เล่มที่ 16 ตอนที่ 33

Memorize

วิเวียนอาจจะเลอะน้ำลายอีกฝ่ายมา จึงได้เอามือไปเช็ดๆ ถูๆ ที่เสื้อของแพคซอยอน หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน หันหน้ามาทางผมแล้วพูดออกมาว่า

 

 

“งั้นคิมซูฮยอน จะทำอย่างไรต่อไปล่ะ”

 

 

“หืม? อะไรเหรอ”

 

 

วิเวียนใช้นิ้วชี้ไปยังแพคซอยอนเพื่อตอบคำถามของผม

 

 

“เมื่อวานก็ได้ลิ้มชิมรสไปบ้างแล้ว ฉันคิดว่าจะเริ่มตรวจตราเลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แต่ว่าพอมาดูๆ แล้ว เธอก็หน้าตาสะสวยเอาเรื่องอยู่นะ ไง นายคิดว่าไง”

 

 

 “ไม่ชอบ”

 

 

ผมตอบกลับไปทันทีทันใด แพคซอยอนหน้าตาสวยจริงๆ แม้หล่อนจะสูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่ทว่าทั้งหน้าตาและรูปร่าง เรียกได้ว่าเซ็กซี่พอๆ กับโกยอนจูเลย แต่ผมก็ไม่ได้มีความต้องการอะไรแปลกๆ แบบนี้หรอกนะ

 

 

ดูเหมือนว่าตัวเองจะตอบปฏิเสธอย่างห้วนๆ ไปเสียหน่อย จึงลอบสังเกตสีหน้าของวิเวียน ไม่รู้ว่าทำไมใบหน้าของหล่อนถึงดูอารมณ์ดีอย่างไม่รู้สาเหตุ

 

 

“อ้อ งั้นเหรอ”

 

 

วิเวียนยิ้มแย้มออกมา แล้วพูดต่อด้วยเสียงใสแจ๋วว่า

 

 

“งั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้วน่ะสิ อืม…งั้นช่วยเปิดประตูคุกห้องอื่นให้หน่อยสิ ฉันจะพาไปคุกที่มีพวกเร่ร่อนชายอยู่ เจ้าพวกเร่ร่อนคนนั้นที่ยอมเปลี่ยนใจมาหานายน่ะ”

 

 

หลังจากที่ป้อนยาสีชมพูให้แพคซอยอนกินแล้วนั้น วันเวลาก็ล่วงผ่านเลยไปจนมาถึงขั้นตอนที่สาม นั่นก็คือ การป้อนยาน้ำสีดำ หรือยาแห่งความทุกข์ทรมาน

 

 

คุกใต้ดินยังคงมืดมิดเฉกเช่นเดิม แต่ตอนนี้ผมก็เหยียบย่างเข้ามาด้วยความรู้สึกคุ้นชินเสียแล้ว ผมค่อยๆ เดินข้ามสถานที่ที่เคยเป็นลานฝึกซ้อมในอดีตมาตามปกติ และสถานที่ที่ผมหยุดการเคลื่อนไหวตรงหน้านี้คือ ห้องเก็บของ ด้วยความที่ประตูมันเปิดอยู่แล้ว ผมจึงมองเข้าไปในห้องได้อย่างไม่ขัดเขิน สิ่งที่ทำให้สถานที่นี้แตกต่างไปจากคุกอื่นๆ คือ มีไลท์สโตนเล็กๆ คอยให้แสงสว่างอยู่ในคุกด้วย และในห้อง ณ ขณะนี้ มีลมร้อนแปลกประหลาดบางอย่างกำลังพัดกระหน่ำอยู่

 

 

“อ้าว!”

