ตอนที่ 128-2 สันเขาเฉียนเหมิน

ลำนำสตรียอดเซียน

ภายนอกโถงหลัก ในที่สุดก็มีผู้ฝึกตนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าคนสองคนนี้มาจากกลุ่มการฝึกตนไหน เมื่อพวกเขาเห็นนาง คนหนึ่งก้าวมาข้างหน้าและพูดอย่างสุภาพ “ศิษย์พี่จากโรงเรียนเสวียนชิง ข้าขอดูแผ่นจารึกประจำตัวของท่านได้หรือไม่”

 

 

โม่เทียนเกอถามด้วยความตกใจว่า “แผ่นจารึกประจำตัวอะไร”

 

 

ศิษย์ทั้งสองคนที่เฝ้าประตูจ้องมองนางด้วยสายตาประหลาด แต่คนที่พูดกับนางรีบพูดทันทีว่า “แผ่นจารึกประจำตัวสำหรับพันธมิตรคุนอู๋ของเรา ศิษย์พี่เป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง ดังนั้นเมื่อศิษย์พี่ออกจากภูเขาไป อาจารย์ของท่านควรจะมอบให้ท่าน”

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ เมื่อนางได้ยินคำอธิบายของเขา “เข้าใจล่ะ… แต่ข้าไม่มีแผ่นจารึกประจำตัว”

 

 

คำตอบของนางทำให้ศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองคนตึงเครียดขึ้นมาทันที

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มและอธิบายต่อไป “ข้าเป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงที่ออกจากเขาไปเมื่อสองปีก่อน เพราะข้าบาดเจ็บในการต่อสู้ ข้าจึงพักฟื้นอยู่ในสถานที่ลับมาโดยตลอด หลังจากที่อาการบาดเจ็บของข้าหายข้าถึงออกมา เพราะฉะนั้นข้าไม่มีแผ่นจารึกประจำตัวพันธมิตรที่ว่านั่นหรอก แต่ข้ามีแผ่นจารึกประจำตัวจากโรงเรียนเสวียนชิง เจ้าเอาไปให้ผู้จัดการของเจ้าและให้เขาตรวจสอบดูก็ได้” เมื่อนางพูดจบ นางหยิบแผ่นจารึกประจำตัวโรงเรียนเสวียนชิงของนางออกมาและมอบให้พวกเขา

 

 

พอเห็นทัศนคติที่สงบนิ่งและสำรวมของนาง ศิษย์คนนั้นจึงทำใจกล้าและรับแผ่นจารึกประจำตัวไป “ถ้าเช่นนั้น ศิษย์พี่อย่าถือสานะขอรับ กรุณารอตรงนี้สักครู่”

 

 

เพราะโม่เทียนเกอพยักหน้าอ่อนโยน ศิษย์คนนั้นจึงประหม่าน้อยลงและเข้าไปข้างใน

 

 

ในไม่ช้าโม่เทียนเกอก็เห็นศิษย์คนนั้นวิ่งออกมาอย่างเร่งรีบและรีบประสานมือทำความเคารพมาทางนาง “ศิษย์พี่ ท่านผู้จัดการเชิญท่านเข้าไปข้างในขอรับ”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและเข้าไปในโถงหลัก

 

 

แม้ว่าด้านนอกของโถงหลักนี้จะถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง ทว่าด้านในยังคงมีสภาพดีอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม สภาพภายในนั้นเกินกว่าความคาดหมายของโม่เทียนเกอไปมาก นางคิดว่าในเมื่อที่นี่คือที่อยู่ของผู้จัดการ ก็คงจะเป็นสถานที่สงบเงียบ ไม่เคยคิดว่าภายในจะวุ่นวาย มีคนมากมายเคลื่อนไหวไปมา ยิ่งไปกว่านั้น คนที่บาดเจ็บก็มีอยู่ทั่วทุกที่ เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานที่สำหรับรักษาคนบาดเจ็บเช่นกัน

 

 

“เสี่ยวไป๋!” จู่ๆ โม่เทียนเกอก็ได้ยินเสียงที่ค่อนข้างคุ้นหู เมื่อเหลือบมองนางก็เห็นชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบโรงเรียนเสวียนชิง ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่าเขาจะดูเป็นคนเฉยเมย แต่ทุกท่วงท่าของเขาเผยให้เห็นความสง่างาม ขณะนั้นเขากำลังหมอบอยู่ที่พื้น ตรวจดูผู้ฝึกตนที่บาดเจ็บคนหนึ่ง

 

 

