ตอนที่ 680 ราชาแห่งเปลวอัคคี

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

อันที่จริงแล้วมู่เฉียนซีก็จนปัญญาเช่นกัน “การที่ข้าเข้าร่วมการคัดเลือกของหอโอสถในครานี้ ดูเหมือนว่าข้าจะโชคไม่ดี”

ไป๋เหลิ่งชวงกล่าว “จริงด้วย!”

ตอนที่ประลองปรุงยาที่หุบเขาโอสถ ขาดสมุนไพรวิญญาณที่สำคัญไปอย่างหนึ่ง ทรมานไปครึ่งค่อนวัน แต่ในที่สุดก็โชคดีที่หลอมยาจินหยางออกมาได้

เมื่อเข้ามาในหอโอสถการทดสอบของสามชั้นแรกนางล้วนแต่มีความชำนาญเชี่ยวชาญมาก ดังนั้นนางจึงนำหน้ามาตลอดทาง แต่เมื่อเข้ามาถึงชั้นที่สี่นางก็ตกอยู่ในความยากลำบากนี้

มีคนขึ้นมาถึงชั้นที่สี่แล้ว อีกทั้งยังแซงหน้าอวี้เหลียนชิงพรวดขึ้นไปชั้นที่ห้าได้แล้ว และนี่ทำให้อวี้เลียนชิงถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนกระทืบเท้าอย่างรุนแรง

หุบเขาหมอเทวดาตั้งตนเองว่าเป็นสำนักปรุงยาอันดับหนึ่งในแดนใต้ คิดว่าพวกเขานั้นไร้เทียมทานในใต้หล้าแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมพวกเขาได้ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า

ต่อให้ไม่มีมู่เฉียนซี อวี้เหลียนชิงคิดจะโดดเด่นเป็นหนึ่งในการคัดเลือกของหอโอสถในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

คนอื่นพรวดไปทีละคน ๆ ไป๋เหลิ่งชวงจำต้องบอกลามู่เฉียนซีไปด้วยความเสียดาย และพรวดตามไปเช่นกัน

ในตอนนี้มู่เฉียนซีก็ได้สังเกตการณ์ผ่านด่านของคนอื่น ๆ อย่างไม่เร่งรีบ ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่จอมภูตพลังธาตุอัคคี แต่นางก็ไม่มีทางยอมแพ้ไปง่าย ๆ เด็ดขาด

ครั้งนี้อวี้เหลียนชิงได้ผ่านด่านแล้ว เขากล่าว “แม่นางมู่ ข้าว่าเจ้าอย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่ที่นี่อีกเลย รีบออกไปซะ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าได้เห็นพวกเราผ่านด่านไปทีละคน ๆ ในใจเจ้าก็จะเป็นทุกข์ไม่ใช่เหรอ ?”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคิดว่าในฐานะที่เป็นนักปรุงยา ทุกคนจะใจร้อนเช่นเจ้างั้นเหรอ ?”

สีหน้าของอวี้เหลียนชิงดำคล้ำยิ่งกว่าก้นหม้อ “ข้าว่าเจ้าปากแข็งอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ!”

ในใจของมู่เฉียนซีนั้นนิ่งสงบมาก มองดูพวกเขาผ่านด่านไปทีละคน ๆ ดูว่าว่ามีแผนการรับมือเช่นไรได้บ้าง!

