บทที่ 635 ผลผลิต
ตอนนี้ลูเซียนอยู่ในสภาพกึ่งกลับกึ่งตื่น เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายกำลังลอยละล่อง และเสียงทุกเสียงนั้นดังมาจากที่ห่างไกล ราวกับว่าเสียงเหล่านั้นกว่าจะมาถึงหูเขาได้ ต้องฝ่าฟันผ่านโลกจำนวนนับไม่ถ้วนเสียก่อน

ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่น้ำเสียงเจ็บปวดและผิดปกติของ ‘เออร์วิน’ ดังเข้ามาในโสตประสาทของลูเซียน เขาจึงใช้เวลาหลายวินาทีก่อนจะตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น

‘มงกุฎสุริยันงั้นหรือ’

‘เออร์วิน เนตรศักดิ์สิทธิ์ รู้จักเครื่องรางมงกุฎสุริยันด้วยงั้นหรือ’

‘แถมเขายังทำท่าทางผิดปกติจนน่าขนลุกอีกด้วย!’

เวทมนตร์คาถามากมายคล้ายกับจะระเบิดอยู่ภายในสมองอันเฉื่อยชาของลูเซียน แรงสั่นสะเทือนจากส่วนลึกที่สุดภายในดวงจิตของเขาแผ่วงกว้างและฉุดดึงสติให้ฟื้นคืนกลับมาครู่หนึ่ง เขาถามออกไปด้วยเสียงอันสั่นเทาและแหบโหยเพราะความเหลือเชื่อ “ท่าน…มาสเกลีน?”

“อ๊ากกกก!” ทันทีที่เขาได้ยินชื่อมาสเกลีน เออร์วินก็ยกมือขึ้นกุมศีรษะและกรีดร้องโหยหวน ราวกับว่าเขากำลังเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด

สายลมโชยอ่อนและแสงอาทิตย์ร้อนระอุรอบกายเขาพลันหลุดจากการควบคุม มันกลายเป็นคมมีดสายลมและศรแสงที่บินว่อนไปทั่วทั้งห้องโถง

สติของลูเซียนที่คืนกลับมาครู่หนึ่งถูกพลัง ‘สายลมคืนสุข’ สะกดข่มอีกครั้ง ในใจเขาดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่เขากลับไม่อาจครุ่นคิดอะไรได้ ในตอนนั้นเอง คมมีดแห่งสายลมและศรแสงก็กระแทกโดนตัวเขาอย่างไม่ละเว้น บางส่วนยังถึงกับฝ่าพลังป้องกันของเสื้อคลุมมหาจอมเวทเข้ามาสร้างบาดแผลไว้บนตัวเขาอีกด้วย

ปากแผลทั้งหลายเปิดกว้าง แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยด เพราะหากไม่ถูกแสงสว่างทำให้ระเหยหายก็ถูกสายลมพัดพาจนแห้งเหือดไป ความเจ็บปวดเหลือคณานี้ช่วยให้ลูเซียนสะกดข่มพลังสายลมคืนสุขและแสงแห่งสวรรค์ได้อีกครา เขาพร้อมแล้วที่จะเปิดประตูดำทางด้านหลังและต่อสู้เพื่อความอยู่รอด เพราะเห็นได้ชัดว่าตอนนี้เออร์วินมิได้อยู่ในสภาพที่เหมาะแก่การพูดคุยสื่อสารสักเท่าใด

น่าเสียดายที่พลังแสงแห่งสวรรค์เป็นพลังในระดับมนุษย์ครึ่งเทพ แม้ว่ามันจะไม่ได้รับการเสริมพลังอีกต่อไปและถูกเวทมนตร์ลดทอนพลังส่วนใหญ่ไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ลูเซียนก็ยังไม่อาจกำจัดอิทธิพลด้านลบออกไปได้เมื่อเขาได้รับผลกระทบจากพลังสายลมคืนสุขอย่างรุนแรง ดังนั้น ยังไม่ทันที่เขาจะได้เปิดประตูทางด้านหลัง พลังจิตและดวงจิตของเขาก็กลับมาเชื่องช้าอีกครั้งแล้ว

ปัง เมื่อเสียงร่างของลูเซียนกระแทกกับประตูดำดังเข้าโสตประสาทของเออร์วิน ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของเขาก็พลันหยุดชะงัก ราวกับนาฬิกาที่ส่งเสียงดังอย่างบ้าคลั่งถูกกดปิดการทำงาน คมมีดสายลมและศรแสงทั่วทั้งห้องโถงหายลับไปในทันใด

เออร์วินเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเขายังคงบิดเบี้ยว และดวงตาที่เคยลึกล้ำประดุจจักรวาลก็กลับกลายเป็นว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง หยาดน้ำตาสีทองไหลลงจากทางหางตา มันส่องประกายดูศักดิ์สิทธิ์พิกล เขาพึมพำเสียงแผ่ว “อย่าเข้ามาใกล้ข้า! อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ!”

