“ท่านอาจารย์ลุงนับว่าโชคดีแล้ว” เด็กหนุ่มเสี่ยวกู่จื่อพูดพล่ามไม่หยุด “การต่อสู้เมื่อสองปีที่แล้วเกือบจะล้มล้างโรงเรียนตานติ่ง ศิษย์เพียงแค่บางกลุ่มที่สามารถหนีออกมาได้ ตอนนี้พวกเขาต่างไร้ที่พักอาศัยและอยู่ในสถานะที่ทุกข์ยาก ดังนั้นในตอนนี้ภูเขาเทียนหัวมีเพียงศิษย์ของกลุ่มผู้ฝึกตนอื่นๆ อย่างเช่นพวกเราเท่านั้น…”
โม่เทียนเกอขัดเขา “ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วสถานการณ์ของโรงเรียนตานติ่งเป็นอย่างไรบ้าง”
เสี่ยวกู่จื่อผู้ที่ถูกขัดระหว่างเล่าเรื่องหยุดพูดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดตอบ “โอ้ โรงเรียนตานติ่ง… ช่วงเวลาที่มีการรบในปีนั้น สถานการณ์ของพวกเขาน่ากลัวมาก สัตว์ปีศาจระดับแปดหลายตัวโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทำลายโรงเรียนตานติ่งจนพ่ายส่งผลให้ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขาต้องตายลง ท้ายที่สุดปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่สองคนของโรงเรียนตานติ่งพาศิษย์ระดับหัวกะทิหนีออกไปจากเขาเทียนหัว ในช่วงเวลานั้นพวกเขาจำเป็นต้องเปิดเผยวิชาลับของโรงเรียนเพื่อเอาตัวรอด ตอนนี้ผู้ฝึกตนของโรงเรียนตานติ่งพักอยู่ชั่วคราวในบริเวณใกล้เคียงภูเขาซีหลิง”
“ข้าได้ยินว่าผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนตานติ่งหงุดหงิดเพราะเรื่องทั้งหมดนี้มาก พวกเขาอ้างว่ากลุ่มการฝึกตนอื่นไม่ช่วยเหลือ ทว่าตอนนี้โรงเรียนตานติ่งได้ตกลงมาสู่จุดนี้ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพาหกกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะหงุดหงิดแค่ไหน พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะตัดขาดและทะเลาะกับคนอื่นๆ”
โม่เทียนเกอเพลิดเพลินไปกับท่าทางภูมิใจของเสี่ยวกู่จื่อ เขาดูเหมือนกับเป็นคนประสบความสำเร็จในการทำให้โรงเรียนตานติ่งตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทว่าหกกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ต่างก็น่าจะมีทัศนคติเช่นเดียวกันกับเขา จากสถานการณ์ของโรงเรียนตานติ่งในปัจจุบัน พวกเขายับยั้งความแข็งแกร่งของโรงเรียนตานติ่งได้ไม่มากก็น้อย และในขณะเดียวกันก็ช่วยโรงเรียนตานติ่งจากการถูกล้างบาง ยิ่งไปกว่านั้นโรงเรียนตานติ่งจะต้องพึ่งพาพวกเขาในการที่จะฟื้นคืนตำแหน่งปัจจุบันที่เป็นอยู่ในอนาคต พวกเขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง ความจริงแล้วมันคงเป็นการดีที่สุดถ้าพวกเขาสามารถเปลี่ยนโรงเรียนตานติ่งให้เป็นกลุ่มผู้ปรุงยาส่วนตัวให้พวกเขาได้
แน่นอนอยู่แล้วว่าโรงเรียนตานติ่งนั้นยากที่จะต่อกรด้วย ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ยังคงมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่สองคนและรากฐานของพวกเขาอยู่ พวกเขายังคงมีโอกาสที่จะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง
เสี่ยวกู่จื่อตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นในขณะที่พูด ไม่ว่าโม่เทียนเกอจะถามหรือไม่เขาก็ยังคงพล่ามต่อไปไม่หยุด “…อาจารย์ลุง ท่านนี่เยี่ยมยอดจริงๆ ข้าได้ยินมาว่าท่านต่อสู้กับอินทรีสองหัวระดับห้าในการต่อสู้เมื่อปีนั้น แล้วตอนนี้ท่านก็อยู่ที่นี่ปลอดภัยอย่างเหลือเชื่อ!”
