียจริง อย่างที่หล่อนพูดไว้ว่า เราจะไม่ได้เห็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยน้ำยาเพียงอย่างเดียว แน่นอนว่าต้องลองรับรู้รายละเอียดต่างๆ เองโดยตรงมาก่อนจึงจะรู้ผลได้ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเชื่อหล่อนได้อย่างสนิท ผมรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก แล้วจึงพูดออกไปด้วยความดีใจ

 

 

“งั้นเหรอ โอเค รับทราบ ถ้างั้นตอนนี้ก็เหลือแค่ป้อนยา แล้วให้มันทำตามหน้าที่ไปสินะ?”

 

 

“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่…ก็แอบกังวลอย่างบอกไม่ถูก”

 

 

วิเวียนพยักหน้าหงึกๆ แล้วค่อยๆ นำแขนเข้ามากอดอก สีหน้าของหล่อนเคร่งเครียดมาก

 

 

“กังวลอะไร”

 

 

“ผลของอิกดราซิลน่ะ จริงๆ เป็นวัตถุดิบที่เก็บมาได้ยากมากเลยนะ ประสิทธิภาพมันก็ดีตามนั้นแหละ แต่ปัญหาคือ สรรพคุณมันแรงเสียยิ่งกว่าแรงยังไงล่ะ โดยเฉพาะหากคิดถึงตอนพวกมันเข้ามาผนึกกำลังรวมกันสิ…เฮ้อ ฉันน่าจะแบ่งเป็นสี่ส่วนไปตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว”

 

 

“เธอบอกว่าราชินีแห่งเอลฟ์ยังทนได้พอสมควรเลยนี่นา ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ยังมีวิธีค่อยๆ ป้อนให้หล่อนเพียงแค่ครึ่งหนึ่งก็ได้นี่”

 

 

“ถึงเราจะประมาณพลังจิตของมนุษย์ไม่ได้ แต่จะเอาไปเทียบกับราชินีแห่งเอลฟ์ก็คงไม่ได้อยู่แล้วแหละ สติที่ยังคงความสง่าและบริสุทธิ์มาได้เป็นเวลาหลายร้อยปี กับสติที่เพิ่งถือครองมาได้เกินกว่ายี่สิบปีนิดๆ น่ะ เราจะเอาเทียบให้มันเหมือนกันไม่ได้หรอกนะ สมมติว่าก่อนเริ่มทำยา ฉันไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นพอได้มาลงมือทำจริงๆ แล้ว ฉันเองก็กลับไปคิดอะไรง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้เลยล่ะ นายเองก็รู้ใช่ไหมว่าค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับสิ่งนี้มันเยอะมากแค่ไหน” 

 

 

วิเวียนตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วไม่พอใจสักเท่าใดนัก หล่อนขบปากอยู่หลายครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างกะทันหัน

 

 

“ยังไงก็ตาม ฉันก็ต้องคาดหวังให้มันรุนแรงต่อพลังจิตของแพคซอยอนให้ได้มากที่สุดตามที่ว่ามาใช่ไหมล่ะ เอาถึงขนาดพอที่จะอดทนต่อน้ำยานี้ได้น่ะ”

 

 

ผมได้แต่ระเบิดเสียงหัวเราะภายในใจ วิเวียนไม่ได้กังวลอะไรแต่ไหนไรแล้ว แต่ตอนนี้หล่อนกำลังกังวลอยู่เสียอย่างนั้น จริงๆ ผมเองก็เกิดความสงสัยว่าจะพูดออกไปดีไหมว่า สรรพคุณมันแรงมากเพียงไหนจนถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แต่ทว่ามันก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันมากนัก หากหล่อนยังไม่ตาย และทนอยู่ได้จนกระทั่งยอมคายข้อมูลออกมาเป็นประโยคสุดท้าย ก็คือว่าใช้ได้แล้ว ไม่สิ อย่างไรก็ตามแต่พวกเร่ร่อนที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย อย่างไรก็ต้องตายตามไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงยิ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งนี้เลยแม้แต่น้อย

 

 

ผมหันหน้าไปทางวิเวียนที่กำลังทำหน้าบูดบึ้ง แล้วพูดออกไปว่า

 

 