“มาแล้ว!” เด็กหนุ่มในระดับการสร้างฐานแห่งพลังในขั้นต้นขานตอบ

 

 

ชายหนุ่มบุ้ยหน้าชี้ด้วยคาง “ข้าจะส่งต่อคนนี้ให้กับเจ้า”

 

 

“ตกลง”

 

 

หลังจากส่งต่อคนเจ็บให้กับคนอื่น ชายหนุ่มคนนั้นยืนขึ้น หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเริ่มเช็ดมือ การเคลื่อนไหวของเขาไม่เร่งรีบหรือช้าเกินไป จากนั้นเขาหยิบแผ่นจารึกประจำตัวบนโต๊ะและสายตาเขาหันเหมาทางโม่เทียนเกอ

 

 

โม่เทียนเกอจำเขาได้แล้ว ที่จริงเขาคือศิษย์พี่ค่วงจู๋ผู้ที่นางเคยเจอครั้งหนึ่งบนผาลั่วเยี่ยน

 

 

ค่วงจู๋ยกแผ่นจารึกประจำตัวของนางขึ้นขณะที่เขากวาดสายตาตั้งคำถามมองทั่วตัวนาง แม้ว่าเขาจะพินิจพิเคราะห์ดูนาง แต่การกระทำของเขาไม่ได้ทำให้นางไม่พอใจเพราะสายตาของเขายังคงเฉยเมยและไม่มีการดูถูกใดๆ

 

 

“โม่เทียนเกอ”

 

 

โม่เทียนเกอประสานมือ “ใช่แล้ว ขอคารวะศิษย์พี่ค่วงจู๋”

 

 

ค่วงจู๋คืนแผ่นจารึกประจำตัวให้นาง “เจ้ามาที่โรงเรียนต้านติงเมื่อสองปีก่อนไม่ใช่หรือ?”

 

 

โม่เทียนเกอเตรียมตัวตอบคำถามนี้มานานแล้ว นางอธิบาย “ข้าบาดเจ็บหนักจากสัตว์ปีศาจระดับห้าในการต่อสู้ในบริเวณพื้นที่ของตระกูลอวี๋ ข้าใช้วิชาลับเพื่อหลบหนีแต่หมดสติไปทันทีหลังจากนั้น อันที่จริงข้าหมดสติไปอยู่หลายเดือน หลังจากเวลาหลายเดือนผ่านไป สุดท้ายข้าก็ฟื้นได้สติ อย่างไรก็ตาม เพราะอาการบาดเจ็บของข้ารุนแรงมาก ข้ากลัวที่จะออกมาจึงมองหาสถานที่ลับเพื่อหลบซ่อนตัวและพักฟื้นแทน”

 

 

“อ้อ…” ไม่แน่ชัดนักว่าค่วงจู๋เชื่อคำอธิบายของนางหรือไม่ เขาแค่หันกลับไป เดินผ่านโต๊ะหลายตัว มุ่งหน้าไปที่โต๊ะตัวสูงที่สุดและเริ่มมองหาอะไรบางอย่างบนโต๊ะตัวนั้น

 

 

ท้ายที่สุดเขาก็เจอแผ่นจารึกประจำตัวที่ว่างเปล่า เขาสลักคำหลายคำลงไปบนพื้นผิวของมันก่อนจะมอบให้นาง “นี่คือแผ่นจารึกประจำตัวพันธมิตรของเจ้า ในอนาคตเจ้าแค่ต้องแสดงแผ่นนี้”

 

 

“ขอบคุณศิษย์พี่ค่วงจู๋” นางรับแผ่นจารึกประจำตัวและเก็บไว้ในกระเป๋า ชั่วขณะต่อมา เขาเดินผ่านนางไปเพื่อไปรักษาคนเจ็บอีกคน ทำให้นางต้องรีบร้องเรียก “ศิษย์พี่!”

 

 

ถึงแม้ค่วงจู๋จะได้ยินเสียงเรียกของนาง แต่เขาก็ไม่หยุดและยังคงตรวจคนเจ็บต่อไป เขาแค่พูดอย่างเฉยเมย “มีอะไรอีกรึ”

 

 

“…” พอเห็นเขาเป็นเช่นนี้ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกว่ายากที่จะพูดสิ่งที่ต้องการพูด ต้องใช้เวลานานกว่าที่นางจะเปล่งเสียงออกมาได้อีกครั้งในที่สุด “มีอะไรที่ข้าต้องทำตอนนี้หรือไม่”

 

 

“ไม่มี” ครั้งนี้ค่วงจู๋ไม่แม้แต่จะเหลือบมองนางด้วยซ้ำ “เจ้าแค่สนใจเรื่องของตัวเองก็พอ”

 

 

นางแทบไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินคำพูดของเขา นางกล่าว “ศิษย์พี่เป็นผู้จัดการของที่นี่ไม่ใช่หรือ? ท่านไม่ต้องมอบหมายงานให้ข้าหรือ”

 

 

ค่วงจู๋ส่งเสียง “ฮึ่ม” เบาๆ จากนั้นจึงพูดว่า “งานหรือ แค่ออกไปฆ่าปีศาจไป! หากมีปัญหาอะไรข้าจะบอกเจ้าเอง!”

