บทที่ 636 ภัยคุกคาม
อาจเพราะมาสเกลีนกลบร่องรอยให้กับทั้งสอง จึงมิมีผู้ใดมารบกวนการฟื้นฟูพลังของลูเซียนกับไรห์น ซึ่งช่วยให้พวกเขารอดมาจากช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาอย่างราบรื่น

‘ถึงแม้ถุงมือมัมมี่จะใช้การไม่ได้แล้ว แต่ฉันก็ยังมีโล่แห่งสัจธรรมอยู่ บางครั้ง โล่แห่งสัจธรรมยังเป็นเครื่องป้องกันที่ดีกว่าด้วยซ้ำ’ ลูเซียนหยิบโล่แห่งสัจธรรมออกมาจากห้องแปรธาตุแบบพกพาแล้วใส่ถุงมือมัมมี่ลงไปแทน

หากเป็นการป้องกันด้านกายภาพ ใช้ถุงมือมัมมี่ย่อมดีกว่า แต่การป้องกันของโล่แห่งสัจธรรมนั้นมีพื้นฐานมาจากเวลาและอวกาศ มันจึงแตกร้าวได้ยาก นอกจากนี้ มันยังไม่ทำให้กระบวนการคิดของเขาช้าลงเหมือนกับถุงมือมัมมี่ ซึ่งนับเป็นความรู้สึกที่ไม่น่าพิสมัยนักสำหรับจอมเวทผู้ไม่อาจเอาตัวรอดได้โดยไม่ใช่สมอง

ไรห์นกลับมาสู่รูปลักษณ์มนุษย์แล้ว เขาทำความสะอาดคอปกเสื้อกับเส้นผมสีเงินยาว ราวกับกำลังจะออกไปรับประทานมื้อค่ำ “บาดแผลข้าเกือบหายดีแล้ว เว้นเสียแต่บาดแผลต้องคำสาปที่สัตว์ประหลาดนั่นฝากไว้ในตอนแรก แม้ว่าเราจะบังเอิญเจอกับอีวาน ก็ยังมีโอกาสที่เราจะหลบหนีไปได้โดยสมบูรณ์ครบถ้วน”

“เช่นนั้นเรารีบออกไปจากที่นี่กันเถิดขอรับ ผู้ที่จะกลับมาอีกครั้งอาจเป็นเออร์วินก็ได้” ลูเซียนตรวจดูเสื้อคลุมมหาเวท นาฬิกาจันทรากาล และแหวนคอนกัสอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน

ไรห์นพยักหน้า “แม้ว่าข้าจะไม่กลัวหากต้องต่อสู้กับเออร์วินในยามนี้ แต่ทูตสวรรค์เสราฟิมทั้งหกอาจจู่โจมเราพร้อมๆ กันก็ได้หากว่าหนึ่งในนั้นหยุดพวกเราไว้ ดูจากที่พวกมันเข้าใจทวารานาจักรเป็นอย่างดีแล้วน่ะนะ แล้วยังมีหุบเขาวิมานอยู่ใกล้ๆ กันนี้อีก พวกนั้นยิ่งอัญเชิญภาพมายาสะท้อนมาได้ง่ายดายกว่าเดิม พวกมันแข็งแกร่งกว่าปกติครึ่งขั้นแทบจะทุกตนยามอยู่ที่นี่”

“ข้าไม่รู้เลยว่าหุบเขาวิมานจะอยู่ภายในทวารานาจักร…” ลูเซียนเปิดประตูดำบานหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าออกไป พร้อมกับสัมผัสได้ถึงเวลาที่เดินช้าลง

ไรห์นตามมาติดๆ “ว่ากันโดยพื้นฐานแล้ว หุบเขาวิมานคือความวาดหวังอันสวยงามเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายของมนุษย์ส่วนใหญ่ แต่มันก็นับเป็นความตายอย่างหนึ่งเช่นกัน เหอะๆ จากความตายและความดำมืดที่ลึกล้ำหนักอึ้งที่สุด ความสว่างไสวกับสิ่งมีชีวิตแสนอุดมสมบูรณ์และบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดได้ถือกำเนิดขึ้น…”

“แต่คำถามก็คือ หุบเขาวิมานเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือว่ามีความเกี่ยวข้องกับการทดลองของท่านธานอสและท่านมาสเกลีนกันแน่…” ลูเซียนแสดงข้อสงสัยของตน ในขณะเดียวกันนั้น ภายในโลกแห่งปัญญาของเขา ดาวหลักแห่งเทวลิขิตก็เริ่มหมุนตัวเอง พลิกเอาหลุมดำที่คล้ายกับจะกลืนกินแสงสว่างทั้งมวลเข้าไปได้มาไว้ด้านหน้าเพื่อดูดซับ เบี่ยงเบน และก่อกวนร่องรอยเบาะแสทั้งหมดของเขา

