ตอนที่ 129-2 หนึ่งครอบครัวกับศิษย์พี่ค่วงจู๋

ลำนำสตรียอดเซียน

ณ เวลานั้นเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยกำลังป่วยหนัก กำลังจะตายอยู่ในซากวัด เมื่อศิษย์พี่ไป๋พิจารณาถึงอาการป่วยของทั้งสอง เขาก็พบว่าทั้งสองคนครอบครองรากวิญญาณดังนั้นเขาจึงพาทั้งสองคนกลับมาที่โรงเรียน ถ้าไม่ได้เป็นเพราะความมหัศจรรย์ในฝีมือของศิษยพี่ค่วงจู๋ พวกเขาก็คงจะตายไปนานแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สองพี่น้องเติบโตมาได้จนถึงจุดนี้เพราะศิษย์พี่ไป๋ได้เสียสละเวลาในการฝึกตนของเขาชุบเลี้ยงทั้งสองคนทีละเล็กทีละน้อยอย่างไม่ลังเล 

 

 

ในขณะที่ได้ยินว่าเสี่ยวกู่จื่อและน้องสาวของเขากำพร้า โม่เทียนเกอก็พูดแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเขา 

 

 

อย่างไรก็ตาม เสี่ยวกู่จื่อก็ยืดตัวตรงและโต้ตอบในทันที “ใครบอกว่าข้ากำพร้า ศิษย์พี่ค่วงจู๋ ศิษย์พี่ไป๋ น้องสาวและข้าเป็นครอบครัวที่มีความสุขต่างหาก”  

 

 

โม่เทียนเกอระเบิดหัวเราะออกมา นางแกล้งแหย่อย่างอดไม่ได้ “ตอนที่ข้าคิดว่าเจ้ากำพร้า ข้าตั้งใจว่าจะให้ของดีแก่เจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าคงไม่จำเป็น”  

 

 

แน่นอนอยู่แล้ว เสี่ยวกู่จื่อดูเจ็บปวดใจจากคำพูดของตัวเองทันที อย่างไรก็ตามหลังจากที่อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูด “เทียบกับสิ่งดีๆ บางอย่าง ครอบครัวของข้าก็ยังสำคัญกว่า เสี่ยวกู่จื่อไม่ได้กำพร้าอยู่ดี”  

 

 

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของท่านอารองและเทียนเฉี่ยวแวบเข้ามาในจิตใจของโม่เทียนเกอทีละคนหลังจากที่นางได้ยินเสี่ยวกู่จื่อพูด 

 

 

เมื่อเห็นท่าทางที่มึนงงของนาง เสี่ยวกู่จื่อผู้ที่คุ้นเคยในการอ่านความคิดผ่านการแสดงออกและภาษากายของคนอื่นรู้ได้ในทันทีว่านางกำลังระลึกถึงใครบางคนจึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุย “พวกเราเดินเล่นกันมานานแล้ว มีสถานที่ไหนที่ถูกใจท่านอาจารย์ลุงบ้างหรือไม่ขอรับ”  

 

 

เมื่อเขาถามเช่นนี้ พวกเขาก็บังเอิญหยุดยืนอยู่หน้าห้องหินที่ค่อนข้างเงียบ ถึงแม้ว่าจะแตกหักเล็กน้อย แต่ก็ยังมีสิ่งของที่จำเป็นอยู่ เพราะนางไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเดินเล่นไปทั่ว โม่เทียนเกอจึงพูดตอบโดยไม่ได้คิดอะไร “ที่นี่ก็พอใช้ได้”  

 

 

จากกระเป๋าเอกภพของเขา เสี่ยวกู่จื่อหยิบหยกบันทึกสีขาวที่สลักตราโรงเรียนเสวียนชิงออกมาและแขวนไว้ที่ประตูห้องหิน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาละอายใจเล็กน้อยเพราะเขาทำให้ท่านอาจารย์ลุงเศร้าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเขาจึงลังเลที่จะเดินกลับไป 

 

 

เมื่อเห็นเสี่ยวกู่จื่อพูดและทำในสิ่งที่เขาต้องการเสร็จแล้วแต่ยังไม่ยอมกลับ โม่เทียนเกอจ้องมองที่เขา เสี่ยวกู่จื่อผู้มีวาจาคมคายรีบพูดอย่างตะกุกตะกัก “ถ้าท่านอาจารย์ลุงรู้สึกเบื่อที่ไม่มีเพื่อน ท่านสามารถไปที่บ้านของพวกเราเพื่อเล่นได้นะขอรับ”  

 

 

โดยที่ไม่รอคำตอบของโม่เทียนเกอ เขารีบหนีและหายไปจากสายตาของโม่เทียนเกออย่างรวดเร็ว 

