” ข้ามิกล้าทำเช่นนั้น ! ข้าเพียงขอให้ เหม่ยผู้น่าเกรงขาม ใตร่ตรองสิ่งที่ข้าพูด …”
ลีจื้อเทียนสงบนิ่ง
” สวรรค์ และ โลกต้องไม่อับอาย เจ้าไม่ต้องเอ่ยถึง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้ากลัวว่าเจ้าอาจทำในสิ่งต้องห้าม ”
” ฮี่ฮี่ … พิจารณา ? พิจารณา…. ? เราไม่ควรประเมิณตัวเองสูงเกินไป แต่ เมื่อใหร่กันที่เรื่องนี้มีค่าในสายตาข้า ? และ เจ้าจักทำอันใดได้ หาก โลกเซียนอมตะ นครมงกุฏทอง และ ทะเลเลือดลวงตา ปลดปล่อยโทษะทั้งหมด มายังป่าเถียรฟาของข้า ? ”
จากนั้น คนผู้นั้นเอ่ยต่อด้วยท่าทีทะนง
” แม้แต่ จุ้นเป้ยเฉิน ยังมิกล้างแสดงตัวต่อโลกนี้ เป็นเวลาแปดปีตามวาจาของข้า ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถกำจัดสามกลุ่มนั้นจากเทียรฟาของข้าได้แน่นอน ”
” ข้าจักรอดูหาก เหม่ยผู้น่าเกรงขามเอ่ยเช่นนั้น ! ”
ลีจื้อเทียนเอ่ยจบ และ ร่างของเขาลอยลงจากหลังคา ซึ่งบ่งบวกว่าการสนทนานั้นจบลงแล้ว
จากนั้น มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นไกลออกไปในป่า
แล้วเสียงกัมปนาถที่ทำให้โลกต้องสั่นสะเทือนดังก้อง เหนือ ตะวันออก ตก … ทั้งสามทิศดังก้องด้วยเสียงเห่าหอน กลุ่มควันล่องลอยและปกคลุมทั้วท้องฟ้า
อสูรเชวียนมากมายพุ่งออกมาจากป่าและหุบเขา พวกมันพุ่งออกมาอย่างเป็นระเบียบ อสูรเชวียนเหล่านี้พุ่งออกมาที่ด้านนอกนคร …จากทิศทางเดียว ทางใต้
ราวกับ ราชัญแห่งเถียรฟา ควบคุมกองกำลังนี้ …
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของกองกำลังในสามทิศทางก็ได้ทำให้หัวทุกหัวใน นครสวรรค์ใต้ หดลง
มีสิบ พยัคฆ์เชวียนมงกุฏทอง จากตะวันออก พวกมันมี เขาสีเงินอยู่บนหัว พยัคฆ์เชวียนเหล่านี้เคลื่อนที่อย่างเป็นระเบียบ พวกเขาถูกนำโดย ราชัญพยัคฆ์เชวียนขาว อย่างไรก็ตาม มงกฏของมันก็ยังคงเป็นสีทอง พกมันเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ไม่นาน อสูรเชวียนทุกชนิดก็วิ่งออกมาจากพื้นที่รอบๆอย่างเป็นระเบียบ การเคลื่อนไหวและกระบวนทัพ ดูไม่ต่างจากการเดินทัพ และพวกมันยังคงพุ่งไปราวสายฟ้า ฝีมือของพวกเขาดูไม่ต่ำต้อยไปกว่า ยอดฝีมือเทพเชวียน
” พยัคฆ์เชวียนขั้นเก้า ! ”
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเพ่งมองและอุทาน เขายืนอยู่ด้านหลัง ลีจื้อเทียน
” พวกมันมีมากยิ่ง ! และ ถูกนำโดย ราชัญพยัคฆ์เชวียน ! และ เขาอาจจะอยู่ในขึ้นเก้าสูงสุดเป็นอย่างน้อย ! ”
และจากนั้น สิงเชวียนหยกขาวที่มีขนาดใกล้เคียงกัน ปรากฏขึ้นทางตะวันตก
” มี สิงห์เชวียนหยกขาวจากทางตะวันตก ! ”
ตงฟางเหวินชิงเอ่ยด้วยทีท่าจริงจัง ทั้งสองรู้ว่า จวินโม่เซี่ย นั้นยังเด็กและไร้ประสบการณ์ เช่นนั้น เขาจึงไม่น่าจะรู้จัก อสูรเชวียนระดับสูง ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามอธิบายสิ่งที่พวกเขาได้เห็นเนื่องจากพวกเขารู้ว่า เขาอยู่ด้านข้างและสามารถได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดได้
จากนั้น มีเสียงตื่นตระหนกดังจากทางเหนือ หมีใหญ่ นำเหล่าหมียักษ์พุ่งเข้ามาในส่วนนั้น