‘นั่นหมายความว่าไงกัน’ ลูเซียนครุ่นคิดด้วยสมองที่เฉื่อยชา

เออร์วินดูเหมือนกำลังพยายามควบคุมตัวเองและไม่พูดอะไรออกมาอีก เขากระพรือปีกอันงดงามสูงส่งทั้งสามคู่บนแผ่นหลัง แล้วแสงสีขาวงาช้างก็อาบไล้ไปทั่วร่างของลูเซียน ให้ความรู้สึกดั่งความรักของมารดา มันทั้งอบอุ่นและสุขสงบยิ่ง

อาการง่วงงุนหายไปในฉับพลัน ลูเซียนรู้สึกสดชื่นราวกับเพิ่งเข้าฌานสมาธิเสร็จ เออร์วินเลิกใช้พลัง ‘สายลมคืนสุข’ แล้ว!

เมื่อไร้พลังสะกดข่มนั้น ลูเซียนก็สามารถควบคุม ‘แสงแห่งสวรรค์’ ได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าอิทธิพลของมันจะยังไม่หายไปทั้งหมด แต่เขาก็กลับสู่สภาวะก่อนที่เขาจะต่อสู้กับ ‘เออร์วิน’ แล้ว ตอนนี้เขาสามารถร่ายคาถาเวทมนตร์ชั้นตำนานหรือหยิบดาบแห่งสัจธรรมหลังแปลงกายเป็นอัศวินชั้นตำนานได้แล้ว

ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งนาทีนั้น ลูเซียนต้องเผชิญกับความรู้สึกเปี่ยมด้วยความหวัง ดิ้นรน และกลับมามีหวังอีกครั้ง เขาเหนื่อยล้าอ่อนแรงอย่างยิ่งหลังจากหลบพ้นปากเหวแห่งความตายมาได้ แต่เขายังได้เรียนรู้อะไรหลายๆ ด้วยเช่นกัน

‘เออร์วินอาจจะเป็นท่านมาสเกลีน แต่ดูจากรูปลักษณ์แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกใครสักคนสร้างให้เป็นทูตสวรรค์เสราฟิมทั้งเป็น จิตสำนึกและความทรงจำในระดับผิวเผินถูกลบไป แล้วสร้างบุคลิกลักษณะแบบใหม่ขึ้นมาพร้อมกับคำสาปและข้อผูกมัดหลายๆ อย่าง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงดูสับสนขัดแย้งและเจ็บปวดถึงขนาดนั้นตอนที่จิตใต้สำนึกของเขาตื่นขึ้น!’

หลังจากที่สมองของเขากลับมาโปร่งโล่งสบาย ความสามารถในการคิดระดับมหาจอมเวทก็กลับมาเช่นกัน ทำให้ลูเซียนวิเคราะห์สถานะของเออร์วิน หรือมาสเกลีนได้

ลูเซียนรู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อคิดถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับบุรุษตรงหน้านี้ เขาเองก็คงไม่ได้มีจุดจบที่ดีไปกว่ากันหากถูก ‘สัตว์ประหลาด’ จับตัวได้! เขายอมตายเสียดีกว่าจะยอมรับจุดจบแสนทุกข์ทรมานนี้ จะยังมีอะไรโหดร้ายไปกว่าการที่คนผู้หนึ่งถูกลบจิตสำนึกออกไป เหลือเพียงกายหยาบไว้ให้ใช้ชีวิตต่อไปในฐานะเปลือกกลวงๆ อีกเล่า

แน่นอนว่าเขาไม่ใช่มาสเกลีน ผู้ที่ใช้กระจกแห่งชะตาทำนายว่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นกับตนเอง จึงทิ้งเครื่องรางมงกุฎสุริยันไว้ ด้วยหวังว่าจะมีคนสักผู้หนึ่งมาปลุกจิตสำนึกที่อยู่ในส่วนลึกของรากฐานดวงจิตเขา หากว่าลูเซียนจะต้องลงเอยเป็นเหมือนเขา มันคงจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เขาจะฟื้นคืนกลับมา