โม่เทียนเกอแปลกใจเช่นกัน นางถาม “เจ้าไปได้ยินมาจากที่ไหน”
ดวงตาของเสี่ยวกู่จื่อเบิกกว้าง “ท่านอาจารย์ลุงไม่รู้หรือ ที่โรงเรียนเสวียนชิงหลายคนรู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น!”
โม่เทียนเกอตะลึงงัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“ในการต่อสู้ของโรงเรียนตานติ่งปีนั้น อยู่ๆ สัตว์ปีศาจระดับห้าสองตัวก็โผล่มา ตัวหนึ่งถูกล่อให้ห่างออกไปโดยท่านอาจารย์ลุง เมื่อการต่อสู้จบลง หลายคนต่างพูดถึงว่าพละกำลังของศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงนั้นมีมากมายขนาดไหน ผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานแห่งพลังสามารถต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับห้าคนเดียวได้…” สีหน้าเสี่ยวกู่จื่อนั้นดูเต็มไปด้วยความอิจฉา แต่เขาก็พูดต่ออย่างผิดหวัง “แต่น่าเสียดาย ในตอนนั้นพอถึงเวลาที่ท่านปรมาจารย์เสวียนอินไปถึงและฆ่าสัตว์ปีศาจระดับห้าตัวนั้น ท่านก็หายตัวไปไม่มีใครพบเจอเสียแล้ว หลายคนคิดว่าท่านได้ถูกกำจัดไปแล้วจากการต่อสู้ครั้งนั้น เพราะเหตุการณ์นั้น หลังจากนั้นมาหัวหน้าโรงเรียนได้ยกย่องสรรเสริญยอดเขาวสันต์กระจ่างอย่างมากมายทีเดียว!”
“เป็นอย่างนั้นหรือ” นั่นไม่ได้หมายความว่าเราโด่งดังจากการต่อสู้ในปีนั้นเช่นนั้นหรือ
เสี่ยวกู่จื่อหัวเราะและพยักหน้า “ใช่! ตอนที่ท่านเพิ่งมาถึงและศิษย์พี่ค่วงจู๋พูดชื่อของท่าน ข้าก็จำท่านได้ในทันที! ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าท่านจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่นี่เป็นเรื่องดี! ท่านอาจารย์ลุง ท่านจะต้องได้ตกรางวัลอย่างงามเมื่อกลับไปแน่นอน!”
โม่เทียนเกอยิ้มเพียงเล็กน้อย นางไม่ได้สนใจว่าโรงเรียนจะตกรางวัลให้นางหรือไม่ ตราบใดที่โรงเรียนยังคงพึงพอใจในตัวนาง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
“อีกอย่าง” เสี่ยวกู่จื่อพูด “ท่านอาจารย์ลุงในเมื่อท่านอยู่ที่นี่ ท่านอยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน ถ้าท่านมีกิจธุระที่จะต้องทำ ท่านเพียงแค่มาหาข้าโดยตรงหรือเสี่ยวจุ้ย” ขณะที่พูดเขาก็ชี้ไปทางเด็กผู้หญิงที่กำลังยุ่งอยู่ด้านหลังเสี่ยวไป๋ผู้ซึ่งดูคล้ายกันกับเขา
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอขอบใจเจ้าไว้ล่วงหน้า” โม่เทียนเกอมีเรื่องที่นางไม่รู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไรอยู่ “จริงสิ ข้าจะต้องทำอะไรที่นี่บ้าง ข้าต้องอยู่ที่ไหน”
เสี่ยวกู่จื่อพูด “ผู้ฝึกตนในศูนย์ของเราเพียงแค่ต้องออกไปฆ่าสัตว์ปีศาจอย่างน้อยเดือนละครั้ง เวลาที่เหลือส่วนมากจะใช้อยู่ภายในศูนย์เท่านั้น” หลังจากที่เขาพูดจบ เขาตะโกนเรียกด้วยเสียงอันดัง “เสี่ยวจุ้ย!”
