บทที่ 688 ท่านอ๋องปกป้องข้อบกพร่อง

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 686 ท่านอ๋องปกป้องข้อบกพร่อง
เวยฉือหน้าตาประหลาดใจ: “พระชายาเย่จะไปจับกุมคนที่จวนอาลักษณ์อาวุโสเป็นการไม่สมควรกระมัง อาลักษณ์อาวุโสอยู่ในวัยแก่ชราแล้วไม่ต้องกล่าวถึงอายุปูนนี้ของเขาแม้ว่าจะเป็นไทเฮาก็ต้องไว้หน้าอยู่บ้าง ยิ่งกว่านั้นในขณะที่อดีตจักรพรรดิยังทรงมีพระชนม์อยู่ก็ทรงพอพระทัยยิ่งนักด้วยและทรงเคยพระราชทานมิใช่เพียงแค่ครั้งเดียว”

เวยฉือรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง หากว่าจับกุมมาเช่นนี้เขาต้องแบกรับผลที่ตามมา ตำแหน่งขุนนางของเขาไปจับกุมบุตรชายของรองเสนาบดีขั้นหนึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใด

ที่สำคัญคือไม่มีความผิดก็ไปจับกุมเช่นนี้ก็มิควร

ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่ในคุกที่สำคัญของที่ทำการปกครองเมืองไม่ยอมไปและหวาชิงนั่งอยู่ตรงฝั่งหนึ่ง เวยฉือไม่สามารถทำให้พวกนางขุ่นเคืองใจได้จึงทำได้เพียงก้มหน้าพูดจาด้วยเหตุผลกับพวกนางอย่างยากลำบาก

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “เรื่องนี้จัดการได้ง่าย เจ้าหาคนล่อโจวไท่ออกมา หลังจากที่เขาออกมาแล้วเจ้าก็เรียกชื่อคนสักผู้หนึ่งตามแต่ใจเพียงแค่ไม่ใช่โจวไท่ก็พอ จับกุมตัวมาแล้วก็จะคิดซะว่าเป็นผู้อื่น ข้าจัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าก็กุมขังเขาเอาไว้ หากว่ามีผู้ใดตามหาก็ให้พวกเขาพิสูจน์ตัวตนของโจวไท่ พิสูจน์ได้แล้วก็ปล่อยคนและหากว่าไม่มีผู้ใดพิสูจน์ก็ช่างเถอะกุมขังเอาไว้เป็นพอ”

เวยฉือเหงื่อแตกเลยจึงได้จับแขนเสื้อมาเช็ดเหงื่อแล้วเงยหน้าขึ้นถามฉีเฟยอวิ๋น: “ขอถามพระชายาเย่ว่าโจวไท่ผู้นี้ทำให้พระชายาเย่ขุ่นเคืองที่ใดกันพระชายาเย่ถึงต้องทำกับเขาเช่นนี้?

เท่าที่ข้ากระหม่อมทราบแม้ว่าโจวไท่ผู้นี้จะไม่ใช่คนดีแต่เขาก็ไม่ใช่คนชั่วช้าเลวทราม แต่กลับเคยได้ยินมาว่าเขาชอบรังแกผู้คนและเป็นสิ่งของอันน่าเวียนศีรษะ แต่ว่าพ่อบ้านที่เรือนก็นับว่าเข้มงวดดังนั้นจึงไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่หลวงอันใด”

“เขาทำสิ่งใดข้าหลวงประจำเมืองเวยไม่จำเป็นต้องรู้ เกรงว่าข้าหลวงประจำเมืองเวยได้ยินแล้วจะเสียใจในภายหลัง ข้าหลวงประจำเมืองเวยกระทำการณ์ไปเลยหากเกิดเรื่องใดขึ้นข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง”

“เรื่องนี้…..” หน้าตาเวยฉือวิตกกังวล เงยหน้าขึ้นเหลือบมองอาอวี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูที่ทำการปกครองเมือง

เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ง่าย หากว่าง่ายดายและเปิดเผยตรงไปตรงมาเหตุใดจวนอ๋องเย่ถึงไม่ไปจับกุมคนแต่เป็นที่นี่ของเขาไปจับกุม?

แต่ว่าไม่จับกุมก็ไม่สมเหตุสมผล

“ก็ได้ เช่นนั้นข้ากระหม่อมจะไปจับกุมคนในตอนนี้” เวยฉือหันหลังไปจับกุมคน แต่ก่อนที่เขาจะจับกุมคนก็ได้เกิดความคิดหนึ่ง

ชื่อเสียงของพระชายาเย่ในเมืองหลวงนั้นได้เอ่ยถึงด้านไม่ดีและอาจทำให้เป็นบ้าไปได้

ก่อนไปจวนอาลักษณ์ราชสำนักโจวเวยฉือไปจวนอ๋องเย่รอบหนึ่ง จับกุมตัวคนนั้นไม่ได้รีบร้อนเขาจึงไปแจ้งอ๋องเย่ซะก่อน

ทันหนานกงเย่กลับมา เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเวยฉือยืนรออยู่ตรงหน้าประตูจวนอ๋องเย่พร้อมกับพ่อบ้านอาวุโสซึ่งอยู่กับเขา

หนานกงเย่หยุดแล้วถามว่า: “เกิดสิ่งใดขึ้น?”