“ยังไงก็ตาม หากเราเลือกมาเฉพาะสิ่งที่สำคัญมาเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น พวกที่เหลือที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็จะถูกฆ่าตายไปหมด ถึงแม้มันอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดคาดฝันตามที่เธอพูดมา แต่สุดท้ายแล้วหากหล่อนไม่ตายไปกลางทางก่อน ก็ถือว่าดีแล้ว”

 

 

 “…อืม”

 

 

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แพคซอยอน ถ้าพวกเราสามารถล้มแพคซอยอนเพียงแค่คนเดียวได้ เจ้าพวกเร่ร่อนคนอื่นๆ น่ะ เธอจะใช้พวกมันทำอะไรก็ได้ ฉันจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายด้วย วิเวียน ฉันขอมอบสิทธิและอำนาจทุกอย่างในงานให้กับเธอคนเดียว เข้าใจใช่ไหม”

 

 

วิเวียนยืนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แต่ชั่วขณะที่ผมว่านั้นคือแป๊บเดียวจริงๆ ดูเหมือนว่ามีความเย็นยะเยือกแล่นผ่านแววตาของหล่อนไป หลังจากนั้นหล่อนจึงยกยิ้มมุมปาก พร้อมพูดออกมาว่า

 

 

“ที่พูดมาน่ะ จริงใช่ไหม”

 

 

ผมพยักหน้าให้ วิเวียนจึงเปิดปากพูดออกมาอีกครั้งว่า

 

 

“ไม่ว่าฉันทำอะไร ก็โอเคหมดเลย จริงๆ ใช่ไหม”

 

 

“ฉันไม่ชอบพูดซ้ำสองนะ”

 

 

วิเวียนกลับมามีสีหน้าสดใสเหมือนอย่างเคย ราวกับว่าหล่อนเบาใจไปได้แล้ว และหล่อนรีบหยิบน้ำยาหนึ่งขวดอย่างไม่รีรอ แล้วจับแขนผมลากไปทันที ขวดที่หล่อนกำลังถืออยู่นั้นบรรจุไปด้วยของเหลวสีน้ำเงินเข้ม น้ำยาสีน้ำเงินเข้มขวดนี้มีสรรพคุณคือ ช่วยกระตุ้นทำให้ทั่วทั้งร่างกายรับรู้อะไรต่อมิอะไรได้อย่างฉับไวมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

 

 

“งั้นดีเลย เอาล่ะ งั้นตอนนี้เราไปคุกใต้ดินกันเลยเถอะ”

 

 

“คุกใต้ดิน? ตอนนี้เลยเหรอ ฉันน่ะโอเคอยู่แล้ว ว่าแต่เธอจะไม่พักผ่อนสักหน่อยเหรอ”

 

 

“งานใหญ่ของฉันจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้แล้ว ฉันเองก็จัดลำดับเรียงไว้หมดแล้วด้วย ลำดับแรกคือ ต้องป้อนเจ้ายานี้เข้าไปเท่านั้น แค่แป๊บเดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว จะไปด้วยกันไหมล่ะ”

 

 

ผมค่อยๆ พยักหน้าให้กับคำพูดของวิเวียน พวกเราเดินออกมาจากห้องทำงานของวิเวียน หลังจากนั้นจึงเดินผ่านทางเดินอาคารที่ถูกอาบย้อมไปด้วยแสงจากจันทร์ แล้วจึงเคลื่อนตัวไปยังคุกใต้ดินทันที

 

 

และสิ่งนี้คือ ก้าวแรกที่จะก่อให้เกิดทฤษฏีผีเสื้อ สิ่งนี้นี่แหละที่จะทำให้มรสุมต่างๆ วนเวียนพัดผ่านเข้าไปโจมตีทวีปเหนืออย่างรุนแรงต่อไปในภายภาคหน้า

 

 

 

 

วันต่อมา ผมเคลียร์ตารางประจำวันในช่วงเย็นเสร็จ ก็เดินลงไปยังใต้ดินตามคำขอร้องของวิเวียน

 

 