ท่าทางของไรห์นคล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาเร่งฝีเท้ามาเดินเคียงข้างลูเซียน และเหลืองมองลูเซียนขณะกล่าว “ข้าสัมผัสได้ว่าร่องรอยแห่งชะตาของเจ้ากลับกลายเป็นพร่าเลือนยุ่งเหยิง…”

“ท่านมาสเกลีนคือหนึ่งในศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักโหราศาสตร์ และตอนนี้ท่านก็มี ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ กับ ‘หุบเขาวิมาน’ เสริมพลังให้ เราต้องรอบคอบให้มาก มิเช่นนั้นเราอาจได้เห็นเออร์วินยืนรอเราอยู่ที่ห้องโถงด้านหลังประตูดำหลังจากที่เราเปิดเข้าไปก็ได้” ลูเซียนแย้มยิ้ม แต่มิได้อธิบายอะไรเกี่ยวกับชะตาลี้ลับของเขา

หลังจากเดินผ่านห้องโถงสีเทามาหลายห้อง ลูเซียนกับไรห์นก็มาถึงสถานที่ที่กระจกแห่งชะตาบอกใบ้เอาไว้

หลังจากจัดการกับ ‘พระสันตะปาปาไร้เศียร’ ได้สำเร็จ ดักลาสกับเฟอร์นันโดก็กลับไปยังทางเข้าตามระยะพิกัดหลังคำนวณการเปลี่ยนแปลงแล้ว พร้อมกับทิ้งเครื่องหมายลับเอาไว้ให้ลูเซียนตลอดทางที่จากมา

หลังจากที่พวกเขาเปิดประตูดำ จู่ๆ ดักลาสก็กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความฉงน “ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย”

“ไม่ใช่ของลูเซียน…” เฟอร์นันโดระบุเจ้าของของกลิ่นอย่างระมัดระวัง แต่ฉับพลันนั้นเขาก็จะอุทานออกมา “เป็นเมแคนทรอน ราชาแห่งทูตสวรรค์!”

“เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่” ดักลาสรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ยาก “เป็นสัตว์ประหลาดที่ปลอมตัวเป็นเขาหรือไม่”

เขาตรวจสอบเจ้าของกลิ่นอายนั้นด้วย ‘ลูกโลกนภาหม่น’ โดยที่เพิ่มสัตว์ประหลาดตนนั้นเป็นตัวแปรในคราวนี้

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ดักลาสก็แค่นเสียงคล้ายยิ้มเยาะตนเอง “มีโอกาสถึง 80% ที่จะเป็นราชาแห่งทูตสวรรค์ตัวจริง ส่วนอีก 20% คือสัตว์ประหลาดที่ปลอมตัวเป็นเขา คำทำนายช่วยอะไรได้กัน แม้ไม่มีคำทำนายนี้ข้าเองก็ยังสรุปได้เช่นนั้นเหมือนกัน”

เขารู้ดีว่าคำพยากรณ์ของตนได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงเพราะสัตว์ประหลาดตนนั้นแข็งแกร่งเกินไป และส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขามิได้เตรียมตัวมาดีพอ

เฟอร์นันโดจ้องมองประตูดำบานที่กลิ่นอายนั้นหายลับไป ก่อนจะเสนอความคิด “เราควรลองตามเขาไปดีหรือไม่”

หลังจากได้เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดถึงสองครั้งสองครา บัดนี้เขาจึงมั่นใจขึ้นมากว่าจะหลบหนีจากภัยอันตรายได้ อีกอย่างคือ เขายังเป็นห่วงลูเซียนอยู่

“เจ้าไม่กลัวว่าจะได้เห็นหุบเขาวิมานและเจอพระเจ้าแห่งสัจธรรมในที่แห่งนี้รึ” ดักลาสถามกึ่งๆ หยอกเย้า “ราชาแห่งทูตสวรรค์คงจะเพิ่งผ่านห้องโถงนี้ไป เราลองสะกดตามเขาไปดูก็ได้ แต่เราต้องไม่รั้งรออยู่นานเกินไป หากเราไม่พบอะไรภายในสิบนาที เราจะกลับออกมาทันที บางทีลูเซียนอาจจะรอเราอยู่ที่ทางเข้าแล้วก็เป็นได้”