 

 

“ไม่เป็นไร ทำต่อไปได้”

 

 

แม้จะยกมือบอกว่าไม่เป็นไรไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นพวกเร่ร่อนที่ห้อมล้อมตัวแพคซอยอนอยู่นั้นก็ได้เขยิบออกห่างหล่อนที่อยู่ในสภาพครึ่งนั่งครึ่งยืน ผมเริ่มใช้สายตากวาดมองพวกเขาที่มีเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดวิ่นห่อหุ้มร่างกายอย่างน่าอนาถใจ

 

 

“วิเวียนกลับไปแล้วเหรอ

 

 

“คะ…ครับ วันนี้ท่านเอาอาหารมาให้ แล้วก็มาเฝ้าดูพักหนึ่งน่ะครับ”

 

 

“โอเค ไม่มีอะไรน่ากังวลใช่ไหม”

 

 

“ครับ! อาหารช่วงนี้อร่อยด้วย…แล้วก็ เอ่อ…”

 

 

พวกเร่ร่อนที่ยืนอยู่ใกล้ผมที่สุด เหลือบมองแพคซอยอน หลังจากจึงพูดอย่างระมัดระวังออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

 

 

หากจะให้ว่ากันโดยละเอียดแล้ว ผมไม่ได้ปล่อยให้พวกเร่ร่อนอดตายแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดป้อนข้าวป้อนน้ำอย่างกับเป็นเจ้านายเสียทีเดียว ผมยังให้การดูแลเป็นอย่างดีในฐานะเชลยศึก ยกเว้นเพียงแค่แพคซอยอนกับคนที่หล่อนไว้ใจเพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งทั้งสามคนนี้ก็กำลังถูกบีบบังคับให้รับของเหลวเข้าไปในร่างกายอยู่ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้กะจะให้ถึงขั้นตายแต่อย่างใด

 

 

“คือ…ท่านลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ หากไม่เป็นการเสียมารยาท ผมอยากจะขอถามอะไรสักอย่างจะได้หรือไม่ครับ”

 

 

พวกเร่ร่อนที่เอาแต่ยืนมองอยู่เฉยๆ ในตอนนั้นเริ่มพูดขึ้นมา ผมพยักหน้าเพื่อให้อนุญาตให้เขาพูด เขาคนนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อยว่า

 

 

“ไม่ทราบว่าเรื่องที่ท่านเคยพูดเมื่อคราวก่อนนู้น ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้วครับ…”

 

 

“อ้อ ฉันว่าจะเปิดคำสั่งเกณฑ์ในเร็ววันนี้แหละ การตัดสินคดีก็จะมีขึ้นพร้อมกันในตอนนั้นเลย”

 

 

“ยะ…อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณที่ตอบคำถามให้ครับ”

 

 

“ขอบคุณอะไรกัน อย่างน้อยก็ช่วยรักษาสัญญาเรื่องคำให้การณ์ด้วยก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลถึงส่วนนั้นไปหรอก อย่างไรก็ตามฉันขอให้พวกนายทำตามที่วิเวียนสั่งไปสักระยะหนึ่งก่อน ขอเตือนไว้จะได้ไม่ลืม”

 

 

พวกเร่ร่อนก้มหน้าลง ดูมีสีหน้าลังเลใจว่าจะทำหรือไม่ทำดี ในช่วงแรก ผมได้ใช้ม่านควันอำพรางปิดบังเรื่องที่ไม่สามารถรับรองชีวิตของพวกเขาได้ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเองจะคิดว่านี่เป็นจุดสุดท้ายของชีวิตหรือไม่

 

 

พวกเร่ร่อนเดินทางกลับเข้าไปในคุกของตัวเอง จนไม่หลงเหลือใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว

 

 

วินาทีที่ผมได้ยินเสียงประตูปิดสนิท ผมแตะฝ่ามือที่มีพลังเวทอบอวลอยู่ด้านในเบาๆ และแล้วดวงไฟในห้องเก็บของจึงค่อยพร้อมใจกันส่องแสงสว่างไสวออกมา แสงไฟเหล่านั้นสาดส่องลงมาที่ร่างเปลือยเปล่าของแพคซอยอนที่นอนเหมือนคนตายอยู่บนพื้น

 

 

“แค่ก…อึก…”

 

 