‘ดูเหมือนว่ามงกุฎสุริยันจะเกี่ยวข้องกับความทรงจำอันล้ำค่าของท่านมาสเกลีนอย่างมาก เพราะอย่างนี้ จิตสำนึกส่วนลึกของเขาจึงฟื้นคืนกลับมาทันทีที่สัมผัสถึงมันได้’ ลูเซียนได้ตรวจสอบดูเครื่องรางชิ้นนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนหลังจากที่เขากลายเป็นนักเวทชั้นตำนาน และจากที่เขาตรวจดูแล้ว เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีอะไรซ่อนอยู่ภายในมงกุฎสุริยันอีก เขาจึงได้สรุปออกมาเช่นนั้น

มันเป็นเหมือนกับของที่ใช้ในการบำบัดด้วยการสะกดจิต แล้วผู้ที่ถูกสะกดจิตจะตื่นขึ้นทันทีที่พวกเขาเห็นของนั้นๆ ‘ดูเหมือนว่าท่านมาสเกลียจะฝังคำบอกใบ้ทางจิตใจเอาไว้ในตัวมากมายตอนที่เขาถูกสร้างให้เป็นทูตสวรรค์เสราฟิม’

‘ตอนที่เขาบอกว่าอย่าเข้าไปใกล้เขา เขาอาจจะหมายความตามนั้นจริงๆ ก็ได้ ถ้าเกิดคนแปลกหน้าเข้าไปใกล้เกินไป สัญชาตญานในการป้องกันตัวของร่างกายเขาอาจถูกกระตุ้น และบุคลิกของ “เออร์วิน” ก็จะกลับมามีพลังเหนือกว่า “มาสเกลีน” อีกครั้ง ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็จะตกอยู่ในอันตรายอีกรอบ’ ลูเซียนวิเคราะห์สถานการณ์ก่อนหน้านี้และตัดสินใจว่าคำพูดของเขาจะต้องไม่ไปกระตุ้น ‘เออร์วิน’ หลังจากช่างใจว่าจะใช้น้ำเสียงแบบใดดี เขาก็กล่าวว่า “ข้าได้มงกุฎสุริยันกับบันทึกมาจากมิติมหากางเขน และข้าก็เข้ามาที่นี่หลังจากกลายเป็นนักเวทชั้นตำนานตามที่ให้สัญญาไว้ขอรับ”

สายตาของเออร์วินทั้งว่างเปล่าและเหม่อลอย แต่ริมฝีปากของเขากลับหยักโค้งขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้มแสนทุกข์ทรมาน “ในที่สุดเจ้าก็มา ผู้ไร้ศรัทธาที่ร่อนเร่ไปมาระหว่างแสงสว่างและความมืดมิด”

น้ำเสียงเขายังคงฟังดูอิดโรยและเจ็บปวดขื่นขมเหมือนก่อนหน้านี้

ฮู่ว ลูเซียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดเขาก็ยืนยันได้จากคำตอบนั้นว่าบุรุษผู้นี้คือมาสเกลีน! ด้วยตรรกะเดียวกันนี้ ทูตสวรรค์เสราฟิมทั้งห้าและราชาทูตสวรรค์ก็ต้องเป็นนักเวทชั้นตำนานทั้งหก จำนวนนั้นช่างลงตัวเหมาะเจาะยิ่ง

“มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยท่านได้ไหมขอรับ” ลูเซียนพยายามไม่เอ่ยถึงสัตว์ประหลาด ราชันย์แห่งสุริยาหรือธานอส

มาสเกลีนตอบด้วยท่าทางราวกับกำลังละเมอ “ข้าได้แต่ทำนายว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น แต่ไม่รู้เลยว่ามันจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ ตอนนี้ข้าแทบจะหลบหนีไปไหนไม่ได้แม้ว่าตัวตนที่แท้จริงของข้าจะตื่นขึ้นแล้วก็ตาม เจ้าเองก็เช่นกัน จงออกไปจากที่นี่เสีย ค่อยกลับมาใหม่เมื่อเจ้าเลื่อนระดับเป็นมนุษย์ครึ่งเทพแล้วเถิด”

“แต่ข้าถูกสัตว์ประหลาดเหนี่ยวรั้งให้อยู่ที่นี่เสียแล้ว ข้าจำต้องรู้ความลับของมันหากว่าข้าอยากจะออกไปขอรับ” ระหว่างที่เขาพูด ลูเซียนก็เตรียมตัวว่ามาสเกลีนอาจสูญเสียการควบคุมตัวเองได้ทุกเมื่อ