ตราบใดที่ยังไม่ถึงวินาทีสุดท้าย นางไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด

ผลสุดท้ายมู่เฉียนซีก็ค้นพบเรื่องหนึ่งแล้ว นักปรุงยาคนหนึ่งพลังจิตของเขาไม่เพียงพอ ความสามารถในการควบคุมไฟไม่เพียงพอ แต่เบื้องหลังของเขานั้นแข็งแกร่งมาก

เขาเซ่นด้วยหม้อยาระดับปฐพีที่มีคุณสมบัติเป็นไฟ และใช้หม้อยาระงับเปลวไฟเหล่านั้นไว้ตลอดทางที่เดินไป เขาก็ผ่านด่านไปได้อย่างสมบูรณ์

ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายขึ้น ทำเช่นนี้ได้จริง ๆ ด้วย! เสี่ยวเย่าพึมพำว่า “โกง! นี่มันโกงชัด ๆ! มนุษย์ก็ช่างเสาะหาช่องโหว่จริง ๆ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นกลไกวิญญาณข้าก็ไม่สามารถอุดช่องโหว่นี้ได้ หากสาวงามมีอาวุธวิญญาณเช่นนี้ ต่อให้เป็นพลังธาตุวารีก็สามารถผ่านด่านได้”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เสี่ยวเย่า ข้ามีอาวุธวิญญาณเช่นนี้อยู่ชิ้นหนึ่งจริง ๆ”

มู่เฉียนซีเอากระบี่มังกรเพลิงออกมา ก่อนนางจะเดินไปยังเส้นทางแห่งเปลวไฟนั้น นางได้กล่าวว่า “มังกรเพลิง ครั้งนี้ต้องพึ่งเจ้าแล้ว!”

เสี่ยวเย่ากล่าวว่า “นี่คืออาวุธวิญญาณเหรอ แต่ระดับมันต่ำเกินไป คงจะไม่ได้!”

“เสี่ยวเย่า เจ้ารอดูเดี๋ยวก็รู้เอง!”

มู่เฉียนซีเดินไปยังเส้นทางแห่งเปลวไฟนั้น พลังวิญญาณไหลเวียนขึ้น ชั่วครู่หนึ่งเปลวไฟอันแดงฉานก็ปะทุออกมาจากปลายกระบี่ของกระบี่มังกรเพลิง

ชั่วพริบตาเดียวเปลวไฟบนเส้นทางแห่งเปลวไฟนั้นก็เชื่อฟังขึ้นมาทันใดราวกับกำลังคารวะราชาของพวกมันก็มิปาน

“นี่มัน นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?” เสี่ยวเย่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

“คนงามได้กลายเป็นจอมภูตพลังธาตุอัคคีแล้ว อีกทั้งยังปลุกราชาแห่งเปลวอัคคีได้ด้วย”

“เป็นไปไม่ได้! ปลายกระบี่นั่น! ปลายกระบี่…”

เสี่ยวเย่ามองไปที่ปลายกระบี่ที่แผ่ซ่านเปลวไฟอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ตัวกระบี่ธรรมดา แต่คมกระบี่นั้นกลับเต็มไปด้วยพลัง ทำให้มันที่เป็นกลไกวิญญาณของมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพรู้สึกสั่นสะท้านได้

จากนั้นมู่เฉียนซีก็สำเร็จภารกิจไปอย่างราบรื่น

ผ่านด่าน!

หลังจากที่ตกใจแล้ว เสี่ยวเย่าก็ดีใจ และตะโกนขึ้นว่า “คนงาม เยี่ยมไปเลย! ยอดเยี่ยมมาก เจ้าเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแน่นอน”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ต้องขอบใจกระบี่มังกรเพลิงแล้ว!”

แกร๊ง! เป็นเพราะว่ากระบี่มังกรเพลิงได้แผ่ซ่านพลังมากเกินไป มันจึงหักลงอีกครั้ง

มู่เฉียนซีรู้สึกหมดแรง และเก็บกระบี่มังกรเพลิงมาอย่างจนปัญญา

เสี่ยวเย่ากล่าว “คนงาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนที่เจ้าชักกระบี่นั่นออกมาเจ้าเหมือนกับจอมภูตพลังธาตุอัคคีเลยนะ แถมยังเป็นจอมภูตราชาแห่งเปลวอัคคีอีกด้วย ข้าคิดว่าต้องเป็นกระบี่นี้แน่นอนที่มอบพลังให้แก่เจ้า!”