เมื่อได้ยินเขาเรียก หญิงวัยรุ่นที่กำลังตามหลังเสี่ยวไป๋จึงรีบวิ่งมา “ท่านพี่ มีอะไรหรือ”
เสี่ยวกู่จื่อชี้ไปทางโม่เทียนเกอและพูด “นี่เป็นท่านอาจารย์ลุงคนใหม่ที่เพิ่งมาถึง เจ้าช่วยหาที่พักให้ท่านด้วย”
“โอ้” เสี่ยวจุ้ยคำนับโม่เทียนเกอ นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูด “ท่านอาจารย์ลุงที่นี่ไม่ค่อยมีผู้ฝึกตนหญิงมากนัก ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้มีที่พักหญิงมากเช่นกัน ถ้าท่านไม่ติดอะไร ท่านพักอยู่กับข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
โม่เทียนเกอเพียงแค่ต้องการหาที่พักพิงหลังการปรากฏตัวเท่านั้น นางจะเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนในภายหลัง โดยปกติแล้วนางไม่ได้อยากอยู่ร่วมห้องกับคนอื่น ดังนั้นนางจึงพูด ถ้าการจัดหาห้องให้ข้านั้นไม่สะดวก ข้าหาที่พักที่อื่นในพื้นที่รอบๆ ได้หรือไม่”
“นี่…” เสี่ยวจุ้ยลังเล นางหันมองพี่ชายของนางครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าท่านอาจารย์ลุงไม่ถือ พวกเราก็ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ข้าหวังว่าท่านอาจารย์ลุงจะหาที่ได้ในศูนย์ของเรา หากไม่อย่างนั้น ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้น พวกเราอาจจะไม่สามารถไปถึงได้ทันเวลา…”
โม่เทียนเกอหัวเราะ “ตกลง”
ก่อนที่เสี่ยวจุ้ยจะพูดอย่างอื่นต่อ หนุ่มเสี่ยวไป๋ก็ทำท่าทางส่งสัญญาณมาทางพวกนาง
เสี่ยวกู่จื่อพูด “เสี่ยวจุ้ย ไปจัดการเรื่องของเจ้าเถอะ ข้าจะพาท่านอาจารย์ลุงไปดูรอบๆ เอง”
โม่เทียนเกอไม่ได้ปฏิเสธคำชวนของเขา ดังนั้นเสี่ยวจุ้ยจึงรีบคำนับและขอตัวลา
เมื่อเสี่ยวจุ้ยจากไป เสี่ยวกู่จื่อนำทางโม่เทียนเกอไปด้านหลังภูเขา หลังจากที่พวกเขาสองคนถึงบริเวณที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เขาก็พูดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นศูนย์ของเรา แต่ท้ายที่สุดแล้วพันธมิตรคุนอู๋คือการรวมกันของกลุ่มผู้ฝึกตนหลายกลุ่ม ในเมื่อสงครามต่อต้านสัตว์ปีศาจมาถึงจุดนี้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ความสัมพันธ์ของแต่ละกลุ่มจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสิ้นเชิง ท่านอาจารย์ลุงมาจากโรงเรียนเสวียนชิง มีพื้นที่หลากหลายที่ที่ท่านควรเลี่ยงเช่นกัน”
เมื่อได้ยินที่เขาพูด โม่เทียนเกอเพียงแค่ยิ้ม สุดท้ายแล้วนางไม่ได้มีแผนที่จะต้องเข้าใจความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือไม่ของพันธมิตรแต่อย่างใด นางถามอย่างเรียบง่าย “ว่าแต่ ศิษย์พี่ค่วงจู๋ไม่ได้จัดการงานที่นี่หรือ”
เสี่ยวกู่จื่อแสยะยิ้ม “ท่านอาจารย์ลุงคงไม่ทราบ ศิษย์พี่ค่วงจู๋เชี่ยวชาญทางด้านการปรุงยา และวิชารักษา เขาไม่ชอบที่จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นการจัดการต่างๆ จึงตกอยู่ที่ข้าและน้องสาวข้าเสี่ยวจุ้ย เขาและศิษย์พี่ไป๋มุ่งเน้นเรื่องการรักษาผู้บาดเจ็บเท่านั้น”