ข้ากระหม่อมคารวะอ๋องเย่” เวยฉือกุมกำปั้น

หนานกงเย่ยืนมือไขว้หลังและมองดูด้วยสายตาเพิกเฉย: “มีสิ่งใดก็ว่ามา ข้ายังมีเรื่องที่จะต้องไปดูพระชายาด้วย”

“เอ่อ……คือว่า? ท่านอ๋อง พระชายาอยู่ที่ที่ทำการปกครองเมืองของข้าขอรับ” เวยฉือคิดว่าเป็นการดีที่จะไม่รับรู้

หนานกงเย่แววตาขึงขังและน้ำเสียงก็เย็นชาในทันที: “เวยฉือช่างกล้านัก เจ้ากล้าจับพระชายาของข้าไป เจ้าช่างใจกล้าบ้าบิ่น เจ้าถามข้าแล้วหรือยัง?”

เวยฉือตกใจจนเกือบจะคุกเข่าลงแล้วรีบกล่าวว่า: “ท่านอ๋อง ข้ากระหม่อมไม่กล้า ข้ากระหม่อมได้รับคำสั่งจากพระชายาเย่ให้ไปจับกุมคนดังนั้นจึงตั้งใจมาเรียนท่านอ๋องสักคำ”

“โอ้!” ได้ยินว่าไม่ใช่ถูกจับกุมตัวไปหนานกงเย่ก็กล่าวโอ้คำหนึ่งเบาๆ

เวยฉือเหงื่อแตกเลย นี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋องหรือ?

แต่ก็ไม่เหมือนนะ!

เวยฉือกล่าวอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า: “ท่านอ๋อง พระชายาให้ข้ากระหม่อมไปยังเรือนอาลักษณ์อาวุโสจวนของโจวอี้เหรินเพื่อจับกุมหลานชายของเขาโจวไท่”

หนานกงเย่ครุ่นคิด: “เช่นนั้นกำลังคนของเจ้าไม่เพียงพอหรือว่าหาโจวอี้เหรินไม่เจอ?”

เวยฉือตกใจแล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเย่: “อ๋องเย่ อาลักษณ์อาวุโสอยู่ในวัยแก่ชราแล้วหากว่าทำให้ตระหนกตกใจคิดว่าไม่เหมาะ ยิ่งกว่านั้นบุตรชายของเขาโจวก่วงเหิงเป็นรองเสนาบดีกรมกลาโหมระดับสูงขั้นหนึ่งและยังเป็นผู้ที่ท่านอ๋องเสนอขี้นเอง”

“ความหมายของข้าหลวงประจำเมืองเวยคือผู้ที่ข้าเสนอสามารถรังแกพระชายาของข้าได้หรือ?” หนานกงเย่รู้สึกไม่พอใจกับความคิดของเวยฉือยิ่งนัก

เวยฉือไม่กล่าวสิ่งใดอีก ดูเหมือนว่าคู่สามีภรรยาได้คุยกันเรียบร้อยแล้วเช่นนั้นเขาก็ไปจับกุม

“ท่านอ๋อง เช่นนั้นข้ากระหม่อมไปจับกุมคนแล้ว”

กล่าวจบเวยฉือก็จากไป

เวยฉือจากไปแล้วหนานกงเย่ก็ไปยังคุกสถานที่สำคัญนั้น

เมื่อถึงที่นั่นก็เห็นม้าสองสามตัวตรงทางเข้าที่ทำการปกครองเมือง หนึ่งในนั้นเป็นของหวาชิงและอีกสองตัวเป็นของจวนอ๋องเย่

หนานกงเย่ก้าวเข้าประตูไปก็เห็นฉีเฟยอวิ๋นกำลังหลับตาพักสมองรอโจวไท่

ได้ยินเสียงฝีเท้าฉีเฟยอวิ๋นก็ลืมตามองไปทางหน้าประตู เมื่อครู่ในสมองพลิกฟ้าพลิกฝนไปมาหวนนึกถึงเรื่องราวมากมาย ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับช่วงวัยเด็กของเจ้าของร่างเดิม

ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้รู้ว่าไม่เพียงแต่ผู้คนภายนอกที่รังแกเจ้าของร่างเดิมแม้แต่คนในจวนแม่ทัพก็ยังรังแกเจ้าของร่างเดิมด้วย