ห้องฝึกฝนการต่อสู้ที่ผมแสนจะภูมิใจในเนื้ออันกว้างใหญ่นี้ ได้ถูกปรับปรุงโฉมใหม่ให้กลายมาเป็นคุกใต้ดินชั้นเลิศแทน คุกแห่งนี้มีโครงสร้างง่ายดายและไม่ซับซ้อน ถึงขนาดที่ว่าเราสามารถรื้อถอน ทุบทิ้งมันได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ

 

 

หากลองคิดถึงห้องฝึกการต่อสู้ที่มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ดู จะรู้ได้ว่าในทุกๆ หนึ่งเส้นระนาบจะสามารถสร้างคุกได้จำนวนสองห้อง เพราะฉะนั้นแล้วเราจึงสามารถสร้างคุกออกมาได้ทั้งหมด เป็นจำนวนแปดห้องด้วยกัน จากจำนวนห้องทั้งหมด เราใช้ถึงเจ็ดห้องในการคุมขังพวกเร่ร่อน ส่วนอีกหนึ่งห้องที่เหลือนั้นจะเป็นห้องเก็บของที่วิเวียนขอร้องมาโดยเฉพาะ

 

 

คุกใต้ดินแห่งนี้ติดไลท์สโตนเพิ่มแสงสว่างอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น จึงทำให้บรรยากาศรอบข้างดูมืดมัว มีแสงสลัวๆ เพียงอย่างเดียว ภายในนี้มีลมร้อนวูบวาบจากที่ไหนไม่รู้พัดเข้ามาปะทะร่าง อีกทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งออกมาจากทั่วทุกสารทิศ จนถึงขนาดต้องเอามือมาปิดจมูกไว้

 

 

บรรยากาศชั้นใต้ดินเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างลิบลับ พอผมเดินผ่านมาได้สำเร็จ จึงได้พบเข้ากับประตูที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้า และที่แห่งนี้คือคุกที่อยู่ข้างๆ ห้องเก็บของ หรือสถานที่ที่คุมขังตัวแพคซอยอนเอาไว้นั่นเอง

 

 

ผมรับรู้ได้ว่าด้านในมีคนอยู่ทั้งหมดสองคน พร้อมได้ยินเสียงครวญครางเบาๆ ดังลอดออกมา ดูท่าแล้ววิเวียนคงจะมาถึงที่นี่ก่อนผม ผมจึงเปิดประตูเข้าไปในทันที ทันใดนั้นเอง เสียงครวญครางที่โอดร้องออกมาอย่างแผ่วเบาที่ผมได้ยินนั้น ก็ยิ่งดังทวีคูณมากขึ้น และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผมรู้สึกได้ว่ากลิ่นเหม็นเน่านั้นยิ่งคละคลุ้ง ส่งกลิ่นโชยรุนแรงมากกว่าเดิม

 

 

“จะ…เจ…เจ็บ เจ็บ! จะ…”

 

 

“อ้า คิมซูฮยอนมาแล้วเหรอ”

 

 

ผมได้ยินเสียงวิเวียนต้อนรับผมทันทีที่ได้เข้ามา หล่อนกำลังมองแพคซอยอนที่กำลังนอนขดตัว เกลือกกลิ้งอยู่ที่พื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่รู้จบ ผมคิดออกมาว่าหากคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อน ได้มาเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เขาจะคิดว่าผมกับวิเวียนเป็นฝ่ายอธรรมและแพคซอยอนฝ่ายธรรมะหรือเปล่านะ ไม่หรอกมั้ง เพราะผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะเช่นกัน

 

 

อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งเหล่านั้นคือ สภาพของแพคซอยอนในขณะนี้ต่างหาก

 

 

วิเวียนให้น้ำยาสีน้ำเงินเข้มกับแพคซอยอน ในช่วงเช้ามืดของเมื่อวานนี้เอง ซึ่งประสิทธิภาพของยานี้ได้ข้อยืนยันออกมาแล้ว อาจเนื่องด้วยการทำลายประสาทและการทำให้พลังเวทตีพันกันจนวุ่นวายถูกกระตุ้นขึ้นมาให้มีปฏิกิริยาแล้วนั่นเอง สรรพคุณทั้งสองสิ่งที่ว่าไปนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสรรพคุณเบื้องต้นของผลอิกดราซิล เพราะฉะนั้นแล้วตอนนี้หล่อนจึงกำลังส่งเสียงกรีดร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องคุมขัง