” หมีแยกหุบผา มันก็เป็น อสูรเชวียนระดับเก้าเช่นกัน ! ป่าเถียนฟาช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ! ”
กองกำลังเหล่านี้ คลอบคลุมเส้นทางครึ่งหนึ่ง จากนั้นมีเงามากมาย พุ่งออกมาจาก แม่น้ำ หุบเขา และทะยานสู่ท้องฟ้า ดูเหมือนว่าพวกมันจะสร้างสีสรรค์ที่สวยงาม พวกมันบินอย่างยิ่งเหยิงบนท้องฟ้า แต่จากนั้น พวกมันรวมตัวกัน และจัดแถวอย่างเป็นระเบียบ ดูราวกับก้อนเมฆและปรากฏเหนือ นครสวรรค์ใต้
” มีอสูรเชวียนบินมากมาย … มากยิ่งยัก ! ”
ตงฟางเหวินต้าย่นจมูก และ แยกเขี้ยวขณะที่เพ่งมองไป
” พวกมันแต่ละตัวอยู่ในขั้นแปดเป็นอย่างน้อย ! แม่ข้า ! เจ้าสร้างการตอบสนองที่ทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร ? เราจักต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ? “
เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วหุบเขา นี่คือเสียงของ อสูรเชวียนที่กำลังกระทืบเท้า เสียงของมันฟังดูเหมือนฝนที่กระหน่ำใส่ผู้ที่ได้ยิน ผู้นั้น สามารถคิดได้ถึงจำนวนของเหล่าอสูร …
ทุกคนต่างขึ้นไปอยู่บนที่สูงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของพวกเขาไร้สีสรรขณะที่มองไปยัง ความน่ากลัวที่ได้พบเจอ สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตานั้นทำให้พวกเขารู้สึกเช่นนี้ ตอนนี้มี อสูรเชวียนนับหมื่นที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
.สวรรค์ ! โลกนี้บ้าไปแล้ว ! อสูรเชวียนหนึ่งหมื่นหลุดออกมา ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีอสูรเชวียนตัวใดที่อยู่ต่ำกว่าระดับหก
ปากของพวกเขาอ้ากว้างเกือบเป็นตัว โอ
อย่างไรก็ตาม มีคนหนึ่งที่มิได้อ้าปาก คือจวินโม่เซี่ย เขาสามารถเห็นทั้งหมดนี้เช่นคนทั่วไป แต่ ไม่มีผู้ใดรู้สิ่งที่เขาคิด …
เขามีคำถามมากมายในใจ …
ทุกคนรู้ว่ามีสองมหาอำนาจในดินแดนเชวียนเชวียน คือ นครพายุหิมะสีเงิน และ มณฑลฉือฮั่น ไม่มีผู้ใดปฏิเสธว่า ความแข็งแกร่งของทั้งสองสกุลนี้ไร้ผู้เทียบทาน
จากนั้น ก็มีชื่ออีกสองสามชื่อที่หลุดออกมาจากปากของ ราชัญแห่งเทียนฟา
โลกเซียนอมตะ นครมงกุฏทอง และ ทะเลเลือดลวงตา…
ชื่อเหล่านั้นบอกถึงสิ่งใด ? พวกมันมีความหมายอย่างไร ? สามดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใหน ? ผู้คนของสถานที่เหล่านี้มีอำนาจกดขี่ได้เพียงใด ? เหตุใดข้าจึงมิได้ยินชื่อเหล่านี้ ?
จากนั้นเขานึกถึงคำที่ ลีจื้อเทียน เพิ่งเอ่ยขึ้น
โลกและสวรรค์ต้องไม่เสียศักดิ์ศรี เจ้าไม่ควรเอ่ยถึง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เหตุใดลี่จื้อเทียนเทียบสามดินแดนนี้กับสวรรค์และโลก ?
มันหมายความว่าอย่างไร ?
ทั่วทั้งโลกรู้จักยอดฝีมือสูงสุดสิบอันดับ พวกมเขาแปดคนเป็น ยอดปรมาจารย์ นอกจากนั้นมี เฟิงจวนจุ้น และ เทพเจ้ามือสังหาร ฉือฉีฮั่น แต่ เหตุใดฟังดูเหมือน ราชัญแห่งเถียรฟาไม่นับว่าพวกเขาอยู่ในระดับที่สูงส่งเลย ? มันหมายความว่าอย่างไร ?