เสียงที่ผมไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นเสียงแห่งความเจ็บปวด หรือเสียงร้องไห้ดังลอดออกมาจากริมฝีปาก

 

 

วิเวียนบอกว่าเดิมทีแล้วประสิทธิภาพในการทำงานของผลอิกดราซิลจะอยู่คงทนถาวร แต่ทว่าในขั้นตอนการปรุงน้ำยานี้ หากทำให้สรรพคุณเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้ามแล้วล่ะก็ ความคงทนถาวรนั้นก็จะหายไป ถึงอย่างนั้นผลจะยังคงอยู่อย่างยาวนาน เพราะฉะนั้นจึงหมายความว่า แพคซอยอนจะสามารถรับรู้อะไรได้อย่างฉับไวมากยิ่งขึ้น ในตอนนี้ ผมทอดสายตามองหล่อนในสภาพเช่นนั้นอยู่พักใหญ่

 

 

คงไม่ได้เจ็บปวดจนถึงขั้นอยากตายหรอกนะ?

 

 

“ฮึก ฮือ ฮือออ”

 

 

ในตอนนั้นเอง เสียงของแพคซอยอนก็ดังขึ้นมาเติบเต็มที่แห่งนี้ขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นแน่นอน หล่อนใช้หลังมืออำพรางดวงตา พร้อมกับส่งเสียงร้องไห้ออกมา

 

 

“…”

 

 

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอันแสนเศร้าโศกนี้ดังไปทั่วใต้ดินอันเงียบสงัด เสียงของหล่อนกำลังทำให้บรรยากาศที่อึมครึมอยู่แล้ว ยิ่งอึมครึมมากขึ้นไปอีก จากที่สลดอยู่แล้ว ยิ่งทวีคูณความเศร้าสลดใจเข้าไปอีก ผมมองแพคซอยอนที่กำลังร้องไห้อยู่อย่างไม่ขาดสายพักใหญ่ หลังจากนั้นจึงหันกาย เดินออกจากห้องเก็บของไปในที่สุด

 

 

ไม่สงสาร และก็ไม่เศร้าด้วย

 

 

ผมรู้สึกถึงความสงบภายในใจผม พร้อมกับค่อยๆ หลับตาลง ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองผมอย่างไร เพราะแม้แต่ผมเองยังไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นคนดีเลย

 

 

ผมคิดแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มนุษย์คือสัตว์ที่ถนัดในการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองมาตั้งนานแล้ว ท่าทีแตกต่างไปตามแต่ละสถานการณ์ ไม่มีความเสมอต้นเสมอปลาย และเป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัวเองมากถึงมากที่สุด

 

 

ผมกอบกุมเป้าหมายนั้นไว้ แล้วจึงได้กลับมาอีกในครั้งที่สอง และเพื่อที่จะให้เป้าหมายนั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้ว ผมจึงตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ปิดกั้นวิธีการหรือกลยุทธ์ใดๆ ทั้งสิ้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เฉกเช่นนี้ แน่นอนว่าคือ ความสงสารอนาถใจ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่อย่างชัดเจนในความทรงจำของผมที่มีต่อรอบที่หนึ่ง

 

 

วันแล้ววันเล่าที่ผมต้องสัมผัสกับมัน ต้องดูแต่มัน แต่ต้องมาเผชิญหน้าแต่กับมัน ความทรงจำ ณ ตอนนั้นที่เสียดแทงเข้ามาในกระดูกดำของผมในตอนนี้ ยังคงมีหลงเหลืออยู่ในห้วงลึกสุดของหัวใจ

 

 

นั่นแหละ มีเพียงแค่สิ่งนั้นเท่านั้น

 

 

 

 

“ซูฮยอน ซูฮยอนรู้ตัวหรือเปล่าเนี่ยว่าฉันเรียกนายตั้งนานแล้ว”

 

 

ในช่วงค่ำ ขณะที่ผมกำลังเดินลงบันไดอันอับแสงอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเง้างอแว่วเข้ามาในหู ผมจึงหันไปด้านขวา แล้วตอบออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่นัก

