เล่มที่ 17 ตอนที่ 1

Memorize

“ผมได้เตรียมการแสดงที่เหมาะสมไว้ให้เขาอย่างหนึ่งแล้วครับ แน่นอนว่าโกยอนจูไม่ต้องเข้าไปก้ได้ แต่ช่วยรออยู่ที่นี่หน่อยนะครับ เมื่อผมพาแพคซอยอนมา คุณค่อยใช้ดวงตาแห่งการล่อลวงในตอนนั้นก็ยังได้” 

 

“อืม…ถึงจะยังจับความรู้สึกไม่ได้ แต่ถ้าหากลองเปิดดูก็คงจะเข้าใจสินะคะ เข้าใจแล้วค่ะ” 

 

ผมปลุกพลังเวทหลังจากได้ฟังคำตอบที่แสนสดชื่นจากโกยอนจู ดูเธอจะรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ภายในแล้ว จากนั้นประตูก็เปิดอ้าออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นภายในที่สว่างไสวจนแสบตาด้วยไลท์สโตนที่ได้เปิดไว้ทุกดวง ต่างกับก่อนหน้านี้ 

 

หากคนที่ไม่รู้สถานการณ์ภายในคุกใต้ดินมาเห็นเข้าก็คงดูเป็นภาพที่น่าขันมากทีเดียว ที่พื้นมีรอยเวทมนตร์วาดเอาไว้ใหญ่โต มีแสงสีเขียวนวลลอยวนอยู่ เหนือรอยเวทนี้ขึ้นไปสามารถมองเห็นพวกเร่ร่อนกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ประตูคุกที่เคยถูกปิดอย่างแน่นหนา บัดนี้ถูกเปิดไว้ราวกับกำลังถามว่าจะเข้าไปเมื่อไร 

 

ผมปะทะสายตากับวิเวียนที่ยืนอยู่อีกด้าน เธอพยักหน้าเงียบๆ ทั้งที่ยังเล็งออร์โดไปที่พื้น บ่งบอกว่าเรื่องทุกอย่างได้จบลงแล้ว 

 

ผมขยับไปข้างในหนึ่งก้าว แล้วเริ่มเดินไปยังเบื้องหน้าขณะที่กำลังรับพลังเวทที่ไหลเข้ามาภายในร่างกาย ปลายทางคือศูนย์กลางรอยเวทที่มีแพคซอยอนล้มเจ็บอยู่ 

 

ทันทีที่ไปถึงยังใจกลางเวท ผมมองเห็นแพคซอยอนที่นอนเจ็บราวกับว่าหล่อนนั้นได้จากไปแล้ว 

 

ผมค่อยๆ หมุนตัวหล่อนแล้วเขย่าตัวปลุกขึ้นมา 

 

“อือ…ฮะ…อือ ฮือออ!” 

 

แพคซอยอนค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงที่ออกจะติดแหบ หล่อนขยับตัวโดยอัตโนมัติ และเอาแต่กะพริบตาเพราะแสบตาจากแสงที่มองเห็นมาสักพัก ผมกอดหล่อนไว้นิ่งๆ หลังจากคลุมตัวหล่อนด้วยเสื้อคลุมที่ได้เตรียมไว้ก่อนแล้ว ผมจับใบหน้าแพคซอยอนให้เงยขึ้นมองตรงมาที่ผม 

 

ภายในตาของแพคซอยอนที่มองมา มีความรู้สึกทั้งผิดหวังและสูญเสียแฝงอยู่ ผมรู้สึกเหมือนกำลังจ้องตากับคนตาย แต่นั่นก็เป็นเพียงครู่เดียวเท่านั้นดวงตาของเธอเบิกโตขึ้นในชั่วพริบตา ปากก็เปิดออกในเวลาเดียวกัน หล่อนเริ่มมองมาที่ผมอย่างเหม่อลอย 

 

ผ่านไปเช่นนั้นราวสามสิบวินาทีได้ไหมนะ น้ำเสียงอันแผ่วเบาจึงได้แว่วออกมาจากลำคอของแพคซอยอน 

 

“ฮยอน…?” 