 

 

โม่เทียนเกอยิ้ม ทว่าเมื่อนางเห็นฝุ่นที่ปกคลุมไปทั่วห้องที่ผุพัง ท่าทางของนางก็ดูมัวหมอง หลังจากที่นางทำความสะอาดห้องที่ชำรุดทรุดโทรมและวางม่านพลังป้องกันนางจึงเข้าไปสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน 

 

 

ทันทีที่นางเข้าไปในกระท่อมของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวจ้อยก็วิ่งเข้ามาหานาง มันหมอบอยู่ข้างๆ นางและเริ่มที่จะส่งเสียง “วู้ๆๆ”  

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอลูบที่หน้าผากของสัตว์วิเศษไฟนรก นางก็พบว่ามันพยายามที่จะเบียดตัวเองให้เข้าไปในกระเป๋าสัตว์วิญญาณของนาง มันพยายามทำตัวโค้งงอไปที่เอวของนาง 

 

 

โม่เทียนเกอถามอย่างตกตะลึง “เจ้าอยากออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ”  

 

 

เจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยเงยหน้าและส่งเสียงร้อง “วู้ๆ” อีกครั้ง สายตาของมันช่างน่าสงสารอย่างมาก 

 

 

โม่เทียนเกอนิ่งเงียบครู่หนึ่ง หลังจากนั้นนางจึงลูบหัวมันและถอนใจ “กลายเป็นว่าเจ้าก็รู้สึกเหงาเป็นเหมือนกันสินะ”  

 

 

ผ่านมาก็สองปีแล้วตั้งแต่ที่นางย้ายเจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยนี้เข้ามาที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ถึงแม้ว่าจะมีแมลงบ้างเล็กน้อยเช่น ผีเสื้อ และแมลงบินได้อื่นๆ มันก็ไม่มีสัตว์วิเศษอื่นอีก คงเป็นเรื่องปกติที่มันจะรู้สึกโดดเดี่ยว ตัวนางเองก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือ 

 

 

นางเข้าร่วมการจลาจลของสัตว์ปีศาจเพราะนางรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนั้นหรือ? ความโดดเดี่ยวเช่นนี้ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับจิตใจแห่งลัทธิเต๋า ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนต้องการการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันเพื่อสัมผัสถึงความสุขของการมีชีวิตอยู่ 

 

 

อย่างไรก็ตาม ท่าทางของสัตว์วิเศษไฟนรกช่วยให้นางมีความคิดหนึ่งขึ้นมา 

 

 

“ข้างนอกมันอันตรายมาก ข้ายังพาเจ้าออกไปตอนนี้ไม่ได้ แต่ข้าสามารถพาเพื่อนมาอยู่กับเจ้าได้ เจ้าคิดว่าอย่างไร”  

 

 

สัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยเงยหน้าขึ้นจ้องมองที่โม่เทียนเกอด้วยดวงตาดำกลมโตน้ำตาคลอก่อนที่จะส่งเสียงร้องอย่างมีความสุข 

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะ ลูบหัวมันและหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตนอีกครั้ง 

 

 

อย่างไม่คาดคิด คำพูดของเสี่ยวกู่จื่อสะท้อนก้องอยู่ในจิตใจของนางจนทำให้ไม่มีสมาธิ แต่สำหรับคนที่เข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้แล้วนั้น โม่เทียนเกอสามารถทำให้จิตใจของนางสงบนิ่งได้ภายในเสี้ยววินาที 

 

 

เมื่ออรุณรุ่ง โม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ถึงเครื่องรางเรียกขานที่ลอยมายังที่พักของนาง นางจึงหยุดฝึกตนและออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน 

 

 

มันคือเครื่องรางเรียกขานที่ส่งมาจากเสี่ยวกู่จื่อเพื่อบอกว่าเขาใส่ชื่อของนางเข้าไปในรายนามผู้ฝึกตนสันเขาเฉียนเหมินผู้ซึ่งจะร่วมต่อสู้กับเหล่าสัตว์ปีศาจและเขาได้แจ้งโรงเรียนแล้ว แล้วยังได้มีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามในปัจจุบันมาบอกด้วยเช่นกัน 

 

 

เมื่อรับทราบเนื้อหา โม่เทียนเกอเพียงแค่ตอบกลับสั้นๆ และจัดระเบียบสิ่งของต่างๆ ต่อก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง 

 

 

เสี่ยวกู่จื่อบอกว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดอยู่ที่ขอบเขตของสำนักเทียนเต้า ตั้งแต่ที่โรงเรียนตานติ่งแตกพ่ายและย้านถิ่นฐานไป ภูเขาเทียนหัวก็กลายเป็นสถานที่ที่ถูกลืม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือสัตว์ปีศาจต่างก็มีเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น 

