องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 687 รบกวนระบบ
โจวไท่แต่งกายอย่างงดงามและดูโดดเด่นยิ่งกว่าหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นสังเกตอย่างละเอียดและเห็นว่าเสื้อผ้านั้นเป็นเสื้อผ้าจากร้านเสื้อผ้าทั้งสามของพวกเขา นั่นก็คือเขาเป็นลูกค้าคนหนึ่ง
ลูกค้าคือพระเจ้า นั่นแปลว่าจะต้องมีผลพลอยได้จากพระเจ้า
เมื่อเข้ามาข้างในโจวไท่ก็ด่าทอทันทีว่า “ใครที่มันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่จึงกล้ามาจับข้า ข้าเป็นถึงหลานแท้ๆ ของอาลักษณ์อาวุโสโจว ไม่อยากมีชีวิตแล้วรึ!”
เวยฉือเกลียดเจ้าหนุ่มนี่เข้ากระดูกดำ ตอนที่เข้าจับกุมมีอยู่สี่ห้าคนที่จับไม่ได้ ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะเป็นคนที่มีพละกำลังมหาศาล
เพื่อหลบหนีเขาได้เคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่จนเกือบจะกระแทกใส่เขา ในตอนนั้นเขารายงานว่าตระกูลของเขาคือข้าหลวงประจำเมืองหลวง แต่กลายเป็นว่าเจ้าคนเลวผู้นี้ไม่นึกกลัวเกรงเลย ทั้งยังตะโกนว่าที่ถูกตีแตกคือเจ้า เวยฉือจะไม่โกรธได้อย่างไร
เวยฉือที่อยู่ด้านหลังออกแรงถีบที่ขา โจวไท่ที่ยืนไม่มั่นคงล้มลงไปคุกเข่าเสียงดังปึก คนที่อยู่สองฝั่งต่างถือไม้กระบองเอาไว้และฟาดลงไปก่อนสองสามทีเพื่อระบายความโกรธของผู้เป็นนาย
เวยฉือเดินไปรายงานให้ฉีเฟยอวิ๋นทราบ “เรียนพระชายาเย่ โจวอวิ๋นหลงถูกนำตัวมาขอรับ”
เวยฉือบอกว่าจับมาผิดคน มันจะเป็นอย่างไรได้อีก
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมอง ยังไม่ทันที่นางจะพูดอะไร โจวไท่ที่อยู่บนพื้นก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขามองด้วยดวงตาเป็นประกายกร้าวราวกับเสือดาวที่พ่นเปลวไฟออกมา
“ฉีเฟยอวิ๋น นั่นท่านหรือ”
หนานกงเย่กระชับมือแน่น แววตาของเขาหรี่แสงลงและสีหนาก็เย็นชาขึ้นทันควัน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รอให้หนานกงเย่พูดอะไรและดึงมือของหนานกงเย่ไว้ แม้ว่าหนานกงเย่จะไม่พูดอะไร แต่สายตาที่มองโจวไท่กลับคมกริบราวกับคมมีด
ฉีเฟยอวิ๋นฉีกยิ้มหวาน “ใช่แล้ว ข้าเอง ท่านก็มีวันนี้ด้วยหรือ”
“ฉีเฟยอวิ๋น ท่านจงใจจับข้างั้นหรือ” โจวไท่จ้องฉีเฟยอวิ๋นเขม็ง เขาโกรธและคิดจะลุกขึ้นยืน ทว่าคนที่ถือกระบองอยู่ข้างหลังทำให้เขาล้มไปหมอบอยู่บนพื้น
ฉีเฟยอวิ๋นเยือกเย็นขึ้น และจิตสังหารก็ปรากฏขึ้นในแววตาของนาง
โจวไท่กัดฟันกรอด “ฉีเฟยอวิ๋น ตอนนั้นท่านใช้หินทุบหัวข้า ทำร้ายจนข้าแทบตายและลุกจากเตียงไม่ได้เป็นเดือน ตอนนี้ที่หัวยังมีรอยแผลเป็นให้เห็น ข้าไม่ได้ตามหาท่าน แต่กลับเป็นท่านที่ตามหาข้าจนเจอ”
การที่โจวไท่พูดออกมาด้วยตัวเองเช่นนี้ช่วยลดขั้นตอนให้ฉีเฟยอวิ๋น
“คนแซ่โจว ข้าขอถามท่าน ท่านพาคนกลุ่มหนึ่งไปสกัดกั้นผู้หญิงคนหนึ่งใช่หรือไม่ ทั้งยังคิดจะใช้นางขวางคนนับสิบจากการเข้าเรือนหอ ท่านบอกว่ารอให้ท่านพ่อของนางกลับมา ท่านจะแต่งงานกับนาง ตอนนี้ขอฉวยมาเล่นก่อน เลยถือโอกาสนำตัวกลับไปที่จวนเพื่อไปเป็นนางบำเรอของท่าน?”