“ช่างน่าเสียดายที่เจ้ามีเพียงแค่คมกระบี่ กระบี่เล่มนี้ก็เลยไม่สมบูรณ์ หากกระบี่สมบูรณ์แล้วล่ะก็ เกรงว่าเจ้าคงกลายเป็นจอมภูตราชาแห่งเปลวอัคคีไปแล้ว!”

“ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะเป็นจอมภูตพลังธาตุคู่ วารีและอัคคี บวกกับพรสวรรค์ของเจ้า ความเพียรพยายามของเจ้า จิตใจของเจ้า เจ้าจะต้องเป็นนักปรุงยาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกได้แน่นอน”

“เจ้าจะต้องพยายามทำให้กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ที่สมบูรณ์ให้ได้นะ!”

มู่เฉียนซีกล่าว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว กระบี่มังกรเพลิงเป็นสหายร่วมรบที่ดีที่สุดของข้า ไม่ว่าจะเพื่อการปรุงยา หรือเพื่อพลังความแข็งแกร่งของตัวเอง เพื่อมันข้าจะต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบให้ได้”

กระบี่มังกรเพลิงสมบูรณ์แบบ นางก็สามารถกลายเป็นจอมภูตพลังธาตุอัคคีได้ ความสามารถของกระบี่มังกรเพลิงนั้นก็เหมือนกับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไม่ใช่เหรอ ?

กระบี่มังกรเพลิง ตกลงเจ้าคือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ กระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณหรือไม่ ?

การคาดเดานี้ ตอนนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการทำภารกิจการทดสอบของหอโอสถให้สำเร็จ

มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวเย่า ส่งข้าไปชั้นห้าเถอะ!”

“ฮี่ฮี่ฮี่! ได้เลย ได้เลย! ตอนนี้พวกนั้นทุกคนล้วนแต่ติดอยู่ที่ชั้นห้า หากคนงามขึ้นไป จะต้องแซงหน้าพวกนั้นไปแน่ ๆ” เสี่ยวเย่ากล่าวด้วยความดีใจ

ลำแสงได้ห่อหุ้มร่างของมู่เฉียนซีขึ้น มู่เฉียนซีรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย การทดสอบชั้นที่ห้าคือสิ่งใดกันแน่ พวกนั้นเข้าไปตั้งนานแล้วแต่เหตุใดยังไม่ผ่านด่านกันสักคน

มู่เฉียนซีได้ขึ้นไปที่ชั้นห้าแล้วตกลงมาบนพื้นที่มืดสนิท กลิ่นอายที่อบอวลอยู่ในอากาศนั้นทำให้นางสะดุ้งเล็กน้อย

พิษ!

เป็นผลให้นางได้เห็นกับกลุ่มคนที่กำลังโดนพิษ ใบหน้าของพวกเขาดำสนิท อวี้เหลียนชิงกับไป๋เหลิ่งชวงก็อยู่ในนั้นด้วย!

พวกเขาเห็นมู่เฉียนซีขึ้นมา ต่างก็คิดว่าตัวเองเห็นภาพลวงตา

อวี้เหลียนชิงกล่าว “เป็นไปไม่ได้! เจ้าเป็นจอมภูตพลังธาตุวารี จะขึ้นมาได้เช่นไร ?”

ไป๋เหลิ่งชวงมองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “บอกข้าสิ ว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา”

มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่ใช่ภาพลวงตา ข้าคิดหาวิธีผ่านด่านขึ้นมาได้แล้ว เจ้าผิดหวังแล้วใช่หรือไม่!”

ไป๋เหลิงชวงกล่าว “ที่แท้ข้าก็ประเมินเจ้าต่ำไปอีกแล้ว”

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เสี่ยวเย่า เนื้อหาของการทดสอบนี้คือสิ่งใด ?”