 

“…” 

 

“ฮะ ฮยอน? นายใช่ไหม หืม? ฮยอนใช่หรือเปล่า” 

 

ดวงตาของแพคซอยอนยังคงพร่ามัวอยู่ แต่แม้จะยังอ่อนแออยู่มาก ก็ยังสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างช้าๆ จนถึงตอนนี้ แม้ว่าจะยังรู้สึกแย่อยู่ แต่แสงแห่งความรู้สึกที่เล็ดลอดออกมาก็ทำให้หล่อนเอ่ยความหวังที่นายตัวมีออกมา  

 

“เป็นไปได้ยังไง…นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ทำไมนายถึงได้…” 

 

“…” 

 

“ทำไมไม่ยอมตอบอะไรเลยล่ะ ฮยอน? ฮยอน…” 

 

แพคซอยอนยกมือมาจับหน้าผมอย่างอ่อนแรง แล้วจู่ๆ น้ำเสียงเธอก็กลับขุ่นมัว จากนั้นจึงเลื่อนสายตาลงมายังอกของผม ผมยังคอยสังเกตสีหน้าของเธอต่อไป ทั้งที่ยังเอามือปิดอกไว้ 

 

ในตอนนั้นแพคซอยอนกำลังจะดื่มน้ำยาสีม่วงอมแดง ซึ่งทำให้ความสามารถในการวินิจฉัยและความใส่ใจลดลงอย่างรวดเร็วเป็นขั้นสุดท้าย ด้านวิเวียนก็กำลังร่ายเวทอยู่ 

 

ทักษะของวิเวียนยังไม่สมบูรณ์แบบนัก จึงต้องทำเหมือนเล่นละครอยู่แบบนี้ แต่อย่างไรก็ตามเพราะมันเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดตามที่มาร์โวลโลบอก จึงมีแนวโน้มที่จะทนได้ประมาณหนึ่งครั้ง 

 

แพคซอยอนยังไม่อาจละสายตาไปจากอกของผมได้ หล่อนปัดมือผมออกด้วยแขนที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวอย่างยากลำบาก แน่นอนว่าผมเองก็ตั้งใจลดมือลงให้ ผมสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด หล่อนเลื่อนสายตาขึ้นมามองผมด้วยแววตาที่สั่นไหว 

 

“ทำไมถึงได้บาดเจ็บมากขนาดนี้” 

 

“…” 

 

“หรือว่า…เจ็บเพราะฉันงั้นเหรอ เพื่อที่จะช่วยชีวิตฉัน…” 

 

ตอนนี้แพคซอยอนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แม้จะยังสงสัยอยู่มากก็ตามที แต่เพราะตอนนี้ผมต้องทำตัวตามน้ำให้เข้ากับสถานการณ์ไปก่อน จึงพยักหน้าไปครั้งหนึ่ง 

 

“ขะ ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ เพราะฉันดึงดันเอง นายพูดถูก ฉันไม่ควรเป็นผู้บังคับบัญชาเลย…” 

 

ผมส่ายหัวไปมาช้าๆ 

 

“แต่ว่าทำไมถึงไม่พูดอะไรตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แล้วมาที่นี่ได้ยังไง…ที่นี่น่ะ…” 

 

ฮยอนงั้นเหรอ ดูเหมือนว่าพวกเร่ร่อนจะพูดถูกสินะ 

 

ผมเริ่มเข้าใจทุกอย่างทีละน้อย ขณะที่เริ่มพาแพคซอยอนเดินออกนอกประตู หากหลังจากนี้หล่อนเกิดรู้ทันขึ้นมาล่ะ สิ่งที่พากเพียรเตรียมมาคงหวนคืนสู่ความว่างเปล่า แม้ว่าสิ่งนี้จะมีผลเสียอยู่พอควรก็ตาม 

 

 

 

ถึงแพคซอยอนจะเดินด้วยความลังเลในตอนแรก แต่ไม่นานหล่อนก็เริ่มเชื่อใจและเดินมาข้างๆ ผมทีละก้าว ทีละก้าว หล่อนยังมองผมด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยเชื่อใจผมสักเท่าไร แล้วจึงกวาดสายตามองไปรอบตัวช้าๆ 