 

 

ความคิดแวบเข้ามาในหัวของโม่เทียนเกอ ในเมื่อสถานการณ์ปัจจุบันเป็นเช่นนี้ การจับสัตว์ปีศาจตัวเล็กๆ ก็ปลอดภัยที่สุดจริงไหม 

 

 

นางตัดสินใจโดยไม่รอช้า เมื่อนางแจ้งเสี่ยวกู่จื่อ นางจึงควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและบินตรงไปที่ป่าทันที 

 

 

เพราะการต่อสู้ด้วยพลังเวทที่เกิดขึ้น สัตว์ปีศาจที่ปกติมักจะอยู่แถวนั้นต่างถูกจับไม่ก็ย้ายถิ่นฐานไป นางใช้จิตสัมผัสของนางในการหาอยู่นานแต่ก็ไม่สามารถเจอร่องรอยของสัตว์ปีศาจได้ 

 

 

โม่เทียนเกอหยุดอยู่กลางอากาศ ใช้จิตสัมผัสของนางอย่างตั้งใจตรวจสอบพื้นที่รอบๆ จิตสัมผัสของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังกินพื้นที่ได้ตั้งแต่หลายลี้ถึงหลายสิบลี้ อย่างไรก็ตามเพราะนางฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ จิตสัมผัสของโม่เทียนเกอจึงแข็งแกร่งมากกว่าผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป จิตสัมผัสของนางสามารถส่งไปได้ถึงเกือบร้อยลี้!  

 

 

ตอนนี้นางตั้งใจในการตรวจสอบพื้นที่โดยค่อยๆ ขยายจิตสัมผัสของนางออกไป ในที่สุด นางก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณอ่อนๆ จากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 

 

 

อย่างไรก็ตาม สถานที่ที่นางสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณนั้นอยู่นอกขอบเขตของจิตสัมผัสของนาง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่ามาจากสัตว์ปีศาจหรือผู้ฝึกตน 

 

 

สำหรับโม่เทียนเกอผู้ซึ่งอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วนั้น ระยะทางร้อยลี้ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะโม่เทียนเกอไม่ได้สัมผัสถึงความผันผวนของพลังวิญญาณอื่นนอกจากที่นี่ นางจึงตัดสินใจที่จะลองไปตรวจสอบดู จึงควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 

 

 

เมื่อนางเดินทางไม่กี่ลี้จะถึงแหล่งความผันผวนของพลังวิญญาณ โม่เทียนเกอจึงเริ่มระมัดระวังตัว อีครั้งหนึ่งที่นางปล่อยจิตสัมผัสเพื่อตรวจสอบพื้นที่ อย่างไรก็ตามหลังจากที่นางทำเช่นนั้น นางก็ต้องตกใจ ความผันผวนของพลังวิญญาณนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับสัตว์ปีศาจ มันเกิดขึ้นเพราะมีคนกำลังต่อสู้กันด้วยพลังเวท!  

 

 

ด้วยพลังวิญญาณของคนหลายคน ความตั้งใจที่จะฆ่าปรากฏได้อย่างชัดเจน ในทางกลับกัน พลังวิญญาณที่เป็นของคนที่กำลังถูกโอบล้อมนั้นให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยสำหรับนาง 

 

 

ด้วยความตกใจ โม่เทียนเกอรีบควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวให้เร็วขึ้นและรีบไปยังแหล่งของพลังวิญญาณที่ผันผวนนั้น นางกำลังคาดเดาว่าผู้นั้นคือใคร ในความคิดของนาง นางค่อยๆ ตัดศิษย์พี่ของนางที่คุ้นเคยออกทีละคนแต่… 

 

 

ทันใดนั้น โม่เทียนเกอนึกขึ้นถึงหนึ่งคน เยี่ยจิ่งเหวิน!  

 

 

เมื่อวานนี้เสี่ยวกู่จื่อพูด “ก่อนหน้านี้ ท่านอาจารย์ลุงเยี่ยอยู่กับพวกข้า ท่านอาจารย์ลุงจะได้พบเขาในไม่ช้า”  

 

 

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เสี่ยวกู่จื่อพูดไว้ “ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้ฝึกตนภายในพันธมิตรคุนอู๋นั้นไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนัก” เป็นการพูดน้อยกว่าความจริงอย่างมาก 

 

 

เวลานานมากแล้วที่นางและศิษย์พี่เยี่ยเจอกันครั้งสุดท้าย แล้วนี่พวกเขาจะต้องเจอกันภายใต้สถานการณ์เช่นนี้น่ะหรือ