“ก็ได้” เฟอร์นันโดรู้ดีว่าเขาเพียงใช้การสะกดรอยตามราชาแห่งทูตสวรรค์เป็นข้ออ้างในการตามหาลูเซียนต่อไปก็เท่านั้น

“ตอนนี้เราอยู่ไม่ไกลจากห้องทดลองของธานอสแล้ว และเราก็ยังไม่เจอศัตรูเลยสักคนตลอดทางที่ผ่านมา ข้าเริ่มจะคิดแล้วว่าเราคงไม่โชคร้ายสักเท่าไหร่” ไรห์นคำนวณการเปลี่ยนแปลงของระยะพิกัดได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เขาเอ่ยล้อเลียนตนเองกับลูเซียน

เมื่อนึกถึงความได้ผลของคำกล่าวที่ว่า ‘พูดถึงโจโฉ’ ลูเซียนก็พลันหัวเราะ “ท่านไรห์นไม่ควรพูดแบบนั้นในตอนที่เรายังไปไม่ถึงจุดหมายนะขอรับ มิเช่นนั้นเราอาจจะเจอกับศัตรูหลังจากเปิดประตูบานนี้ก็ได้”

ริมฝีปากไรห์นกระตุกขึ้น “ข้าคงไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง”

ขณะพูด เขาก็เปิดประตูดำ

ฉับพลันนั้น สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ร่างกายเขาแตกสลายกลายเป็นค้างคาวตัวน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วบินกรูกันเข้าไปในห้องโถง

เคียวสีดำด้ามยาวแฝงกลิ่นไอลึกลับวาดผ่านเวลาและอวกาศ ตัดเฉือนจุดที่เขาเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ จากนั้นเปลวเพลิงสีซีดจางก็ลุกโหมขึ้นจากพื้น หลอมละลายก้อนอิฐสีเทาให้กลายเป็นของเหลวสีใสดูแปลกพิกล

“ศัตรูอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย…” ลูเซียนไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอย่างไรดีเกี่ยวกับตัวไรห์นและความโชคดีของเขา ปีศาจชั้นตำนานสองตนลอยตัวอยู่ภายในห้องโถงสีเทา หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมตัวยาวสีดำ รอบกายแผ่คลื่นรัศมีสีดำและมีดวงตาที่ดูเหมือนลูกไฟสีแดงสองลูก ส่วนอีกตนคือมังกรตัวยาวสิบกว่าเมตรที่เนื้อตัวเน่าเปื่อยและพ่นไฟสีเทาออกมา “ผู้รับใช้แห่งความตาย มังกรอสูร-ลิช…”

ตนแรกคือปีศาจชั้นตำนานระดับสามและ ‘มัจจุราชพรากวิญญาณ’ ผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้แบบประจัญหน้าแต่กลับมีตัวช่วยเป็นความสามารถกึ่งเวทมนตร์มากมาย ส่วนอีกตนถือเป็นนักเวทในระดับมาตรฐานแต่ก็ต่อสู้ระยะประชิดได้ดีไม่แพ้กัน

ลูเซียนเรียกนาฬิกาสีเงินแสนประณีตมาถือไว้ในมือขวาอย่างไร้ซึ่งความลังเล โซ่เส้นบางเปล่งประกายสีโลหะจางๆ ของมันเชื่อมกับกระดุมเสื้อของลูเซียน

แกร๊ก ก่อนที่ผู้รับใช้แห่งความตายและมังกรอสูร-ลิชจะทันได้ร่ายเวทมนตร์บทใด ลูเซียนก็ใช้นิ้วโป้งกดเม็ดมะยมแล้ว

ความซีดจางแทรกซึมไปทั่วห้องโถงสีเทา ฝูงค้างคาวที่บินฉวัดเฉวียนไปมาราวกับกำลังเต้นระบำดูเหมือนจะถูกโซ่ตรวนล่องหนเหนี่ยวรั้งไว้ และเคียวยักษ์ที่ผู้รับใช้แห่งความตายวาดฟันก็ขยับไปข้างหน้าทีละนิดๆ ราวกับเป็นภาพสโลว์โมชั่นในภาพยนตร์ ส่วนมังกรอสูร-ลิชและดวงไฟสีเทาข้างปากของมันก็ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่

เวทพังทลายขั้นสูง! เวทพังทลายขั้นสูง! ลูเซียนไม่สนใจมังกรอสูร-ลิช กลับร่ายคาถาเวทพังทลายขั้นสูงพร้อมกับเรียกใช้จากที่ร่ายเก็บไว้ในนาฬิกาจันทรากาลหลังจากเสริม ‘เวทหัตถ์แห่งความไม่แน่นอน’ เข้าไปแล้ว จากนั้นเขาก็ร่ายเวทสร้าง ‘เขาวงกตคณิตศาสตร์ของอีวานส์’ ที่เสริมด้วยเวทชะลอผลและเวทหัตถ์แห่งความไม่แน่นอน!