ทั้งห้องเต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อฉีเฟยอวิ๋นพูดออกมาเช่นนี้
หนานกงเย่คอแข็งราวกับท่อนไม้และบิดจนเกิดเสียงดังกร็อบเมื่อหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น
หากไม่ใช่คนโง่จนเกินไปย่อมต้องฟังออกว่าผู้หญิงคนนั้นคือฉีเฟยอวิ๋น
แต่หนานกงเย่ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นมองโจวไท่ที่หมอบอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเฉยเมย โจวไท่ที่ได้ใจเป็นอย่างมากหัวเราะขึ้นมาเสียงดังลั่น “ที่แท้พระชายาเย่ก็จำได้ข้าน้อยได้ ไม่มีปัญหา ขอเพียงแค่พระชายาเย่เข้ามาประคองคุณชายเช่นข้าให้ลุกขึ้นและพูดกับที่รักอย่างข้าดีๆ อีกที ข้าจะปรนนิบัติท่านอย่างดีเลยทีเดียว”
เวยฉือไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง เจ้าหมอนี่วอนหาที่ตายงั้นหรือ
เวยฉือถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
หนานกงเย่ปล่อยมือฉีเฟยอวิ๋นและก้าวลงมาจากเวที เขาก้าวอย่างเชื่องช้าไปอยู่ตรงหน้าโจวไท่ เอ่ยอย่างเยียบเย็นว่า “ปล่อยเขา”
โจวไท่ไม่เคยเจอกับหนานกงเย่มาก่อน แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเกี่ยวกับหนานกงเย่แต่ก็ยังไม่เคยเห็นตัวจริง
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย เขาสนใจเพียงแต่การเล่นสนุกกับสตรี
ทุกๆ วันโจวไท่ไปแต่สถานที่เริงรมย์ ผู้หญิงที่อยู่ในเรือนก็มีอยู่นับไม่ถ้วน
ว่ากันว่าไม่มีการขู่บังคับเอาตัวผู้หญิงมา แต่ในเรือนของเขากลับมีคนถูกเฆี่ยนตีจนตายมิใช่น้อย
โจวไท่คิดว่าเป็นความกลัว เขาลุกขึ้นและผลักสองคนที่อยู่ข้างๆ ออกไป ถลกแขนเสื้อขึ้นและมองหนานกงเย่ ยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ใต้เท้าคือ?”
“ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้เห็นเสียที ว่าแต่พระชายาของข้ายังต้องเรียกใครอื่นว่าที่รักด้วยหรือ” สีหน้าของหนานกงเย่เย็นชาอย่างยิ่งยวด
โจวไท่ชะงักงันและเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาในทันที เขาเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นและรีบหันไปทางหนานกงเย่ “มะ… ท่านอ๋องเย่?”
หนานกงเย่ถีบโจวไท่จนกระเด็นออกไปนอกประตู เขานอนหมอบอยู่บนพื้นและเหมือนกระดูกจะหัก
หนานกงเย่เดินออกไปที่ด้านนอกอย่างไม่เร่งรีบ เขาเตะไปอีกจนเขากระเด็นเข้าไปปะทะกับเสา
มีเสียงร้องไห้โฮดังขึ้นรอบๆ “หนานกงเย่ ท่านกับข้าไม่เคยมีความเกลียดแค้นอะไรกัน ท่านทำร้ายข้าเช่นนี้ ไว้ข้ากลับไปหาท่านปู่เมื่อใด ข้าจะให้เขาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท…”
หนานกงเย่ยื่นมือขึ้น “กริช!”
เวยฉือมองฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ด้านหลัง ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเฉยเมยและไม่สะทกสะท้าน เวยฉือเหงื่อไหลพราก ความงามเป็นพิษโดยแท้
เวยฉือโบกมือส่งสัญญาณ จากนั้นคนของหลวงจึงรีบนำกริชมายื่นให้หนานกงเย่ หนานกงเย่รับไปและชูกริชไปทางโจวไท่
ทะ… ท่านจะทำอะไรน่ะ ถ้าท่านฆ่าข้า ฝ่าบาทจะต้องไม่ทรงปล่อยไว้แน่
หนานกงเย่ฟันกริชลงไปและทำให้โจวไท่เจ็บเจียนจะขาดใจ ฉีเฟยอวิ๋นเห็นเพียงแค่ว่าหนานกงเย่ฟันกริชลงไปที่เป้ากางเกงของโจวไท่และมีอะไรบางอย่างกระเด็นออกมาจากเป้ากางเกงนั่น ทุกคนตกใจจนต้องก้มหน้าลงทันที
ปั้ก!