 

เดินอยู่เช่นนั้นประมาณสิบก้าวได้ แพคซอยอนก็ได้พบกับอะไรบางอย่าง และเหมือนจะได้ยินเสียงบ่นพึมพำ หล่อนจึงมองลงไปที่พื้นด้านล่างทันที แล้วสายตาของหล่อนก็หยุดอยู่ที่พวกเร่ร่อนกองกันอยู่ 

 

“นายโง่พวกนี้ ฉันเคยบอกว่าไม่ให้แกล้งตายแบบนั้นแล้วแท้ๆ สุดท้ายก็ได้ตายจริงสินะ ไอ้พวกขอทานเอ๊ย!” 

 

สุดท้ายก็ตายอย่างนั้นเหรอ 

 

“อ๊ะ ฮยอน! นี่ รอเดี๋ยวสิ!” 

 

“…?” 

 

“แฮอินกับกาอินอาจจะถูกขังไว้ที่นี่ก็ได้ เอ่อ นายรู้อยู่แล้วใช่ไหม หรือว่านายไม่ได้เจอกับเจ้าพวกนั้น?” 

 

ตอนนี้แม้จะเป็นน้ำเสียงที่รู้สึกได้ถึงความเศร้าโศก แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ผมสนใจเพียงจะพาแพคซอยอนไปที่ประตูเท่านั้น ระยะห่างกับประตูก็ค่อยๆ ลดลงทุกทีแล้ว 

 

“ฮยอน? ฮยอน! ทำไมถึงไม่ได้เจอสองคนนั้นล่ะ พวกเขาตายไปแล้วเหรอ ตอบฉันทีเถอะ แฮอินกับกาอิน…” 

 

ผมส่ายหัวไปมาอีกครั้ง แพคซอยอนหยุดส่งเสียงดังแล้วมองเข้าไปที่คุกอย่างเหม่อลอย 

 

“ตาย…แล้วเหรอ” 

 

ผมหยุดอยู่หน้าประตูแล้วหันหลังกลับมามองข้างในอีกครั้ง และหลังจากที่แน่ใจแล้วว่ารอยเวทสีเขียวอ่อนที่เคยเปล่งแสงสว่างไสวค่อยๆ หายไปช้าๆ จึงได้เปล่งเสียงออกมาเป็นครั้งแรก 

 

“ยังไม่ตายหรอก” 

 

“หืม? ยังไม่ตายเหรอ ถ้าอย่างนั้น ทำไม…ถึงไม่มาด้วยกันล่ะ” 

 

แพคซอยอนที่ยังดูมึนเมาเพราะเวทและน้ำยาส่งสายตาที่แสดงออกซึ่งความสงสัยมาให้ 

 

ผมไม่ได้ตอบอะไรอีก ทำเพียงแค่ประกบฝ่ามือเบาๆ พร้อมกับใส่พลังเวทลงไปแทน ทันใดนั้นไลท์สโตนที่เคยส่องแสงเจิดจ้าก็ดับลงในชั่วพริบตา แสงสว่างและความมืดมิดตัดผ่านกันในพริบตาเดียว ผมปรบมือเพียงแค่ครั้งเดียว คุกใต้ดินก็กลับคืนสู่สภาพหนาวเหน็บเปล่าเปลี่ยวดังเดิม 

 

พวกเร่ร่อนที่ล้มกองกันอยู่บนรอยเวทก็เริ่มฟื้นคืนมาทีละคน ทีละคน 

 

“อะ อะไรกัน ฮยอน? ฮยอน! ทำไมจู่ๆ พวกที่ตายไปแล้วถึงได้…!” 

 

แพคซอยอนกรีดร้องออกมา ดูคล้ายว่าหล่อนยังไม่สามารถข้ามผ่านเส้นแบ่งระหว่างความเพ้อฝันและความเป็นจริงมาได้ หล่อนกอดผมแน่นยิ่งขึ้นขณะที่กรีดร้องออกมา รอยเวทนั้นได้ดับลงไปแล้ว ผมตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับหล่อนในตอนนี้เสียที 

 

“ชื่อของฉันคือ ซูฮยอน อย่าเรียกชื่อฉันด้วยคำพยางค์เดียวตามอำเภอใจอีก” 

 

“อ๊ะ…?” 