 

 

“งั้นเหรอครับ”

 

 

“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ ถึงวันนี้จะจู่ๆ ก็มาหา แต่ก็ดีใจไม่หายเลย ว่าแต่ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาสั่งให้เดินตามไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้ล่ะคะ คุณฮายอนเขากำลังเศร้าอยู่เลยนะ”

 

 

“ช่วงนี้ผมยุ่งๆ น่ะครับ”

 

 

โกยอนจูบ่นเหมือนแม่ผมไม่มีผิด แต่พอผมพูดคำว่ายุ่งออกไป หล่อนจึงรีบปิดปากฉับในทันที ความจริงหล่อนก็เฝ้าจับตามองผมแต่ภายนอกอยู่เช่นนั้น ว่าช่วงที่ผ่านมาผมเป็นอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้นผมจึงไม่มีอะไรจะต้องบอกอีก

 

 

โกยอนจูเบะปาก ทำสีหน้าบูดบึ้ง สงสัยจะไม่พอใจที่ไม่ได้ยินคำพูดหวาน ๆ ออกมาจากปากผม ผมรู้ดีว่าหล่อนต้องการคำพูดแบบไหน แต่ตอนนี้ผมยังอยากเก็บคำๆ นั้นเอาไว้เสียก่อน เพราะว่าวินาทีสำคัญกำลังอยู่ตรงหน้าผม ณ ขณะนี้แล้ว

 

 

พวกเราเดินมาถึงล็อบบี้แล้วจึงเดินไปในทางเดินอาคารด้านข้างที่ปลอดโปร่ง ไร้ซึ่งผู้คนสัญจร จนในที่สุดก็มาถึงบันไดที่จะใช้ลงไปใต้ดิน ผมจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบเดินลงบันไดไปทันที แล้วทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโกยอนจูที่ดูจะเคร่งขรึมกว่าเมื่อครู่นี้พูดออกมา

 

 

“ซูฮยอน คุณรู้หรือเปล่าว่าคำสั่งเกณฑ์ที่จะจัดขึ้นอีกสามวันต่อจากนี้ เขาเก็บเป็นความลับกันน่ะ?”

 

 

“รู้ครับ”

 

 

“งั้นพวกเร่ร่อนล่ะ จะทำอย่างไรดีคะ”

 

 

“นั่นสิครับ วันนี้ต้องไปดูก่อน ถึงจะทราบได้”

 

 

โกยอนจูดูมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่พักหนึ่ง เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก หลังจากนั้นจึงค่อยเปล่งคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย

 

 

“สงสัยต้องเตรียมดวงตาแห่งการล่อลวงอีกแล้วสิคะเนี่ย”

 

 

โกยอนจูสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้สมกับเป็นหล่อนจริง ๆ ผมพยักหน้าให้หนึ่งครั้ง แล้วจึงมาหยุดอยู่ที่หน้าคุกใต้ดินที่มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ประตูไม่ได้เปิดไว้ ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน แล้วจึงออกแรงเคาะประตูสามครั้งให้ดังพอที่คนข้างในจะได้ยินเสียงนี้

 

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

 

“เอ๋? มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่เข้าไปล่ะคะ”

 

 

ตึง!

 

 

โกยอนจูเอียงคอถามออกมาด้วยความสงสัย และในตอนนั้นเอง ผมรู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของพลังเวทรุนแรงภายในห้อง อย่างไรก็ตามการที่จะให้วงเวทของวิเวียนสามารถขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างสมบูรณ์พร้อมที่สุดนั้น ต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย ดูท่าแล้วหล่อนคงรู้เท่าทันถึงอะไรบางอย่างอยู่บ้าง แต่ทว่าผมก็ตั้งใจจะอธิบายเพิ่มเติมอีกสักหน่อย

 

 

“โกยอนจู วันนี้ผมคิดว่าจะให้แพคซอยอนได้เจอกับไม้เด็ดน่ะครับ”

 

 

“ไม้เด็ดเหรอ…ค่ะ”