.จากสิ่งที่ข้าได้ยินและได้เห็น … ข้าคิดว่า ราชัญแห่งเถียรฟาผู้นี้มีความแข็งแกร่งมากมายยิ่งนัก
แม้แต่ จุ้นเป้ยเฉิน ก็ไม่กล้าแสดงตัวต่อโลกนี้ เนื่องจากคำพูดของข้า ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถกำจัด สามกลุ่มออกจากป่าเถียรฟาของ้ขาได้อย่างง่ายดาย
คำพูดเหล่านั้นดังก้องอยู่ในหูของข้า
คำพูดเพียงไม่กี่คำได้บังคับให้ยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ จุ้นเป้ยเฉิน ไม่แสดงตัวออกมาหลายปี …
ต้องใช้ความแข็งแกร่งเพียงใดถึงทำเช่นนั้นได้ ?
คนอื่นๆแสดงสีหน้าที่หวาดกลัว อย่างไรก็ตาม สีหน้าของจวินโม่เซี่ยยังคงสงบ … แต่ คลื่นมากมายกำลังโหมกระหน่ำขึ้นมาภายในเนื่องจากคำถามมากมายก่อเกิดในใจของเขา ..ราชัญแห่งเถียรฟาดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งเพียงนี้ … ยิ่งไปกว่านั้น เขาตัดสินใจแสดงตัวออกมาอย่างเปิดเผย … เหตุใดเขาถึงไม่รออีกหน่อย ? เขาสามารถรอคอยจนกระทั่งสงครามขยายขนาดใหญ่ขึ้นได้อย่างง่ายดาย .. และเขาสามารถสร้างความเสียหายต่อกลุ่มที่ร่วมมือกันนี้ได้อย่างง่ายดายมิใช่หรือ ?
ความเสียหายต่อกลุ่มพันธมิตรจะเกิดขึ้นอย่างมากแน่นอน … ความจริงแล้วการต่อสู้กับ อสูรเชวียนและคนจักจบลงในครั้งเดียวหากเป็นเช่นนั้น …
ยิ่งไปกว่านั้น ความขัดแย้งนี้เริ่มขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน แต่ เขายังไม่ได้เผยตัวออกมา เช่นนั้น เหตุใดเขาจึงเผยตัวออกมาตอนนี้ ? เขารอคอยมาถึงสองเดือน เหตุใดเขาจึงไม่รออีกหน่อย ?
ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการปรากฏตัวของเขาสามารถเอาชนะศัตรูได้ ความแข็งแกร่งของเขาสูงส่งดั่งพระเจ้า มันทำลายขวัญกำลังใจของเหล่ายอดฝีมือ และ ขวัญกำลังใจของกองกำลังจักถูกทำลาย !
.แต่ปัญหานี้ไม่ควรอยู่ในความคิดของเขาเนื่องจากความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา เช่นนั้น เขากำลังกังวลในเรื่องใด ? กลยุธในการโจมตีของกลุ่มพันธมิตรก็ไม่ควรเป็นสิ่งที่น่ากังวล เขาสามารถเปลี่ยนผลการต่อสู่ได้อย่างง่ายดาย … และทุกสิ่งจะเกิดขึ้นเพียงเพราะการปรากฏตัวของเขา
ทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์อันใ ?
คำถามมากมายทำให้จวินโม่เซี่ยหัวหมุน เขาขยี่ตา … และพบสิ่งผิดปกติเมื่อลืมตาขึ้น
ทุกคนขึ้นไปอยู่บนที่สูงขึ้นเนื่องจาก อสูรเชวียนเริ่มเคลื่อนตัวจากทางใต้ แต่ก็ยกเว้นคนผู้นี้ ร่างนั้นสูงสง่ายืนนึ่งไม่ไหวติง
เด็กหนุ่มยืนอย่างโดดเดี่ยวและไร้ความกลัวภายใต้ธงของ สกุลเปียลี่ … ใบหน้าของเขาสงบนิ่งและเฉยเมย เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า
” เหตุการณ์นี้ไม่ทำให้ข้าสนใจ ไม่มีสิ่งใดสามารถทำอันใดข้าได้ ”
เขายืนอย่างเฉยเมย ยิ่งไปดว่านั้น ราวกับเขาไร้ชีวิต เราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ สำคัญในสายตาของเขา
ทันใดนนั้น ความสนใจอันแรงกล้าต่อเด็กคนนี้เกิดขึ้นในใจของจวินโม่เซี่ย
มิใช่อันใดอื่น …เพียงแต่ความจริงที่ว่า ร่างอันโดดเดี่ยวนี้ทำให้เขานึกถึงความเหินห่างและไม่แยแสต่อสังคมในชีวิตก่อนของเขา .ข้าเหมือนผู้นี้ ?