 

ตอนนั้นเอง หล่อนคงรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกไป แพคซอยอนค่อยๆ หันมามองผมช้าๆ ช้ามากจริงๆ 

 

“ฮยอน?” 

 

และในวินาทีที่เธอมองหน้าผม เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวังที่เคยเรียกหาฮยอนก็กลับเหือดแห้งไปในทันที 

 

“ฮยอน…?” 

 

แสงที่เคยสาดส่องรอยเวทในตอนนี้ได้สลายหายไปหมดแล้ว สายตาของแพคซอยอนมองพินิจใบหน้าของผม ผมจะบรรยายใบหน้าหล่อนตอนนี้ว่าอย่างไรดี แขนที่เคยยกขึ้นกอดผมไว้เมื่อสักครู่ ค่อยๆ ตกลงไปช้าๆ 

 

แพคซอยอนถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยความลังเล สิ่งเดียวที่ยังคงชัดเจนก็คือ แสงแห่งความหวังที่รินไหลออกมาจากดวงตาของหล่อน ราวกับจะบอกว่า ‘ไม่สิ มันต้องไม่มีเรื่องแบบนี้สิ’… 

 

หลังจากผ่านความเงียบชั่วครู่ ริมฝีปากของแพคซอยอนก็เปิดออก 

 

“นะ นายเป็นใครกันแน่”  

 

“ไม่รู้สิ เธอคิดว่าใครล่ะ” 

 

ผมยักไหล่แล้วตอบไปอย่างไร้ยางอาย แพคซอยอนตกอยู่ในความสับสน หล่อนมองหน้าผมแล้วหันหลังกลับโดยไว พวกเร่ร่อนยืนกระจุกอยู่ในคุกใต้ดินเหมือนเมื่อวาน 

 

แพคซอยอนมีสีหน้าแบบที่ไม่รู้ว่าต้องไปทางใดกันแน่ เท้าของหล่อนที่เคยก้าวถอยหลังอย่างลังเลกลับหันไปมาอยู่ชั่วขณะ หลังจากนั้นเสียงล้มที่น่าหดหู่ก็ดังสะเทือนใต้ดินอันเงียบสงบ 

 

แม้แพคซอยอนจะพยายามยืนขึ้นด้วยสภาพเช่นนั้น แต่หล่อนก็เคยเป็นหญิงสาวที่เคยเดินมาทางผมด้วยความเชื่อใจ ไม่สิ ในตอนนี้ การยอมรับสถานการณ์ปัจจุบันดูจะเป็นเรื่องยาก ด้านหลังพวกเร่ร่อนเองก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แพคซอยอนยันพื้นไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งและขาทั้งสองข้าง สุดท้ายจึงเปล่งเสียงคล้ายกำลังร่ำไห้ 

 

“ยะ อย่าเข้ามา!” 

 

ถึงหล่อนจะพูดอย่างนั้น แต่ผมก็ยังขยับเฉันไป ใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยวางใจกลับเริ่มบิดเบี้ยวราวกับว่าได้รับรู้ความจริงแล้ว หยาดหยดแห่งความหวังที่เคยเบ่งบานกลับกลายเป็นน้ำตาและกำลังไหลรินลงมาโดยที่หล่อนไม่รู้ตัว 

 

“ไม่ ไม่สิ ไม่ใช่แบบนี้สิ ฮยอนไม่ใช่เหรอ หรือว่าฉันมองผิดไป” 

 

“ฮยอนงั้นเหรอ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันชื่อซูฮยอน ลองมาคิดๆ ดูแล้ว เธอเรียกฉันว่าฮยอนมาตั้งแต่เมื่อครู่นี่แล้ว หมอนั่นเป็นใครกันแน่ ดูเธอจะร้อนใจเหลือเกินนะ…” 

 

“ว่ายังไงนะ…” 

 

เสียงของแพคซอยอนติดขัด ผมเห็นหล่อนหลับตาเสียสนิท ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนจะคิดว่าตอนนี้เป็นความฝันหรือเปล่า