 

 

“… โอ้…” โม่เทียนเกองุนงง อย่างไรก็ตาม แม้นางจะสับสนนางก็เข้าใจได้ว่าศิษย์พี่ค่วงจู๋ดูเหมือนจะไม่ชอบถูกคนอื่นรบกวน ดังนั้นนางจึงเตรียมใจและถามเขาคำถามสุดท้ายอีกคำ “ศิษย์พี่ ข้าควรต้องมองหาใครหรือหากมีคำถาม”

 

 

ค่วงจู๋เพิ่งจะเสกคาถารักษาเสร็จ เขาเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองนางก่อนจะหันหน้าไปและตะโกนออกมาเสียงดัง “เสี่ยวกู่จื่อ!”

 

 

“อยู่นี่ขอรับ!” เด็กหนุ่มระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณตอบ

 

 

ค่วงจู๋พูดกับเด็กหนุ่มขณะที่ชี้มาที่นาง “อาจารย์ลุงคนนี้มีอะไรจะถาม ในเมื่อเจ้าอยู่ว่างๆ คุยกับนางหน่อย”

 

 

เด็กหนุ่มคนนั้นเหลือบมองนางขณะที่สายตาของเขามองไปทั่ว สุดท้ายเขาจึงยิ้มและพูดว่า “อาจารย์ลุง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะคุยกัน มากับข้าสิ”

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างทำตัวไม่ถูกขณะที่นางมองค่วงจู๋ง่วนอยู่กับการตรวจคนเจ็บอีกครั้ง แต่อย่างน้อยตอนนี้นางก็มีใครสักคนที่ยินดีจะตอบคำถามนาง นางยิ้มให้เด็กหนุ่มและพูดว่า “ขอบคุณ”

 

 

เด็กหนุ่มนำทางนางมาที่มุมหนึ่งในห้องโถง โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเขาเอามาจากไหน แต่เขาเอาเก้าอี้สองตัวที่ขาหักออกมา เขาเสกคาถาง่ายๆ และเชิญให้นางนั่งพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่สมควรได้รับคำขอบคุณของอาจารย์ลุงสำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ถ้าอาจารย์ลุงมีคำถามก็ถามข้ามาได้โดยตรง ข้าไม่มีเจตนาจะโอ้อวด แต่ไม่มีใครรู้สถานการณ์แถวนี้ดีกว่าข้าอีกแล้ว”

 

 

“อย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่ทัศนคติของเขาไม่เชิงว่าถ่อมตัวหรืออวดดี ทำให้โม่เทียนเกอมีความประทับใจที่ดีต่อเขา นางพูดพร้อมรอยยิ้ม “เอาละ ถ้าเจ้าบอกข้าเรื่องที่ข้าต้องการรู้มาได้ ข้าจะให้รางวัลดีๆ กับเจ้าเป็นการตอบแทน เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”

 

 

ดวงตาเด็กหนุ่มเป็นประกาย “รางวัลดีๆ แบบไหนหรือขอรับ”

 

 

โม่เทียนเกอแบมือและพูดว่า “นี่เป็นของที่ข้าเก็บมาได้โดยบังเอิญ ถ้าเจ้าต้องการ เจ้าสามารถเอาไปใช้เองได้ แต่ถ้าเจ้าไม่ต้องการ แลกมันเป็นศิลาวิญญาณหลายร้อยอันก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่เหมือนกัน”

 

 

เด็กหนุ่มหยิบยาวิเศษสีขาวราวหิมะที่อยู่บนฝ่ามือของนางด้วยสีหน้าใคร่รู้ “นี่… ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มอย่างลึกลับและพูดว่า “ที่จริงแล้วข้าก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไรเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่านี่น่าจะเป็นยาวิเศษที่รักษาการเบี่ยงเบนของพลังวิญญาณ เจ้าไปถามผู้อาวุโสของเจ้าก่อนก็ได้ ถ้าเจ้าโชคดี มันอาจจะมีค่าเป็นเงินจำนวนมาก แต่เจ้าโทษข้าไม่ได้นะถ้าเจ้าโชคไม่ดี” นี่คือหนึ่งในยาคงพลังวิญญาณที่นางกลั่นออกมาได้ ในพวกยาวิเศษหลายประเภทที่นางมี ยานี้ถือว่ามีค่าน้อยกว่าอย่างอื่น