ของสิ่งนั้นล่วงลงไปบนพื้น
ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะเข้าไปดูใกล้ๆ แต่หวาชิงกระแอมขึ้นมา ดังนั้นนางจึงไม่ได้เดินไปดูแต่ลุกขึ้นและลงมาจากเวที
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปยืนข้างๆ หนานกงเย่และทำเพียงเหลือบมองโจวไท่ที่สลบไสลไม่ได้สติ
“ท่านอ๋อง จับขังไหมเพคะ”
“ไม่จำเป็น เวยฉือ เจ้ายกเขาขึ้นมา เอาไอ้ของสกปรกของเขาไปให้สุนัขกิน จากนั้นให้นำสุนัขไปที่จวนของอาลักษณ์อาวุโสโจว บอกว่าข้าเป็นคนทำ”
“เอ่อ?”
เวยฉือเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าตกตะลึง นี่มันเป็นการทำเกินไปหรือเปล่า
เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ยอมทำ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยว่า “ท่านอ๋อง ถ้าก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นในเวลานี้เกรงว่าจะไม่ดีนักนะเพคะ”
“ดี?” หนานกงเย่มีสีหน้าเยียบเย็น “ข้าบอกเมื่อใดว่าจะปล่อยให้พวกเขาได้ดี”
“….” เวยฉือไม่กล้าพูดอะไรมากและรีบสั่งให้คนไปจัดการทันที
หนานกงเย่หันไปมองฉีเฟยอวิ๋น เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางยิ่งซีดเผือดและมีเหงื่อผุดพรายอยู่เต็มหน้าผาก ภายในใจก็รู้สึกวูบขึ้นมาอีกครั้ง
หนานกงเย่โน้มตัวลงไปอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา จากนั้นจึงกลับไปขึ้นรถม้าและพาฉีเฟยอวิ๋นกลับไปที่จวนอ๋องเย่
หลังจากเข้ามาข้างในแล้วหนานกงเย่จึงวางฉีเฟยอวิ๋นลงบนเตียง เขาสั่งให้หาน้ำร้อนมาและเช็ดตัวให้ฉีเฟยอวิ๋นด้วยตนเอง
มีคนคอยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู หนานกงเย่กันหวาชิงไม่ให้เข้ามา จากนั้นจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ฟื้นตัวไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
หนานกงเย่รู้เกี่ยวกับสภาพร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นดีที่สุด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนี้เขาจึงไม่เป็นกังวล
มือเท้าเย็นเยียบและร่างกายก็ซีดเผือด
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจ “จิตวิญญาณของเจ้าของเดิมยังไม่เคยจากไปไหนและยังอยู่ในกายของข้า ท่านอ๋อง เรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างของนางถูกบังคับให้ออกมา และนางก็น่าสงสารนัก
ดูเหมือนเวลานี้นางกำลังเศร้าใจมาก กำลังเสียใจกับเรื่องของนาง การที่นางเป็นเช่นนี้มีผลกระทบต่อระบบชีวภาพในร่างกายของข้าด้วย ข้าซ่อมแซมอะไรไม่ได้เลย ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะไม่ดีกับทั้งข้าและนาง มีแต่ต้องปลอบโยนนางไม่ให้เป็นเช่นนี้เท่านั้น”
“แล้วจะปลอบโยนได้อย่างไร” หนานกงเย่เองก็ใจร้อนเช่นกัน เจ้าของเดิมนี่อยากจะตายก็ไปตายไกลๆ ไม่ใช่มาสร้างหายนะให้ผู้อื่น
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองที่ด้านในของตั่งเตียง “ท่านอ๋อง ท่านขึ้นมาซี ข้าจะได้คุยกับท่านเรื่องของนาง อันที่จริงท่านกับข้าต่างก็ไม่เข้าใจนางอย่างถ่องแท้”
นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาโกรธ หนานกงเย่ไม่พูดอะไรอีกและถอดเสื้อตัวนอกออกก่อนจะขึ้นไปบนเตียง เมื่ออยู่บนเตียงแล้วเขาจึงกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้จากทางด้านหลัง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวพวกเขาทั้งคู่เอาไว้ จากนั้นจึงฟังฉีเฟยอวิ๋นพูดถึงเรื่องเจ้าของเดิม