และด้วยเหตุนี้นั้นถูกแม่ทัพฉีสังเกตจึงได้ทุบตีผู้ที่รังแกเจ้าของร่างเดิมอย่างรุนแรง ในเมืองหลวงก็ได้มีข่าวลือกล่าวถึงความโปรดปรานเกินควรของแม่ทัพฉีออกมา

เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นซีดเซียว แววตาของหนานกงเย่ก็หมองลง

เขาไม่เห็นว่าหวาชิงนั้นก็อยู่จึงได้เดินไปเลยโดยตรง เดินขึ้นบันไดไปยังบนแท่นจากนั้นบีบคางของฉีเฟยอวิ๋นแล้วถามว่า: “สีหน้าไม่ดีเป็นอันใดหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ: “รู้สึกอัดอั้นในอกเล็กน้อย มีคำพูดบางอย่างที่กล่าวลำบากรอตอนค่ำค่อยบอกท่านอ๋อง”

“อืม”

หนานกงเย่กุมมือฉีเฟยอวิ๋นและพบว่ามือของนางก็เย็นเฉียบเช่นกันจึงได้เป็นกังวลอยู่บ้าง

“ตกใจกลัวแล้วใช่หรือไม่?” ตอนนี้หนานกงเย่ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเพียงแค่คิดถึงเรื่องที่ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะถูกม้าเหยียบตาย หากว่าถูกม้าเหยียบตายจริงๆเขาก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะแต่กลับแปลกใจ: “ท่านอ๋องมาได้เช่นไร อาอวี่รายงานท่านอ๋องหรือ?”

อาอวี่มีวิธีที่จะรายงานหนานกงเย่โดยไม่ต้องออกหน้าซึ่งฉีเฟยอวิ๋นนั้นรู้อยู่แล้ว

หนานกงเย่ถึงได้บอกว่าเวยฉือเป็นผู้ที่เรียกเขาไป

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน: “เวยฉือผู้นี้ ข้าไม่ได้กระทำสิ่งใดที่ไม่ดีทำเขาตกใจกลัวซะ ข้าว่าข้าหลวงประจำเมืองผู้นี้……”

คำพูดมาถึงตรงปากรู้สึกว่าไม่เหมาะสมฉีเฟยอวิ๋นจึงได้กลืนมันกลับไป

นางเป็นสตรีไม่ใช่แม่ทัพและปกติเมืองต้าเหลียงนั้นกล่าวเสมอว่าสตรีออกเรือนแล้วไม่ก้าวก่ายงานราชการไม่สะดวกที่นางจะกล่าวต่อ

หนานกงเย่กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้: “ยุ่งเรื่องอื่นให้มันน้อยๆเจ้าดูตนเองซะก่อน”

หนานกงเย่ยิ่งอยู่ยื่งรู้สึกว่ามือของฉีเฟยอวิ๋นนั้นเย็นเฉียบรวมทั้งใบหน้าก็ย่ำแย่ และก็ไม่รู้ว่านางเป็นอันใด ก็เพราะไม่รู้เขาถึงได้เป็นกังวล

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าเอนหลังพิงบนเก้าอี้ หนานกงเย่ยืนอยู่ฝั่งหนึ่งแล้วกุมมือของฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้แน่นเพื่อรอให้โจวไท่ผู้สมควรตายมา

หากว่ามาเร็วหน่อยก็สามารถกลับจวนเร็วหน่อย แต่ไม่มาสักที รอมาแล้วจะเฉือนเขาให้เป็นชิ้นๆ

ฉีเฟยอวิ๋นหลับตาลง ในสมองพลิกไปพลิกมาเป็นความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมทั้งสิ้น

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยรู้มาก่อนว่าในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมีเรื่องราวมากมายเช่นนี้ซึ่งตอนนี้กำลังหลั่งไหลเข้ามาพร้อมๆกัน นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยทำให้ใบหน้าซีดเซียวเนื่องจากสมองของนางรับมากจนเกินไป

มือและเท้าเย็นเฉียบเนื่องจากกำลังโกรธ

ท่านพ่อของเจ้าของร่างเดิมไปสู้รบก็เพื่อราษฎร แต่นางถูกผู้อื่นดูถูกและถูกผู้อื่นรังแกตั้งแต่เด็กแล้วจะไม่ให้โกรธได้เช่นไร?

หนานกงเย่จ้องไปยังฉีเฟยอวิ๋น รู้ว่าร่างกายของนางนั้นพิเศษแต่เหตุการณ์ในวันนี้ค่อนข้างแปลก เขาเป็นห่วงและก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น

มีคนส่งเสียงดังตรงหน้าประตูฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ลืมตาขึ้นแล้วมองไป เห็นเพียงชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีถูกกุมตัวมา

บทที่ 687 รบกวนระบบ