“เช่นนั้นหรือ” นี่ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่แปลก… “ศิษย์พี่ไป๋” ที่เสี่ยวกู่จื่อพูดถึงดูเหมือนจะเป็นหนุ่มผู้ฝึกตนขั้นต้นของการสร้างฐานแห่งพลัง คนที่ศิษย์พี่ค่วงจู๋เรียกว่า “เสี่ยวไป๋” ทำไมผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานแห่งพลังสองคนถึงมุ่งมั่นในการรักษาและปล่อยให้ศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณบริหารจัดการเรื่องต่างๆ แทนพวกเขากัน
หลังจากที่ปลีกตัวออกไปจากโลกภายนอกอยู่สองปี ความสงสัยของโม่เทียนเกอถูกกระตุ้นโดยศิษย์หนุ่มผู้ที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องทุกอย่างผู้นี้ นางถาม “เจ้าเรียกเขาว่า ‘ศิษย์พี่’ ท่านอาจารย์ลุงคนไหนที่เป็นอาจารย์ของเจ้า”
เสี่ยวกู่จื่อดูประหลาดใจเมื่อได้ยินคำถามของนาง เขาเกาหัวพร้อมพูดว่า “ท่านอาจารย์ลุงประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว ข้าและเสี่ยวจุ้ยเป็นแค่ศิษย์ทั่วๆ ไป พวกข้าไม่ได้เป็นศิษย์ของปรมาจารย์ระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังท่านใด เพราะศิษย์พี่ไป๋เป็นพี่ชายอุปถัมภ์ของพวกข้า พวกข้าเพียงแค่เรียกศิษย์พี่ค่วงจู๋ว่า ‘ศิษย์พี่’ ตามศิษย์พี่ไป๋เท่านั้น”
“พี่ชายอุปถัมภ์…” แน่นอนอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาช่างแปลกประหลาด! นางบ่นพึมพำอย่างช่วยไม่ได้ “มีพี่ชายอุปถัมภ์ในโลกแห่งการฝึกตนด้วยหรือ”
ขณะได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอบ่น ท่าทางเคร่งขรึมปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ยิ้มอยู่ของเสี่ยวกู่จื่อ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ความดีที่ศิษย์พี่ไป๋มีให้กับข้าและน้องของข้านั้นยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา ในหัวใจของข้า เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่พี่ชายอุปถัมภ์ เขายังเป็นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับข้า”
ชั่วขณะที่เขาเห็นโม่เทียนเกอจ้องมองด้วยความประหลาดใจ เสี่ยวกู่จื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองและแกล้งหัวเราะ “ความจริงแล้วความสัมพันธ์ของพวกข้าก็ไม่ได้เป็นความลับในยอดเขาจิตสันโดษเท่าไรนัก ถ้าท่านอาจารย์ลุงคิดว่าจะไม่เป็นการน่าเบื่อเกินไป ข้าก็ไม่ถือถ้าจะเล่าให้ท่านฟัง”
ดังนั้น เสี่ยวกู่จื่อจึงร่วมเดินเล่นไปกับโม่เทียนเกอรอบๆ ศูนย์ เขาอธิบายถึงพื้นที่สำคัญภายในศูนย์ให้นางในขณะที่พูดเกี่ยวกับการที่เขาลงเอยมาเป็นน้องชายอุปถัมภ์ของศิษย์พี่ไป๋ได้อย่างไร
เสี่ยวกู่จื่อผู้นี้มีชื่อจริงว่าจั่นเสี่ยวกู่ เสี่ยวจุ้ยเป็นน้องฝาแฝดของเขา จั่นเสี่ยวจุ้ย
ศิษย์พี่ค่วงจู๋และจั่นไป๋ทั้งสองมาจากตระกูลของมนุษย์ ตระกูลของทั้งสองสนิทชิดเชื้อกัน และศิษย์พี่ค่วงจู๋จะคอยดูแลจั่นไป๋เสมอ ดังนั้นศิษย์พี่ค่วงจู๋ผู้ที่มักจะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไม่แยแสค่อนข้างคุ้นเคยกับการเรียกจั่นไป๋ว่า “เสี่ยวไป๋”
ไม่นานหลังจากที่ศิษย์พี่ค่วงจู๋และจั่นไป๋เข้ามาที่โรงเรียน พวกเขากลับไปหาครอบครัวที่โลกมนุษย์ นั่นจึงทำให้พวกเขาพบเข้ากับเสี่ยวกู่จื่อและน้องสาวของเขา