จวินโม่เซี่ยเป็นคนที่แกลประหลาดอย่างปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น เขาไม่เคยแสดงความเป็นมิตรต่อผู้อื่น และ นี่เป็นเหตุผลที่เขาสนใจผู้ที่โดดเดี่ยวอยู่ใกล้ๆเสมอ
ในที่สุด ตงฟางเหวินชิงก็รวบรวมสติและพบกว่า จวินโม่เซี่ยมิได้อยู่ข้างๆเขาแล้ว เขาละสายตาจาก คลื่นของเหล่า อสูรเชวียนและเริ่มมองหาหลานชายของเขาอย่างร้อนรนใจทันที
ชัดเจนว่าจวินโม่เซี่ยเป็นดั่ง แอปเปิ้ลในสายตาของสามพี่น้องตงฟาง พวกเขามองหาเขาอย่างหมกมุ่น สามพี่ต้องฝันว่าจักพาเขาไปยังสกุลตงฟางสักระยะหนึ่ง สุดท้ายแล้วแม่ของพวกเขาจักไม่มีความสุขได้อย่างไรเมื่อได้เห็นหลานชายที่มากความสามารถเช่นนี้ ? ความจริงพวกเขาหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกจากช่วยให้น้องสาวของพวกขาซึ่งสิ้นสติไปนับสิบปีตื่นขึ้นมาได้ ….
ดังนั้น บุรุษทังสามจึงทำตัวเหมือนไก่ที่มองไปรอบๆเพื่อหาลูกไก่ พวกเขาไม่ต้องการจะปล่อยหลานชายของเขาให้หลุดไปนอกสายตา ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเคล็ดวิชาที่คล่องแคลวของเขาสร้างขึ้นมาเพื่อการป้องกันที่ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม นั่นก็ยังไม่ทำให้พวกเขาโล่งใจ ผู้คนจาก นครพายุหิมะสีเงิน และ มณฑลฉือฮั่น รวมตัวกันที่นี้ คนหนึ่งในหมู่พวกเขาจักไม่กระทำต่ำช้าหรือ ?
และพวกเขาจักร้องไห้เป็นสายน้ำหากบางสิ่งเกิดขึ้นกับเขา …
ดังนั้น พวกเขาจึงมองหาและไปอยู่ข้างๆเขาทันทีที่พบว่าจวินโม่เซี่ยไม่ได้อยู่ข้างๆเขาอีกแล้ว แม้แต่สิ่งที่หน้าตื่นเต้นตรงหน้าก็ไร้ความสำคัญหากเทียบกับความปลอดภัยของเขา…
” ท่านรู้จักคนผู้นั้นหรือไม่ ? “
จวินโม่เซี่ยชี้ไปยัง เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว
” เขาเป็นคนจาก สกุลเปียลี่ และ…ยังเป็นผู้ที่สกุลนั้นละทิ้ง เหตุใดเจ้าถึงถามถึงเขา ? “
ตงฟางเหวินต้าเงยหน้าและหลือบมอง จากนั้นเขาตอบด้วยน้ำเสียงดูถูก
” เหตุใด ? เหตุใดพวกเขาจึงต้องละทิ้งเขา ? เหตุใดพวกเขาทำเช่นนั้น ? “
จวินโม่เซี่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สับสน
” ดูคนเหล่านั้น … คนในสกุลใหญ่เหล่านี้มีผู้ใดที่ดูเหมือนโง่สำหรับเจ้า ? ผู้ใดไม่เข้าใจถึงความรุนแรงของการกบฏนี้ ? คนเหล่านี้ถูกดดันโดย มณฑลฉือฮั่น เพื่อให้ส่งความช่วยเหลือมา เช่นนั้น พวกเขาจึงมาต่อสู้อย่างไร้ทางเลือก แต่ มีสกุลใดหรือไม่ที่ส่งความแข็งแกร่งทั้งหมดของพวกเขามา ? ยิ่งไปกว่านั้น คนทั้งหมดนี้อยู่ในระดับสวรรค์เชวียนสูงสุด เจ้าเห็นผู้ใดอ่อนแอหรือไม่ ? หรือเอ่ยอีกอย่าง คนเหล่านี้ีีความแข็งแกร่งที่เพียงพอจะรักษาชีวิตตัวเอง และหนีไปหากการรวมตัวนี้ไม่เพียงพอต่อที่จักจัดการกับภัยคุกคาม และสกุลเหล่านี้ก็จำต้องประสบการการสูญเสียความแข็งแกร่งครั้งยิ่งใหญ่สำหรับเรื่องนี้ ดังนั้น เจ้าเห็นสกุลอื่นๆสิ่งคุณชายน้อยของพวกเขามาหรือไม่ ? “
ตงฟางเหวินชิงถามด้วยความเย้ยหยัน
” เช่นนั้น พวกเขาโยนชีวิตของเขาทิ้ง ? เขาเป็นเพียงตัวเบี้ยอย่างนั้นหรือ ? “
จวินโม่เซี่ยดูเหมือนตกตะลึง