เขาคงจะถูกสัตว์ประหลาดของราชันย์แห่งสุริยาสร้างเป็นให้ทูตสวรรค์เสราฟิมในตอนแรก หรือเปล่านะ

ในขณะที่ลูเซียนสังเกตอาการอีกฝ่ายอย่างจดจ่อเคร่งเครียด มาสเกลีนก็ยกมือขึ้นกุมศีรษะอีกครั้งดังที่คาดการณ์ไว้ ใบหน้าของเข้าบิดเบี้ยวจนดูสยดสยอง และกว่าเขาจะสงบลงก็เป็นเวลานานทีเดียว จากนั้นเขาก็ร่ายเวทใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ “ของขวัญจากพระเจ้า!”

แสงศักดิ์สิทธิ์เลือนรางตกกระทบร่างของลูเซียนพร้อมกับเสียงเพลงสรรเสริญแสนไพเราะ กลิ่นอายแห่งชีวิตอันเข้มข้นทำให้ลูเซียนเชื่อว่านี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่จะกำจัดอิทธิพลด้านลบและรักษาบาดแผล ดังนั้นเขาจึงไม่ขัดขืนต่อต้านด้วยคทาอวกาศ

นอกเหนือจากพลังชั้นตำนานอย่าง ‘ศาสตร์ศิลป์แห่งการคืนชีพ’ แล้ว ‘ของขวัญจากพระเจ้า’ นับว่าเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดในการรักษา ลูเซียนรู้สึกว่าบาดแผลทุกจุดได้รับการรักษาด้วยความรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ แสงแห่งสวรรค์ที่ซึมซาบทั่วร่างเขาพลันหายไป แม้ว่ามันจะมีระดับสูงกว่า ‘ของขวัญจากพระเจ้า’ แต่มันก็ไม่ได้รับพลังสนับสนุนอีกต่อไป และทูตสวรรค์เสราฟิมที่เข้าใจโครงสร้างของมันเป็นอย่างดียังเป็นผู้สลายมันด้วยตนเองอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ เพียงสิบวินาทีให้หลัง ลูเซียนจึงหลุดพ้นจากอิทธิพลของมันโดยสิ้นเชิง

พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นมหัศจรรย์มากเสียจนกระทั่งไรห์นยังพลอยได้รับการรักษาไปด้วย ผลกระทบจากพลังแสงแห่งสวรรค์หายไปแล้ว และเขาก็มิได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นมาแต่อย่างใด แตกต่างจากพลังศักดิ์สิทธิ์สำหรับการรักษาทั่วๆ ไปอย่างยิ่ง

“ข้าถูกควบคุมด้วยวิธีการที่ทรงพลังอำนาจหลากหลายวิธี และข้าก็ไม่อาจพูดถึงเรื่องบางเรื่องได้ มิเช่นนั้นข้าจะระเบิดพลังทำลายตนเองทันที” คำตอบของมาสเกลีนเป็นไปตามที่ลูเซียนคาดการณ์ไว้ “จงไปที่ห้องทดลอง ข้าทิ้งกระจกแห่งชะตาเอาไว้ก็เพื่อนำทางเจ้าไปยังห้องทดลองนั้น หากเจ้าค้นพบสมุดบันทึกและสิ่งของได้มากพอ เจ้าก็ควรจะไขความลับบางประการได้และเข้าใจถึงวิธีการหลบหนีไปจากที่นี่”

ฮู่ว ลูเซียนสูดหายใจเข้าด้วยความโล่งอกอีกครั้ง มันมีวิธีตบตาหรือหลีกเลี่ยงสัตว์ประหลาดอยู่จริงๆ!

“น่าเสียดายจริงๆ ขอรับที่เนื้อหาส่วนสำคัญในสมุดบันทึกของท่านขาดหายไป มิเช่นนั้นเรื่องทั้งหมดคงจะไม่ลึกลับซับซ้อนเหมือนอย่างที่เป็นในตอนนี้แน่” ลูเซียนตั้งข้อสังเกตด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย

ริมฝีปากของมาสเกลีนขยับ พร้อมกับที่ดวงตาของเขาฉายแววหวาดกลัวอีกครา ราวกับว่าเขาถูกย้ำเตือนให้นึกถึงฝันร้ายที่น่าหวาดผวาที่สุด เขาตะโกนออกมาด้วยท่าทางเจ็บปวดขื่นขม “ไม่ใช่เขา เป็นเขา! ไม่ใช่เขา เป็นเขา!”