หลังจากเตรียมการเสร็จสิ้น ลูเซียนก็แปลงกายเป็นอัศวินชั้นตำนาน หยิบดาบแห่งสัจธรรมออกมา และฟาดฟันใส่ผู้รับใช้แห่งความตาย!

ในช่วงเวลาเช่นนี้ เขาไม่อาจเก็บงำไพ่ตายเอาไว้ และต้องเอาชนะศัตรู จบการต่อสู้ทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!

ไม่นานความซีดจางที่แช่แข็งทุกสิ่งก็หายไป ฝูงค้างคาวกลับมาบินฉลัดเฉวียนก่อนผู้ใด พวกมันบินตรงเข้าใส่มังกรอสูร-ลิชและกัดกินร่างกายพร้อมทั้งวิญญาณของมันจากทุกทิศทาง

ดูเหมือนว่าไรห์นจะคาดเดาออกว่าลูเซียนจะรับมือกับผู้รับใช้แห่งความตายก่อน เขาจึงเข้าไปหยุดมังกรอสูร-ลิชไว้ให้

เคียวประหลาดฟาดโดนลูเซียน แต่มันกลับตัดผ่านเพียงส่วนที่เป็นเงามายา ในตอนที่ผลของเวทหยุดเวลาขั้นสูงกำลังจะหมดลง ลูเซียนได้ย้ายตำแหน่งของตนพร้อมกับโล่แห่งสัจธรรมเรียบร้อยแล้ว

ความมืดมิดหลั่งไหลออกมาจากชุดคลุมสีดำของผู้รับใช้แห่งความตาย หักล้างผลจากเวทพังทลายขั้นสูงที่ลูเซียนร่าย แต่แล้วทันใดนั้น ความมืดมิดก็ระเบิดปะทุขึ้นดุจดอกไม้ไฟ ในที่สุดหนึ่งใน ‘เวทหัตถ์แห่งความไม่แน่นอน’ ที่แฝงเอาไว้มากมายก็ทำงานและทลายปราการป้องกันของผู้รับใช้แห่งความตายได้!

เปรี๊ยะๆๆ เสียงข้าวของแตกร้าวดังกึกก้องจากรอบกายผู้รับใช้แห่งความตาย จนเกือบจะทำให้ลูเซียนรู้สึกเห็นใจ ในขณะเดียวกันนั้น เขาให้นึกเสียดายยิ่งนักที่ตนไม่เรียนรู้ ‘เวทพังทลายขั้นสุดยอด’ มิเช่นนั้นศัตรูคงจะถูกทำลายข้าวของจนล่อนจ้อน เหลือไว้เพียงเคียวชั้นตำนานเท่านั้น!

จากนั้นดาบเงินก็ตวัดวูบ สร้างรอยแยกน่าหวาดกลัวขึ้นบนผ้าคลุมสีดำ ฉีกกระชากปราการสุดท้ายทิ้งไป

เพราะชุดคลุมสกัดการโจมตีได้ครู่หนึ่ง ในตอนที่ดาบแห่งสัจธรรมกำลังจะตัดเฉือนตัวผู้รับใช้แห่งความตาย จู่ๆ ร่างของมันก็โปร่งแสง ก่อนที่จะกลายเป็นควันหลบหนีไป หลีกเลี่ยงการโจมตีที่อาจถึงตายไปได้

“อ๊ากกก!” เสียงไห้โหยด้วยความเสียดายที่ตนพ่ายแพ้ดังสะเทือนเลือนลั่น ควันสีอ่อนไหลไปรวมตัวกัน ก่อนที่มันจะเงื้อง่าเคียวยักษ์ แล้วฟาดฟันลงมาอย่างคาดเดาทิศทางมิได้ ทั้งยังแผ่รัศมีลึกลับยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