 

 

หล่อนดิ้นเร่าๆ บิดร่างกายไม่หยุดหย่อน ไม่เพียงแค่นอนเกลือกกลิ้งไปบนพื้นเท่านั้น ตอนนี้หล่อนยังทำร้ายร่างกายตัวเองจนบาดเจ็บแล้วด้วย จึงทำให้ในท้ายที่สุดหล่อนจึงยันตัวเองตรงผนัง ตามที่วิเวียนพูดมาคือ ประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างกายจะถูกขยายเพื่อให้รับรู้ได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นมันก็จะยิ่งทวีคูณความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

 

แพคซอยอนนอนฟุบอยู่บนพื้น แขนที่เหลือเพียงหนึ่งข้างและขาทั้งสองข้างของหล่อนนั้นถูกพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา ผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าวันนี้วิเวียนจะคลายปมนั้นให้หรือไม่

 

 

สภาพหล่อนตอนนี้ดูน่าเวทนาจับจิตจับใจ ซึ่งทั้งนี้อาจเป็นเพราะความทุกข์ทรมานจากน้ำยาที่ได้รับในวันนี้นี่เอง จึงทำให้หล่อนมีสภาพเช่นนี้ หลังจากที่หล่อนถูกกักบริเวณให้อยู่ได้แค่เพียงในคุกเท่านั้น จึงทำให้กลิ่นเหม็นสาบที่ติดอยู่ตามร่างกายจนไม่อาจชำระล้างออกไปได้ เริ่มส่งกลิ่นโชยออกมา ผมยังเห็นอีกว่าบนพื้นบางส่วนมีสิ่งปฏิกูลสกปรกอยู่ด้วย ถึงจะไม่ได้เพ่งอย่างพินิจพิเคราะห์ แต่ก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นคือ ปัสสาวะและอุจจาระนั่นเอง

 

 

ประสิทธิภาพของน้ำยาคงจะแรงเสียยิ่งกว่าแรงจริงๆ เพราะแววตาอันแสนโหดเ**้ยมของแพคซอยอนที่มีมาโดยตลอดนั้นได้สลายมลายหายไปในชั่วพริบตา

 

 

“คิมซูฮยอนเองก็มาแล้ว งั้นตอนนี้ลองใช้ยาชนิดที่สองเลยดีไหมนะ”

 

 

ในตอนนั้นเอง วิเวียนที่คอยเฝ้าสังเกตแพคซอยอนอย่างนิ่งเฉยนั้น ได้หยิบน้ำยาสีชมพูที่อยู่ด้านในออกมา น้ำยาสีชมพูนี้คือ ยาที่มีสรรพคุณเรื่องเสียงผสมอยู่นั่นเอง

 

 

หลังจากนั้นวิเวียนจึงเปิดจุกขวดของยาน้ำออก แล้วจับคางของแพคซอยอน บีบบังคับจนสามารถกรอกเข้าไปได้สำเร็จ ซึ่งในระหว่างนั้นเอง อาจเป็นเพราะยังมีสติอยู่บ้างก็ได้ จึงทำให้แพคซอยอนส่ายหัวต่อต้านไปมาเบาๆ แต่นั่นก็เป็นการขัดขืนที่ไร้ซึ่งความหมายใดๆ หล่อนจับลำคอของแพคซอยอนเหมือนอย่างเมื่อวานที่เคยทำ จนในที่สุดผมจึงได้ยินเสียงกลืนของเหลวลงไปในลำคอ

 

 

“อึก แค่ก เฮือก! อ้า…อ๊ะ อ๊ากกก! เจ็บ เจ็บ! อ๊ากกก!”

 

 

แพคซอยอนกลืนของเหลวเข้าไปจนหยดสุดท้าย ส่งเสียงลมหายใจแหบแห้งออกมา พร้อมกับร่างกายที่เริ่มดิ้นทุรนทุราย ประสิทธิภาพน้ำยาของวิเวียนยังไม่ปรากฏออกมาให้เห็น ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งนาที ในการที่ให้น้ำยาแพร่กระจายเข้าไปทั่วทั้งร่างกาย ประสิทธิภาพจึงจะค่อยแสดงผลลัพธ์ออกมา