“อันที่จริงแล้วเนื้อหาก็คล้ายกับการทดสอบชั้นที่หนึ่งมาก ที่แห่งนี้คือทุ่งพิษ บนพื้นดิน ในอากาศ ทุก ๆ อณูของพื้นที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นพิษทั้งสิ้น!” เสี่ยวเย่ากล่าวอย่างเชื่องช้า

“ผู้ที่ขึ้นมาถึงชั้นที่ห้าจะต้องหาวัสดุมาในทุ่งพิษแห่งนี้มาหลอมยาพิษ จากนั้นก็หลอมยาพิษที่มีพิษรุนแรงให้หอโอสถถูกใจให้ได้ ก็นับว่าผ่านด่านแล้ว”

“แต่สภาพของพวกเขาในตอนนี้ อย่าว่าแต่จะหาสมุนไพรเลย ทันทีที่ย่างเท้าเข้ามาพวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานพิษเหล่านี้ได้! เมื่อก่อนก็มีนักปรุงยาจำนวนมากที่หยุดอยู่แค่ชั้นห้า น้อยคนนักที่จะผ่านด่านไปได้”

อวี้เหลียนชิงกล่าวอย่างกลัดกลุ้มใจว่า “บัดซบยิ่งนัก! พวกข้าเป็นนักปรุงยา เหตุใดหอโอสถนี้ถึงต้องทดสอบให้หลอมยาพิษด้วย พวกข้าเป็นนักปรุงยาสูงศักดิ์ ไม่ใฝ่ต่ำเรียนรู้การหลอมยาพิษ!”

“เจ้าโง่เง่า!” เสี่ยวเย่าเปล่งเสียงออกมาดังก้องทั้งชั้นห้าอย่างไร้ความปรานี

กลิ่นอายของพิษที่อยู่รอบตัวอวี้เหลียนชิงนั้นเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ อวี้เหลียนชิงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมาน เสี่ยวเย่ากล่าวว่า “พิษเดิมทีก็เป็นยาแขนงหนึ่ง ในฐานะที่เจ้าเป็นนักปรุงยา ประสบการณ์ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่การปรุงยา ระดับพลังวิญญาณส่วนใหญ่ก็ใช้ยาวิญญาณในการเพิ่มพลัง ระดับเดียวกันเช่นนี้ กำลังในการต่อสู้ของเจ้าเทียบกับจอมภูตไม่ได้เลย หากไม่เรียนรู้วิธีการหลอมยาพิษเหล่านี้ เจ้าจะปกป้องตัวเองได้เช่นไรกัน ?”

“ในฐานะที่เป็นนักปรุงยา หากคนไข้ของเจ้าโดนพิษ แล้วเจ้าไม่รู้เรื่องพิษ ไม่สามารถปรุงยาแก้พิษได้ เช่นนั้นไม่ทำให้นักปรุงยาอับอายขายหน้าเอาเหรอ ?”

“ภายใต้หน้ากากที่ตั้งตนว่าเป็นนักปรุงยาผู้สูงศักดิ์ เอาข้ออ้างว่าตนเองไม่สามารถหลอมยาพิษได้ อย่าพูดเลยว่าเจ้าไม่เคยหลอมยาพิษมาก่อน เจ้าเคยเรียนมาแน่นอน เพียงแต่ฝีมืออ่อนหัดก็เท่านั้น ก็เลยถูกขังติดอยู่ในที่แห่งนี้ยังไงหล่ะ”

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉียนซีได้เห็นเสี่ยวเย่าสั่งสอนคนได้อย่างเฉียบคมเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าของหอโอสถแห่งนี้ต้องเป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่งและเก่งกาจมากแน่นอน หลังจากที่หอโอสถได้สั่งสอนอวี้เหลียนชิงเสร็จ ก็กล่าวถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คนงาม เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม พิษที่ชั้นห้านี้เป็นพิษที่รุนแรงมาก!”