ปุ เมื่อเคียวตวัดโดนโล่แห่งสัจธรรมของลูเซียน กลับเกิดเสียงดังทึบๆ เพียงเท่านั้น

ลูเซียนที่ดูราวกับอยู่ในโลกอีกใบ รู้สึกเหมือนมีสายลมเย็นเยียบพัดโถมเข้าใส่เขา มันผ่านเสื้อคลุมมหาจอมเวทและร่างกายเข้ามากระแทกวิญญาณของเขาอย่างจัง ความหนาวเหน็บนั้นทำให้ร่างกายเขาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่

‘จากความทรงจำของอะดอล เคียวของผู้รับใช้แห่งความตายจะโจมตีดวงวิญญาณเพียงเท่านั้น และต้านทานได้ยากอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะโล่แห่งสัจธรรม ฉันคงบาดเจ็บไปแล้ว’ ลูเซียนคิดในใจ

ยามนี้ เมื่อเคียวพลาดจากเป้าหมาย ผู้รับใช้แห่งความตายจึงกลายร่างเป็นดวงไฟสีซีดที่เข้าโอบล้อมลูเซียนที่อยู่ภายในคลื่นแห่งความว่างเปล่า และมันยังกระจายตัวเป็นครั้งคราวเพื่อหลบการโจมตีจากดาบแห่งสัจธรรมอีกด้วย

เวลาหน่วงหลังใช้งานของจันทรากาลหมดลงแล้ว ลูเซียนจึงเก็บดาบแห่งสัจธรรมและนำนาฬิกาพกมาถือไว้ในมือขวาอีกครั้ง

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ผู้รับใช้แห่งความตายก็สลายตัวกลายเป็นควันและรีบเร่งพุ่งไปทางจุดที่ไรห์นกับมังกรอสูร-ลิชต่อสู้กันอยู่ ก่อนที่มันจะตรงไปยังประตูดำและจากไปพร้อมกับมังกรอสูร-ลิชด้วยท่าทางลนลาน

“มันไปแล้วหรือ” ลูเซียนยังไม่ทันจะกดใช้ ‘เวทหยุดเวลาขั้นสูง’ ก็พบว่าผู้รับใช้แห่งความตายหายตัวไปแล้ว ในฐานะผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสาม ไม่แปลกเลยที่มันจะหลบหนีได้ไวปานวอก!

ไรห์นลอยลงมายืนบนพื้นพลางหัวเราะขัน “‘เวทหยุดเวลาขั้นสูง’ บวกกับ ‘ดาบแห่งสัจธรรม’ นับเป็นวิธีการต่อสู้ที่ไร้เหตุผลอย่างแท้จริง อีกอย่าง ‘เวทหยุดเวลาขั้นสูง’ ของเจ้ายังใช้ออกผ่านจันทรากาล อุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานระดับสองของเจ้า ซึ่งมีพลังเกือบถึงระดับสามแล้วอีกด้วย ผู้รับใช้แห่งความตายได้รับผลกระทบจากมันอย่างร้ายแรงและอาจถูกปลิดชีพไปแล้วหากว่ามันยังอยู่ต่อไป”

เขาคิดว่าผู้รับใช้แห่งความตายถูกปลดเปลื้องจน ‘ล่อนจ้อน’ ได้ก็เพราะลูเซียนนำอุปกรณ์บางอย่างที่มีความสามารถของเวทพังทลายขั้นสุดยอดมาด้วย มิเช่นนั้นมันคงไม่นึกหวาดกลัวการโจมตีจากดาบแห่งสัจธรรมถึงเพียงนี้ และคงจะยืดอกรับการโจมตีด้วยปราการคุ้มกันที่มันมีอยู่ไปแล้ว

“ข้าพอใจอย่างยิ่งที่ข้าทำให้สัตว์อสูรชั้นตำนานระดับสามหวาดกลัวจนหนีไปได้” ลูเซียนเก็บดาบแห่งสัจธรรมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม การไม่ใช้ความสามารถของจันทรากาลไปโดยเปล่าประโยชน์ย่อมเป็นการดีที่สุดแล้ว เพราะไม่รู้เลยว่าจะมีภัยอันตรายใดอีกที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องทดลอง

ไรห์นมองไปรอบๆ ห้องโถงสีเทา “ตอนที่เราเจอพวกมัน ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังตรวจสอบอะไรสักอย่างอยู่ใช่ไหมนะ”

เขาตรวจดูสภาพแวดล้อมด้วยความสามารถของเขา ลูเซียนเองก็ยกเลิกการแปลงกายและใช้เวทมนตร์ช่วยไรห์นตรวจสอบ

“กลิ่นของซาร์ด และเครื่องหมายของร่องรอยลึกลับ…”ไรห์นพลันชะงักค้าง

…………………………………