 

 

เด็กหนุ่มยิ้มกว้างอย่างสุขใจขณะที่เขาคว้ายาวิเศษไป “เอาละ อาจารย์ลุงไม่ต้องลังเล ท่านถามข้ามาได้ทุกอย่าง”

 

 

“มั่นใจใช่ไหมเจ้าน่ะ” เขายังไม่ได้ตอบคำถามนางแต่เขารับยาวิเศษไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

เด็กหนุ่มถือยาวิเศษไว้โดยไม่ได้ตอบ

 

 

“ข้าอยากจะถามเจ้าถึงคนสองสามคน คนแรกคือท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง พวกที่สองคือพวกศิษย์ผู้หญิงของเขา และคนสุดท้ายคือศิษย์ของอาจารย์ลุงชิงหยวน”

 

 

ดวงตาของเด็กหนุ่มส่ายไปมาขณะที่เขาครุ่นคิด จากนั้นเขาพูด “ท่านปรมาจารย์เสวียนอินถูกสั่งให้กลับไปครึ่งเดือนที่แล้ว ตอนนี้เขาน่าจะอยู่บนเขาไท่คังแล้ว ส่วนศิษย์ผู้หญิงของท่านปรมาจารย์ที่ท่านพูดถึงน่าจะเป็นอาจารย์ลุงหัน อาจารย์ลุงเว่ย และอาจารย์ลุงหลัว ใช่ไหมขอรับ”

 

 

“ถูกต้อง” โม่เทียนเกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เด็กคนนี้ค่อนข้างรู้มากทีเดียว

 

 

“ถ้าอาจารย์ลุงถามว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไร คำตอบของข้าคือไม่ค่อยดี ถ้าอาจารย์ลุงถามว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ คำตอบคือมีชีวิตอยู่ขอรับ”

 

 

โม่เทียนเกอพูดไม่ออก เจ้าเด็กคนนี้เป็นผีจอมกวนเสียจริง! แต่เขาหมายความว่าอย่างไรที่ว่า “ไม่ค่อยดี”

 

 

เมื่อสังเกตเห็นคำถามที่ไม่ได้ถามออกมาของนางอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มอธิบายอย่างจริงจัง “ข้าได้ยินสิ่งที่อาจารย์ลุงพูดกับอาจารย์ลุงค่วงจู๋ ข้าเชื่อว่าเมื่อสองปีก่อน อาจารย์ลุงคงจะอยู่ด้วยกันกับอาจารย์ลุงทั้งสามคน ข้าพูดถูกต้องไหมขอรับ” หลังจากเขาเห็นโม่เทียนเกอพยักหน้าเขาก็อธิบายต่อ “ในการต่อสู้ปีนั้น ท่านปรมาจารย์เสวียนอินมาถึงทันเวลา ดังนั้นอาจารย์ลุงทั้งสามคนจึงรอดชีวิตไปได้ อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บของอาจารย์ลุงเว่ยและอาจารย์ลุงหลัวค่อนข้างรุนแรง พวกนางจึงถูกส่งกลับไปที่เขาไท่คังทันที อันที่จริงพวกเราเป็นคนที่รักษาพวกนางในตอนนั้นเอง ส่วนอาจารย์ลุงหัน แม้ว่าตอนนั้นนางจะไม่เป็นอะไร แต่ข้าได้ยินว่านางก็บาดเจ็บเหมือนกันเมื่อหลายเดือนที่แล้ว”

 

 

“อ้อ ข้าเข้าใจล่ะ…” โม่เทียนเกอถอนใจโล่งอก ดีแล้วที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่

 

 

“ศิษย์ของท่านปรมาจารย์ชิงหยวนที่อาจารย์ลุงพูดถึง เขาชื่ออะไรหรือขอรับ”

 

 

“ชื่อของเขาคือเยี่ยจิ่งเหวิน”

 

 

“อาจารย์ลุงเยี่ย!” เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ช่างบังเอิญเสียจริง! ช่วงหลังมานี้อาจารย์ลุงเยี่ยอยู่ที่นี่กับพวกเรา อาจารย์ลุงจะสามารถพบเขาได้เร็วๆ นี้” ​​​​​​​