คล้ายกับว่าเขาจะหลุดจากการควบคุม คมมีดสายลมและศรแสงกลับมาบินว่อนทั่วห้องโถงอีกครั้ง ทว่า ลูเซียนหาได้ไร้หนทางต่อต้านเหมือนเมื่อครู่ก่อนแล้ว เขาใช้คทาอวกาศสร้างกำแพงห้วงอวกาศขึ้นมาเพื่อป้องกันตนเอง

‘ไม่ใช่เขา เป็นเขา อย่างนั้นรึ นี่มันกำกวมมากจริงๆ…’ ทั้งสอง ‘เขา’ ต่างก็เป็นคำสรรพนามใช้เรียกบุรุษในภาษาโบราณของจักรวรรดิเวทมนตร์ซิลวานาส มันหาได้มีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ของลูเซียนแต่อย่างใด เพราะเขาไม่รู้ว่าผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งของมาสเกลีนคือผู้ใดกันแน่

ผ่านไปครู่หนึ่ง มาสเกลีนก็เอาชนะ ‘ตัวเอง’ ได้อีกครั้ง เขาหยิบเอาขาข้างหนึ่งของหุ่นเชิดออกมา แล้วโยนให้ลูเซียน “จงไปที่ห้องทดลอง จงไปที่ห้องทดลอง สักวันหนึ่ง เจ้าจักเข้าใจเรื่องทุกอย่างจากบันทึกการทดลอง”

“เหตุใดท่านจึงเชื่อว่าบันทึกการทดลองจะยังอยู่ในห้องนั้นเล่า พวกมันยังไม่ถูกทำลายหรือขอรับ” ลูเซียนก้มลงหยิบขาหุ่นเชิดขึ้นมา มึนคืออีกหนึ่งชิ้นส่วนที่แม็คลอยด์ทิ้งไว้จริงๆ

ริมฝีปากของมาสเกลีนหยักโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขื่นขมอีกครา “ความจริงที่ว่าเจ้าค้นพบกระจกแห่งชะตาและสมุดบันทึกเวทมนตร์ของข้า บ่งชี้ว่าบันทึกการทดลองส่วนหนึ่งยังคงถูกทิ้งไว้ในห้องทดลองนั้น”

และสุดท้าย เขาก็กล่าวเสริมว่า “บางครั้ง ผู้ที่เจ้าคิดว่าเป็นศัตรู แท้จริงแล้วอาจเป็นมิตรที่ดีที่สุดของเจ้าก็เป็นได้”

มันยังคงเป็นถ้อยคำซับซ้อนยากจะเข้าใจ ลูเซียนไม่รู้เลยว่าจะตีความคำแนะนำสุดท้ายของมาสเกลีนว่าอย่างไรดี

มาสเกลีนไม่รอให้ลูเซียนถามอะไรอีก ดูเหมือนว่าเขาแทบจะไม่สามารถสะกดข่มบุคลิกของ ‘เออร์วิน’ ได้อีกต่อไป เขากางปีกเทวทูตบนแผ่นหลังและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นาฬิกาทรายแห่งพระเจ้า!”

นาฬิกาทรายอันบริสุทธิ์ผุดผ่องปรากฏขึ้นกลางอากาศ ซึ่งข้างในนั้นมีเม็ดทรายทอประกายเจิดจรัสร่วงหล่นจากบนลงล่าง กาล-อวกาศในบริเวณนั้นพลันเปลี่ยนไปและเดินเร็วเทียบเท่ากับโลกภายนอก

“รีบฟื้นฟูรักษาตนเองเสีย นี่เท่ากับไม่กี่นาทีของส่วนอื่นๆ ในทวารานาจักร ข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ และทำได้เพียงเปลี่ยนแปลงไปตามโลกหลักเท่านั้น” มาสเกลีนเดินไปเปิดประตูดำอย่างยากลำบากก่อนจะจากไป เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการมอบเวลาให้ลูเซียนฟื้นฟูตนเองให้หายดี บางที เขาอาจกลับกลายเป็นเออร์วิน เนตรศักดิ์สิทธิ์ อีกครั้งเมื่อเขากลับมา!

ไม่กี่นาทีภายในทวารานาจักร…นั่นถือว่าเพียงพอจะให้นาฬิกาจันทรากาล เสื้อคลุมมหาจอมเวท และโล่แห่งสัจธรรมฟื้นคืนพลังกลับมา!

ลูเซียนกลับมาสดชื่นเปี่ยมความหวังและความมุ่งมั่นอีกครั้ง ‘ห้องทดลองของธานอส ฉันกำลังไปหาแล้ว!’

…………………………………